ในขณะที่มูเอนกับสมาชิกคนอื่น ๆ จากหอการค้าแอชกำลังง่วนกันอยู่ หลินเจี๋ยก็ไปที่ร้านข้าง ๆ แล้วพบว่าเพื่อนบ้านของเขา คอลิน ได้ทิ้งร้านสื่อวีดิทัศน์ ซึ่งในตอนนี้เป็นของหลินเจี๋ยไปแล้ว
หลินเจี๋ยไม่ใช่คนเก็บตัวที่ไม่เคยไปไหนเลย เขาเคยออกไปไหนมาจริง ๆ ถึงจะนาน ๆ ทีก็ตาม เพื่อซื้อของจำเป็นในแต่ละวัน และวัตถุดิบวิจัยก็ไม่สามารถถูกเสกออกมาจากอากาศธาตุได้
“…คอลินรื้อที่นี่ก่อนไปเหรอ? แต่ว่าเขาดูจะฉีดน้ำหอมไปทั่วร้านเลย” หลินเจี๋ยพึมพำกับตนเองพลางสำรวจความเละเทะภายในร้านสื่อวีดิทัศน์ เดินข้ามขยะที่ระเกะระกะตามทางเพื่อมองสภาพภายในให้ชัดขึ้น
ในถนนที่เงียบงันแบบนี้ ความเฟื่องฟูของธุรกิจก็คงเทียบได้กับของเขา และแน่นอนว่าร้านก็ไม่ได้ใหญ่นัก…
ทั้งร้านสื่อวีดิทัศน์นั้นเล็กกว่าร้านหนังสือของเขาเล็กน้อย ด้วยชั้นวางของที่อยู่ตรงกลางและสี่มุมร้านนั้น ส่งผลให้พื้นที่แคบและแออัด
ดูจากขนาดตัวคอลินแล้ว มันคงยากที่จะเดินไปมาระหว่างชั้นวางของทุกวัน ๆ ได้
“ไม่แปลกเลยที่เขาจะชอบคู้ตัวบนโซฟาแล้วดูทีวี” หลินเจี๋ยพึมพำพลางมองแผ่นดิสก์ เทปและนิตยสารที่เรียงรายกันอยู่ในร้าน ลืมไปว่าตัวเองก็ไม่ต่างกันนักที่เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในมุมของเขาที่หลังเคาน์เตอร์
ร้านสื่อวีดิทัศน์ของคอลินขายของที่ไม่ค่อยต่างกับร้านขายของในโลกของเขา มีแผ่นดิสก์เพลงและภาพยนตร์ รวมไปถึงเรื่องสยองขวัญปนอีโรติกและกระทั่ง…สื่อลามกขนานหนัก แล้วเขาก็ยังมีนิตยสารบันเทิงต่าง ๆ ที่มีสาว ๆ ในชุดล่อตะเข้มาบอกใบ้ถึงเนื้อหาข้างในด้วย
ของเหล่านี้ต่างถูกวางไว้ในมุมที่เด่นชัดที่สุดในขณะที่ภาพยนตร์และเพลงที่เหมาะสมกว่าถูกซุกไว้ข้างหลัง แสดงให้เห็นว่าที่นี่เป็นที่แบบไหน
หลินเจี๋ยไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับของพวกนี้เลย ไม่ใช่เพราะความดูแคลนหรือเขาเลี่ยงมันหรอก ทว่าในตอนนี้ เขาตรวจสอบทุกอย่างบนชั้นวางอย่างสนอกสนใจ
ในสายตาเขา ของเหล่านี้ก็เป็นมุมหนึ่งของวัฒนธรรมและจารีตด้วย
อารยธรรมที่สมบูรณ์จะต้องมีทั้งชั้นสูงและชั้นต่ำ ชั้นสูงนั้นสง่างามและลึกล้ำ ส่วนความหยาบโลนและความต่ำเตี้ยตื้น ๆ นั้นสูงล้ำกว่าความปรารถนาเชิงวัตถุ
เหมือนเช่นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หยินและหยาง ด้านทั้งสองนี้ต่างส่งเสริมกันและแยกกันไม่ได้
ในการวิจัยนิทานพื้นบ้านของเขา เขามักจะมองเรื่องต่าง ๆ ในเชิงวิภาษวิธี[1] ไม่ค่อยจะสรุปในเชิงยืนยันหรือปฏิเสธ เพราะฉะนั้น ระดับที่เขายอมรับได้ถึงค่อนข้างแคบเช่นกัน
ทว่าที่นี่มีของเพียงเท่านี้ ทันใดนั้น หลินเจี๋ยก็เห็นโซฟาเดี่ยวที่คอลินมักจะอยู่และโทรทัศน์ที่แขวนไว้บนผนัง…
หลินเจี๋ยฟังข่าวที่ถ่ายทอดออกมาจากโทรทัศน์เครื่องนี้ทุกวัน
ชายหนุ่มค้นหาไว ๆ ก็พบรีโมตวางอยู่บนโซฟา มันให้ความรู้สึกมันเลื่อมเมื่อสัมผัส และหลินเจี๋ยก็เห็นภาพได้ว่ามันถูก ‘รวบ’ ไว้ในกำมือของคอลินทุกวัน ๆ อย่างไร
หลินเจี๋ยทดสอบใช้รีโมต แล้วโทรทัศน์ก็ทำงานตามปกติ แล้วจากนั้นเขาก็เดินขึ้นชั้นบนเพื่อสำรวจ
สิ่งที่แปลกที่พบที่ชั้นบนคือเกลือบริสุทธิ์จำนวนมาก ทองคำเปลวและไข่มุกบนโต๊ะ เช่นเดียวกับหญ้าแห้งนิดหน่อยและผงที่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร
หลินเจี๋ยกำขึ้นมาดมกำหนึ่ง “กลิ่นเหมือนกลิ่นหอมข้างล่างเลย หรืองานอดิเรกของคอลินคือทำน้ำหอมกันหว่า?”
