บทที่ 147 : สายรกสีเงิน
“ใครจะคิดว่าที่จริงแล้วเทพปีศาจนอกรีตจะครอบครองร้านหนังสือที่ซอย 23 อยู่…แต่มีเพียงดวงจันทร์เท่านั้นที่ศักดิ์สิทธิ์โดยแท้จริงในโลกนี้ สิ่งอื่นใดล้วนแล้วแต่เป็นตัวปลอมที่สิงสู่ในแดนนิมิตทั้งนั้น แต่จากที่วาเนสซาเรียบเรียงมา พลังของเทพปีศาจนี่ไม่สามารถมองข้ามได้ และต้องถูกทำลาย”
ภาพถูกตัดไป และภาพของวาเนสซาที่โค้งคำนับก็หายไปจากบนผิวน้ำ
ชายชราในชุดสีทองอลังการเบนสายตาจากสระน้ำศักดิ์สิทธิ์แล้วยืนขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ไม้คทายาวสามเมตรของเขาสัมผัสพื้นเกิดเป็นเสียงตึงทึบ ๆ
ไบแอส ร็อดนีย์ พระสังฆราชองค์ปัจจุบันของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด และหนึ่งในผู้มีระดับเหนือนภาอันมีเพียงไม่กี่คนในนอร์ซิน!
คทาที่เขาถือนั้นคือสัญลักษณ์การเป็นสังฆราชของเขา และห่วงสีทองที่ใส่ไว้ใกล้ยอดคทานั้นสื่อถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์ฝาแฝดแห่งด้านมืดและด้านสว่าง
เหนือห่วงทั้งสองนั้นมีเครื่องประดับดวงจันทร์ที่เป็นตัวแทนอัครสาวกทั้งเจ็ดเรียงตัวกันอยู่บนห่วงสองวงที่ซ้อนทับกัน ที่ปลายสุดของคทาที่สัมผัสกับห่วงบนสุดคือเครื่องประดับเดือนเพ็ญ
เดือนดับข้างขึ้น เดือนเสี้ยวข้างขึ้นและเดือนครึ่งข้างขึ้นอยู่ทางขวามือของห่วงด้านนอก ในขณะที่เดือนเสี้ยวข้างแรม เดือนครึ่งข้างแรม และเดือนดับข้างแรมอยู่ทางซ้ายมือของห่วงด้านใน
คทานี้สามารถใช้พลังทั้งหมดของทั้งเหล่าอัครสาวกและสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ หรือก็คือ…พลังเหล่านี้พระสังฆราชเป็นผู้ประสาทให้กับพวกเขาและเขาก็สามารถถอนมันคืนได้ทุกเมื่อ!
พระสังฆราชชราเดินไปที่จุดศูนย์กลางของโบสถ์ซึ่งมีแสงจันทร์ส่องลงมาจากรูกลม ๆ บนหลังคาทรงโดมลงมาที่อุปกรณ์เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนยกพื้นหิน…สายรกสีเงิน
จากตำนานแล้ว ว่ากันว่ามันคือสิ่งที่หลงเหลือในตอนที่สตรีศักดิ์สิทธิ์คนแรกได้ให้กำเนิด ‘ดวงจันทร์’
ในโบสถ์นี้ยังมีอุปกรณ์เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือ ‘ห่วงโบราณ’ และ ‘เปลบุตรแห่งจันทรา’ ประดิษฐานอยู่อีกสองชิ้น รูปปั้นของพระสังฆราชคนเก่าทั้งหมดต่างยืนตระหง่านอยู่ในร่องที่มีอยู่ทั่วผนัง ทำให้ดูน่าเกรงขามและจริงจัง
“เทพปีศาจที่อยากจะตั้งศาสนา…” ร็อดนีย์พึมพำกับตนเองพร้อมแสงระยับในดวงตา
“นั่นก็หมายความว่า เจ้าของร้านหนังสือที่ชื่อหลินเจี๋ยนั่นติดต่อกับฝ่ายต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้งด้วยจุดประสงค์แอบแฝงหวังจะฟูมฟักสาวก ซ่องสุมกำลัง รอเวลาที่จะก่อตั้งนิกายใหม่ขึ้นมา แล้วก็จะพยายามขโมยรากฐานของโบสถ์เราโดยใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์”
