หลินเจี๋ยรออยู่ข้างนอกอยู่สักพักก่อนที่ในที่สุดประตูจะเปิดออกช้า ๆ
เฒ่าไวลด์ที่เขาไม่ได้พบเสียนานปรากฏตัวในชุดดำหลวม ๆ มีลวดลายสีทองอันประณีต เขาไม่ได้สวมหน้ากากประจำตัวของตัวเอง เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวที่เต็มไปด้วยบาดแผล เขาเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้จากหลังประตู
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินเจี๋ยได้เห็นใบหน้าจริงของไวลด์ ที่จริงแล้ว ในระหว่างการพบกันครั้งแรกของพวกเขา ไวลด์ผู้หดหู่ใจไม่แม้แต่จะสวมหน้ากากใด ๆ เลย
ทว่าหลินเจี๋ยไม่ใช่คนที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์และเลือกจะตวงซุปไก่[1] ให้เฒ่าไวลด์ในตอนนั้น และกระทั่งแนะนำหนังสือเล่มแรกให้เขาด้วย ซึ่งก็คือ ‘การฟื้นคืนชีพ’
ไวลด์เปิดประตูกว้างขึ้นแล้วทำท่าทางเชื้อเชิญให้หลินเจี๋ยเข้ามา แล้วเขาก็ถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าของร้านหลิน คุณมาทำอะไรที่นี่กันครับ?”
“มีบางอย่างที่ผมอยากจะมาคุยกับคุณครับ แต่ช่วงนี้คุณไม่ได้มายืมหนังสือเลย ในเมื่อผู้ช่วยที่ผมเพิ่งจ้างไว้ช่วยผมดูแลร้านได้ ผมเลยมีเวลาว่างให้มาที่นี่ได้บ้าง” หลินเจี๋ยพูดขำ ๆ ในขณะที่เดินเข้าไป
“ผมหวังว่าการมาเยี่ยมของผมจะไม่เป็นการรบกวนคุณนะครับ”
“ไม่…ไม่เลยครับ” ไวลด์รีบโบกมือพัลวัน “เป็นเกียรติของผมที่คุณมาเยือนด้วยตนเองครับ”
“ดีแล้วล่ะครับ พูดตรง ๆ แล้ว คุณอาศัยไกลเอาเรื่องเลย ผมคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาสักสองสามชั่วโมงบนขนส่งสาธารณะซะแล้ว”
ในขณะที่เขาปิดประตู ไวลด์อดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่า ‘ผมเห็นคุณโผล่มาหน้าประตูบ้านจากอากาศธาตุชัด ๆ ครับ!’
เขาอธิบายพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ “คุณก็รู้ว่าผมต้องอาศัยในสภาพแวดล้อมที่เงียบ ๆ หน่อยนะครับ”
“จริงของคุณ มันคงลำบากหน่อยจากสภาพงานวิจัยของคุณถ้าไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เรื่องนี้ผมเข้าใจดีเลยล่ะครับ” หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเข้าใจเมื่อนึกถึงความห่างไกลสังคมของร้านหนังสือของเขา
ในขณะที่หลินเจี๋ยกำลังพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่นั้นเอง ดวงตาของเขาก็มองไปที่ชุดที่เฒ่าไวลด์สวมอยู่โดยสัญชาตญาณ
ชุดของเขามีบรรยากาศลึกลับแปลก ๆ เหมือนชุดของพวกพ่อมด มันเป็นอะไรที่คนไม่ใส่ออกไปเดินข้างนอกกัน อืม…หรือนี่จะเป็นชุดนอนของเฒ่าไวลด์กันหนอ? ฮะ ๆ เขาอาจจะอายุมาก แต่ในใจของเขาก็ยังจูนิเบียวอยู่ เฮ้อ…แต่บุรุษนั้นเป็นเด็กผู้ชายเสมอจนวันตายอยู่ดี หลินเจี๋ยคิดขำ ๆ กับตนเอง
ไวลด์พลันสังเกตเห็นสายตาของหลินเจี๋ยที่มองไปที่ชุดของเขาซึ่งเป็นตัวแทนการเป็นศิษย์ของ ‘จักรพรรดิดำ’ ออกัสทัส จากนั้นเจ้าของร้านหนังสือก็เผยรอยยิ้มเหมือนรู้อะไรบางอย่าง
หลินเจี๋ยเกรงว่าไวลด์จะคิดว่าเขาคิดตัดสินอีกฝ่ายอยู่ เขาจึงรีบควบคุมสีหน้าแล้วเอ่ยชม “คุณมีรสนิยมด้านชุดดีนะครับ เฒ่าไวลด์”
ไวลด์รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นกระตุก เขาหมายความว่าอาจารย์ของเราดีและเราเลือกอาจารย์ถูกแล้วหรือเปล่า!