“ภาพลักษณ์หลอกกันได้จริง ๆ เฮ้อ…เรานี่ไม่รู้จักเพื่อนบ้านเราดีพอเลย คอลินอาจดูแข็งกร้าว แต่ที่จริงเขาเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยเอาการเลยนี่นา”
แต่หลินเจี๋ยก็ยังมีความคิดเห็นอื่นเมื่อเห็นเกลือบริสุทธิ์มากขนาดนี้
ในบริบทของทางตะวันตกบนโลกของเขา เกลือถูกใช้เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
เพราะฉะนั้น คอลินอาจจะใช้สูตรนี้เพื่อไล่หลินเจี๋ยที่เขาเข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณร้ายก็เป็นได้
ปกติแล้ว หลินเจี๋ยคงไม่มาโยงเรื่องแบบนี้ได้ แต่ราชาแคนเดลาในดาบยักษ์ของเขาได้ให้อาหารสมองแก่เขามาก่อน และเพราะฉะนั้นจึงส่งให้หลินเจี๋ยมีความคิดเช่นนี้ได้
“ยังไงก็ตาม คอลินก็ไปแล้ว และความเข้าใจผิดก็ปิดประเด็นไปแล้ว ดังนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก…”
หลินเจี๋ยวางของเหล่านั้นตรงที่เดิมแล้วกลับลงไปที่ชั้นล่าง พื้นที่ที่เหลืออยู่คือพื้นที่อาศัยส่วนตัวของคอลินและไม่มีอะไรที่น่าดูนัก
ให้พวกเอ็ดมันด์เคลียร์พื้นที่นี้ก็จบแล้ว
เจตนาของหลินเจี๋ยคือเปลี่ยนที่นี่เป็น ‘บาร์หนังสือ’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของร้านหนังสือ
ร้านเดิมของหลินเจี๋ยนั้นเต็มไปด้วยชั้นหนังสือและไม่มีที่นั่งนอกจากเก้าอี้ที่เคาน์เตอร์ ลูกค้าทำได้เพียงค้นหาหนังสือบนชั้นและไม่สะดวกที่จะยืนอ่านเลย ยิ่งกว่านั้น หนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่หนังสือที่คนคุ้นชินกันและปกติลูกค้าก็จะพึ่งพาให้หลินเจี๋ยแนะนำเท่านั้นด้วย
หลินเจี๋ยชินกับรูปแบบที่นั่นแล้ว ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพื้นที่นี้เพื่อวางหนังสือที่เขาอ่านแล้ว หรือหนังสือที่เกี่ยวกับความบันเทิงและนิตยสารสำหรับการอ่านและการยืมก็ดูจะเป็นความคิดที่ดี
เขาทำได้กระทั่งขายชานมที่นี่แล้วให้มูเอนจัดการ เปลี่ยนมันเป็นห้องสมุดบางส่วนหรืออะไรแบบนั้น
ด้วยแต่ละส่วนมีจุดเด่นของมัน นี่อาจจะทำให้ลุกค้าเพิ่มขึ้นก็ได้
หลินเจี๋ยกลับไปบอกแผนของเขากับเอ็ดมันด์ ตัวตนใหม่ของมูเอนถูกสร้างขึ้นแล้ว และงานต่อมาของผู้ใต้บัญชาเหล่านั้นก็คือการรีโนเวตชั้นสองของร้านหนังสือและร้านข้าง ๆ
จนผ่านไปสามวันเมื่อการรีโนเวตเสร็จสิ้น กลุ่มคนจากหอการค้าแอชจึงบอกลาหลินเจี๋ย
พวกเอ็ดมันด์ทำได้เพียงปฏิเสธคำพูดเยี่ยงพนักงานขายผู้อารีของหลินเจี๋ย เพราะพวกเขาต้องกลับไปรายงานนายหญิงเชอร์รี่ของพวกเขาแล้ว เพราะฉะนั้นหลินเจี๋ยจึงทำได้เพียงทิ้งความคิดนี้ไปอย่างแสนเสียดาย
เขาปล่อยให้มูเอนดูแลร้านหนังสือแล้วเดินเข้าไปในบาร์หนังสือที่เพิ่งสร้างใหม่
ในขณะที่มือของเขาลูบไปบนชั้นหนังสือใหม่นั้นเอง เขาก็ถามลองเชิง “เจ้าดำ?”
การมาของเจ้าดำนั้นแปลกไปนิดหน่อยอยู่เสมอ…
ครั้งนี้เขาเป็นเงาที่ ‘พับ’ อยู่ที่มุมห้อง เมื่อถูกโอบล้อมโดยแสงอาทิตย์อัสดงยามพลบค่ำ เงาก็ยาวขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเปลี่ยนรูปร่างไปใหม่บนผนัง
เมื่อเหลือบมองเจ้าดำบนผนังแล้ว หลินเจี๋ยก็ยิ้มเล็กน้อย “ผมวานหน่อยได้ไหมครับ?”
การแนะนำงานของเขาให้กับผู้คนที่อาซีร์นั้นมีผลดีต่อเจ้าดำ ยิ่งกว่านั้น ช่วงนี้หลินเจี๋ยได้แนะนำ ‘ตราสัญลักษณ์และโทเทม’ ของเขาให้กับครอบครัวของโดริสและขายหนังสือให้เธอสามสิบเล่มในรวดเดียวด้วย
การขอให้เจ้าดำเพิ่มจำนวนหนังสือของเขาจึงไม่น่าเป็นคำขอที่ยากเกินไป
เพราะถึงอย่างไร เจ้าดำก็เคยออกมาอาสาช่วยเขาในตอนที่เขาแนะนำหนังสือพิธีกรรมและขนบธรรมเนียมให้กับไวลด์ในครั้งก่อน
แล้วก็เป็นไปตามคาด ก่อนที่หลินเจี๋ยจะทันพูดจบ เจ้าดำก็ ‘ร่วงหล่น’ จากผนัง เปลี่ยนเป็นเงาที่โอบล้อมทั้งร้านหนังสือเอาไว้
และเป็นไปตามความปรารถนาของหลินเจี๋ย หนังสือเพื่อความบันเทิงและผ่อนคลายทุกรูปแบบ นิยาย และนิตยสารก็ปรากฏขึ้น โดยพื้นฐานแล้วมันมีทุกอย่างเลย
วิธีควบคุมชั้นหนังสือนั้นเหมือนกับในร้านหนังสือเดิมของเขาเป๊ะ ตามแต่ใจเขาจะปรารถนา
“ยอดไปเลย! ขอบคุณนะครับ!” หลินเจี๋ยว่าพลางมองไปรอบ ๆ เมื่อชายหนุ่มหันกลับไป เจ้าดำก็หายไปแล้ว
“เขาไม่ชอบอ้างผลงานในสิ่งที่เขาทำเลยจริง ๆ” หลินเจี๋ยพึมพำ
หลินเจี๋ยจะกลับไปที่ร้านหนังสือของเขาก่อนแล้วให้มูเอนมาทำความคุ้นชินกับปีกใหม่นี้ในเวลาต่อไป
ชั้นสองถูกเปลี่ยนให้มีสองห้องนอน หนึ่งครัว หนึ่งห้องโถง หนึ่งห้องทำงาน และพื้นที่ออกกำลังกายเล็ก ๆ แล้ว
มูเอนใช้ห้องนอนที่เล็กกว่า…
ในเมื่อเรื่องราวไปได้สวยและเขาก็ได้เป็นห้องนอนเขาคืนมา หลินเจี๋ยก็ตัดสินใจฉลองโดยการเข้านอนเร็ว
เมื่อชายหนุ่มนอนลงบนเตียง หลินเจี๋ยก็หยิบเหรียญแห่งโชคชะตาที่เขานำไปไหนมาไหนด้วยแล้วดีดมันครั้งหนึ่ง เพราะมันมีด้านสองด้านที่เหมือนกัน หลินเจี๋ยจึงทำจุดสีแดงไว้บนด้านหนึ่งของเหรียญที่เคยเป็นเหรียญแห่งโชคมาก่อน
“ดูท่าเราคงฝันดีแน่คืนนี้” หลินเจี๋ยทอดถอนใจเมื่อมองไปที่จุดสีแดงบนเหรียญ ปิดไฟแล้วไปนอน
แต่น่าประหลาดใจ เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง สีขาวอันคุ้นเคยก็มาทักทายเขา
หญิงสาวผู้หนึ่งที่มีผมสีขาวราวหิมะและตาสีเงินยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่น
“ยินดีต้อนรับกลับมานะ”
[1] วิภาษวิธี คือการหาความรู้ด้วยการนำบทเสนอเดิมกับข้อโต้แย้งมาถกเถียงกัน เพื่อหาข้อสรุปใหม่