“ในขณะเดียวกัน นี่ก็หมายความว่าเทพปีศาจนี่ยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ดังนั้นมันจึงยังไม่กล้าเผยตัวตนที่แท้จริงและต้องหลบซ่อน หาไม่แล้วเมื่อถูกพบมันจะถูกเชือดตายคาอู่เสียแทน”
“โชคร้ายที่เขาไม่เคยนึกฝันว่าตรานักบวชของวินเซนต์จะกลายเป็นจุดจบของเขา…”
ร็อดนีย์ยิ้มพลางเอื้อมมือไปลูบไล้ ‘สายรกสีเงิน’ ที่ประดิษฐานอยู่บนยกพื้นหินอย่างอ่อนโยน “ผลของมันเข้าที่แล้วในหมู่ผู้ใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์กลุ่มแรก แล้วพวกเขาก็จะกลายมาเป็นสาวกอันเร่าร้อนที่สุดของดวงจันทร์…แม้ความตายก็ไม่อาจทำให้พวกเขาสะดุ้งสะเทือน”
“รออีกสักหน่อยนะ แค่เพียงอีกสักนิดเราก็จะเริ่มลองได้แล้ว ไม่นานเจ้าจะสามารถจุติจากแดนนิมิตได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวสายตาน่ารังเกียจของผู้คนบนโลกนี้แล้ว”
สายตาของพระสังฆราชนั้นเมตตาทว่าเร่าร้อนราวกับว่า ‘สายรกสีเงิน’ รูปร่างพิลึกนี้เป็นบุตรของเขาเอง…
สิ่งที่เหมือนสายรกนี้กระดิกตัวเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง…
จู่ ๆ คิ้วของร็อดนีย์ก็ย่นเข้าหากันในขณะที่เขารีบร้อนหันไปด้านข้าง แล้วก็พบกับแสงสีขาวจาง ๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างสเตนกลาสสีกุหลาบของโบสถ์เข้ามา
ร็อดนีย์หรี่ตามองด้วยลางสังหรณ์บางอย่างแล้วก็เห็นว่าลำแสงนี้ฉายมาจากสุดขอบฟ้า และที่ใจกลางของมันนั้นเป็นจุดแสงที่เจิดจ้าเป็นพิเศษที่ดูราวกับดวงอาทิตย์รุ่งเช้า
แต่ตอนนี้มันกลางดึกชัด ๆ!
“ทิศนั่นมัน…นั่นมันทิศของสังฆมณฑลที่เจ็ด เกิดอะไรขึ้นกับวาเนสซากัน?”
ร็อดนีย์เพิ่งพูดขาดคำไปในตอนที่เขาได้ยินเสียงที่เหมือนโลหะหลอมละลาย
ชี่…
ร็อดนีย์หันไปมองคทาของเขาแล้วพบว่าเครื่องประดับดวงจันทร์ที่อยู่ซ้ายมือล่างสุดในห่วงด้านในที่เป็นตัวแทนของเดือนดับข้างแรมนั้นเริ่มละลายตัวมันเอง!
โลหะหลอมกลายเป็นของเหลวสีทองหยาดหยดลงมาทีละหยด แต่ก่อนที่หยดโลหะเหล่านี้จะทันได้ถึงพื้น พวกมันก็ดูจะระเหยกลายเป็นความว่างเปล่าไปจากอุณหภูมิอันร้อนแรง!
ในพริบตา เครื่องประดับเดือนดับข้างแรมก็หายไป!
“ได้ยังไงกัน?!”
สีหน้าของร็อดนีย์ย่ำแย่ เครื่องประดับดวงจันทร์นี้ไม่ใช่เพียงเครื่องหมายเชิงสัญลักษณ์ แต่มันเป็นคริสตัลพลังของแท้…
ต่อให้วาเนสซาจะตายไป แต่พลังก็ควรจะกลับมา ไม่ใช่ว่าหายไปด้วย
สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ความตายของวาเนสซา แต่ยังหมายถึงว่าพลังของอีกฝ่ายนั้นสูงกว่าเธอหลายเท่า และได้กำจัดอัครสาวกเดือนดับข้างแรมไปแบบขุดรากถอนโคน!
ร็อดนีย์ทาบมือลงไปที่แผลบนคทา แต่แล้วก็ต้องชักมือกลับทันทีจากความร้อนระอุที่สัมผัสได้
เมื่อเหลือบลงมาที่มือสั่น ๆ ของเขาแล้ว ร็อดนีย์ก็ตระหนักได้ว่าความร้อนรุนแรงนั้นเป็นเพียงเรื่องผิวเผิน สิ่งที่กำลังลุกไหม้อยู่นั้น…คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์!