การคาดเดาอันใจกล้าแล่นเข้ามาในใจของเขาอีกครั้ง เจ้าของร้านหลินรู้จักอาจารย์ด้วย!
ไวลด์นึกถึงหนังสือ ‘จุดดับสูญของความว่างเปล่า’ ที่เขาพบว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจได้ขึ้นมา หนังสือเล่มนั้นเป็นโลกเวทมนตร์อันแปลกประหลาดที่พยายามจะเชื่อมต่อกฎเกณฑ์ของชีวิตความตาย
ในตอนนั้น เจ้าของร้านหนังสือพูดว่าหนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นโดยยักษ์
ทว่า…ออกัสทัสคือยักษ์ตนสุดท้ายที่อยู่รอดจากยุคแรกมาได้ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มียักษ์ตนใดเหลืออยู่บนโลกอีก
ดังนั้น หนังสือเล่มนี้ถ้าไม่รอดมาจากยุคแรกก็ถูกเขียนขึ้นโดยออกัสทัส บางที…มันอาจจะเหมือนกับที่ไวลด์ได้เสนอผลงานสร้างชิ้นโบว์แดงที่เขาชอบที่สุดให้กับเจ้าของร้านหนังสือ ออกัสทัสอาจจะให้งานที่ดีที่สุดของเขากับหลินเจี๋ยด้วย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ความลึกลับของเจ้าของร้านหนังสือก็ดูจะลึกล้ำเข้าไปใหญ่แล้ว เหมือนหมอกที่ทับซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า ไม่มีทางที่สายตาจะเพ่งมองเข้าไปได้เลยว่ามีอะไรซ่อนอยู่หลังมัน
บางที…เขาอาจจะเป็นได้กระทั่งเทพเจ้าที่แท้จริง
ไวลด์หน้ามืดเล็กน้อยจากการสรุปของเขาเอง เขาพาหลินเจี๋ยไปนั่ง รินน้ำสำหรับทั้งคู่แล้วจิบสักสองสามจิบเพื่อสงบจิตใจตัวเอง
ไวลด์วางถ้วยของเขาลงแล้วตัดสินใจระบุจุดยืนที่แน่นอนและแสดงออกอย่างระมัดระวัง “ขอบคุณสำหรับคำชมครับ ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน สำหรับผมแล้ว ชุดนี้มีความหมายพิเศษต่อผมมาก มันหมายถึงช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่ผมไม่มีวันลืมได้ครับ”
หลินเจี๋ยพยักหน้า มิน่าล่ะ… เขาถึงเก็บมันไว้จนตอนนี้เพื่อระลึกถึงความหลัง เฒ่าไวลด์นี่คิดถึงอดีตของตัวเองจริง ๆ เฮ้อ…ไม่แปลกเลยที่เขาถูกลูกตัวเองหลอกเอาได้
คนแบบนี้ไม่มีความสามารถพอจะเป็นคนทำเรื่องไม่ดีได้หรอก…หากเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับองค์กร ‘งานเลี้ยงโลหิต’ นั่นเข้าจริง ๆ งั้นเขาก็ต้องถูกบังคับหรือมีแผนอะไรอยู่แน่
จากกิริยาของเฒ่าไวลด์แล้ว หลินเจี๋ยเชื่อว่าคงเป็นอย่างหลังมากกว่า
ไวลด์จับตามองหลินเจี๋ยอย่างระมัดระวัง สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเจ้าของร้านหนังสืออ่อนลงเล็กน้อยด้วยเค้าลางความเห็นดีเห็นงามด้วย
เขาผ่อนลมหายใจโล่งอกในใจแล้วถามออกมา “คุณมาหาผมเพราะการตัดสินใจโดยพลการของผมหรือเปล่าครับ?”
หลินเจี๋ยเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย พับแขนของเขาวางบนเข่าตามนิสัยแล้วถามด้วยหน้านิ่ง ๆ “ใช่แล้วครับ คุณเข้าไปพัวพันกับ ‘งานเลี้ยงโลหิต’ ใช่ไหมครับ? คุณลืมคำแนะนำของผมที่ให้คุณไว้ก่อนหน้านี้แล้วเหรอครับ?”
สีหน้าของไวลด์เปลี่ยนเป็นจริงจัง “ที่จริงแล้ว ผมอยากใช้การรวมตัวที่กำลังจะมาถึงของพวกเขาในการกล่อมพวกเขามาเป็นสาวกของคุณ และลูกค้าที่ร้านหนังสือของคุณครับ”
?!!
“เดี๋ยวนะครับ” หลินเจี๋ยยกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วถาม “สาวกของผมเหรอ?”
ไวลด์ตระหนักว่าเขาพูดมากเกินไปแล้ว เจ้าของร้านหนังสือไม่เคยพูดเลยว่าเขาต้องการสาวก เขาแนะนำหนังสือให้กับลูกค้าของเขาเสมอ นำทางพวกเขาออกจากอุปสรรคและมอบชีวิตใหม่ให้
สิ่งที่ทำให้เขาเข้าใจเจตนาของหลินเจี๋ยได้อย่างแท้จริงหรือหนังสือเล่มนั้น ‘นิกายกลืนศพ พิธีกรรมและขนบธรรมเนียม’ เพราะพิธีกรรมบวงสรวงต่าง ๆ ที่เขียนไว้ข้างใน พิธีบวงสรวงทำเพื่อถวายแก่ใครสักคนหรืออะไรบางอย่าง วิธีที่เขียนไว้ในหนังสือนั้นเหี้ยมโหดและโหดร้ายมาก ดังนั้นหากใครสักคนนั้นเป็นเทพเจ้า มันต้องเป็นเทพเจ้าที่ชั่วร้ายอย่างแน่นอน ในเมื่อเจ้าของร้านหลินเขียนหนังสือเล่มนี้ ถ้าอย่างนั้น เขาก็ต้องอยู่ในตำแหน่งนักเทศนาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย…
แต่ที่จริงแล้ว การคาดเดาของไวลด์คือเขาเป็นทั้งสองอย่างในคนเดียวกัน…ซึ่งผลก็ออกมาเป็นการเสียมารยาทโดยไม่ตั้งใจนี้
“แค่ก ๆ ผมหมายถึง…สาวกหนังสือครับ” ไวลด์ปิดปากไอแห้ง ๆ แล้วพูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว “ผมติดหนี้คุณจากความช่วยเหลือของคุณเสมอเลย ผมคิดเรื่องนี้อยู่หลายครั้งแล้ว แค่การ์กอยล์ตัวเดียวมันตอบแทนคุณได้ไม่พอหรอก แต่อะไรที่เป็นสิ่งของก็ดูไม่สลักสำคัญพอ”
“ดังนั้นผมเลยตัดสินใจลองฝึกทำตามอุดมคติของคุณ การให้เจ้าพวกนอกลู่นอกทางพวกนั้นพบความหมายที่แท้จริงของชีวิตก็เป็นการให้พวกเขาฟังคำสอนของคุณด้วยครับ!”
“…”
หลินเจี๋ยมีแววตาที่ดูซับซ้อน เขาไม่เคยคิดฝันเลยว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้เฒ่าไวลด์เข้าร่วม ‘งานเลี้ยงโลหิต’
ไม่สิ นี่นับว่า ‘เข้าร่วม’ ไม่ได้ นี่เป็นการ ‘แทรกซึม’ ไปยุให้เกิดความร้าวฉานขององค์กรจากภายในต่างหาก! เขา…เขาช่างบรรเจิดเหลือเกิน! หลินเจี๋ยปลาบปลื้ม การเสิร์ฟซุปไก่สองปีของเขาไม่ได้เสียเปล่า
ทว่านี่เป็นเรื่องที่อันตรายเกินไปสำหรับคนอายุอานามอย่างเฒ่าไวลด์ ดังนั้นชายหนุ่มจึงตัดสินใจแนะนำเขาอีกครั้ง
“เฒ่าไวลด์ครับ เจตนาของคุณดีมากเลย แต่ว่า…” ดวงตาของหลินเจี๋ยหยุดนิ่ง สายตาของเขามองผ่านไหล่ของเฒ่าไวลด์แล้วหยุดลงที่ฉากกั้นห้องข้างหลัง
เลือดสีแดงเข้มกำลังไหลนองออกมาจากพื้น
“แต่นั่นมันอะไรครับ?”
[1] ซุปไก่ คือคำพูดที่อบอุ่น เต็มไปด้วยพลังงานเชิงบวก หรือคำแนะนำที่มีประโยชน์