“สาธุคุณเจ้าคะ สังฆมณฑลที่ 7 ถูกโจมตีค่ะ เกิดการระเบิดต่อเนื่องที่สงสัยว่าจะเกิดจากวินเซนต์ขึ้นที่วิหาร สมาชิกสมณเพศ 233 คนรวมถึงวาเนสซาได้รับการยืนยันแล้วว่าเสียชีวิต และสังฆมณฑลอื่น ๆ ก็ได้รับการแจ้งแล้ว และสถานะของวินเซนต์ก็ถูกยกระดับเป็นประกาศจับระดับสูงสุดแล้วค่ะ”
หญิงงามผู้หนึ่งในชุดแม่ชีสีขาวปรากฏกายที่มุมหนึ่งของโบสถ์อย่างเงียบงันแล้วโค้งให้กับร็อดนีย์
เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเชอร์ริล หนึ่งในสองสตรีศักดิ์สิทธิ์
ร็อดนีย์สูดหายใจลึกพลางมองแผลบนฝ่ามือของเขา “นั่นหมายความว่าวินเซนต์หนีไปแล้วใช่ไหม?”
เชอร์ริลก้มศีรษะลงต่ำกว่าเก่า “ใช่ค่ะ…”
สายตาของร็อดนีย์นั้นตึงเครียดแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังดูเปี่ยมเมตตา “ข้าจำได้ว่าเขาเป็นเด็กดีที่มีสัมพันธ์อันดีกับบาทหลวงที่ชำระบาปให้เขานี่”
“อ้อใช่…ข้าจำบาทหลวงเฒ่านั่นได้ ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในวิหารแห่งกุศลกรรมในสังฆมณฑลที่ 7 หรือ? ให้เดือนเสี้ยวข้างแรมไปพบเขาแล้วแสดงความเห็นอกเห็นใจเสียสิ”
อัครสาวกลำดับที่ 6 บัค เดือนเสี้ยวข้างแรมนั้นรับหน้าที่สืบสวนและได้รับความสามารถ ‘บทพิพากษาผู้นอกรีต’
หากวินเซนต์ไม่ลนลานไปหาบาทหลวงเฒ่า งั้นก็จะสามารถใช้บาทหลวงเฒ่าเพื่อข่มขู่วินเซนต์ได้ และหากวินเซนต์ไปหาเขาจริง ๆ งั้นเขาก็จะเป็นได้เพียงเป้าหมายอันโอชะ
เชอร์ริลพยักหน้าแล้วถอยหายไปในเงามืด
—
“แฮ่ก…แฮ่ก…ในที่สุด…ก็ทำได้แล้ว…”
วินเซนต์โซเซ หอบหายใจเข้าปอดในขณะที่ทุบประตูแล้วไหลลงไปกองกับพื้นจนเกิดรอยเลือดเป็นทาง
ในตอนนี้สภาพเขาดูเละเทะน่าเวทนามาก ทั้งใบหน้าและทั่วร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลไหม้ดำ ดวงตาของเขาแดงก่ำและชุดบาทหลวงที่ขาดวิ่นนั้นก็ชุ่มด้วยเลือด
พลังของคัมภีร์ตะวันไม่เพียงทำให้สังฆมนฑลที่ 7 ทั้งหมดราบเป็นหน้ากลองเท่านั้น มันยังแผดเผาเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ทั้งหมดในตัวเขาแล้วขับมันออกไป ปรับเปลี่ยนร่างกายของเขาเสียจนวินเซนต์ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยเช่นกัน
แต่แน่ใจได้เรื่องหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหาผลลัพธ์ของมันได้ เขาต้องทนความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เหมือนจะฉีกกระชากร่างของเขาเป็นชิ้น ๆ นี้ให้ได้เสียก่อน
หลังจากหนีมาจากวิหารในสังฆมนฑลที่ 7 ได้ เขาก็รู้ว่าปฏิกิริยาแรกของโบสถ์จะต้องเป็นการปิดกั้นบริเวณทั้งหมด แล้วจากนั้นก็คือส่งหมายจับเพื่อประกาศจับเขา
ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัสและไม่มีทางหนีไปที่ร้านหนังสือได้ เพราะมันไกลเกินไป
เขาไร้ที่ไป…เว้นเพียงที่เดียว
วินเซนต์มองขึ้นไปที่ป้ายไม้เหนือประตูที่เขียนว่า ‘วิหารแห่งกุศลกรรม’ ที่นี่คือโบสถ์หลังเล็กของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่อยู่ในสลัม มีเพียงบาทหลวงเฒ่าหนึ่งคนและนักบวชฝึกหัดอีกสองคนเท่านั้น มันเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน
นี่คือที่ที่เขาทำพิธีชำระบาปในตอนที่เขาเข้าร่วมกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุด