บทที่ 149 : แก๊สระเบิดอีกแล้วเหรอ?!
เดือนเสี้ยวข้างแรมบัคคือหนึ่งในสองอัครสาวกที่อยู่ในระดับภัยพิบัติ เขายังเป็นอัครสาวกที่อายุมากที่สุดในตอนนี้และยังเป็นหัวหน้าสำนักงานสอบสวนด้วย เขาโหดร้ายและเฉยเมย บัคยังเป็นที่รู้จักในนามของ ‘ยมทูตคร่าวิญญาณ’ และ ‘ทูตแห่งความตาย’ ด้วย
ทว่า…คนจำนวนมากกว่านั้นได้ให้ชื่อเล่นเขาว่า ‘อาณาจักรคนตาย’ เพราะลือกันว่าเคียวของเขาได้สังหารคนไปเป็นหมื่น และรวมไปถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วยอีกหลายคน
ยังมีผู้ทุศีลและพวกนอกรีตอีกหลายคนที่ถูกประหารอย่างโหดร้ายโดยสำนักงานสอบสวน หากคนเหล่านี้ทั้งหมดสามารถถูกคืนชีพได้ จำนวนของพวกเขาคงเพียงพอที่จะเติมเต็มเมือง ๆ หนึ่งได้ และนั่นคือที่มาของชื่อเล่นของบัค
ยิ่งกว่านั้น บัคนั้นอยู่ในชุดดำตลอดทั้งปี เสริมด้วยหน้ากากกระดูกสีดำและเคียวยักษ์ที่เป็นอาวุธของเขา มันดูราวกับว่าเขาคือความตายที่เก็บเกี่ยวชีวิตแล้วชีวิตเล่า ซึ่งเพิ่มรูปลักษณ์ที่ลึกลับและน่าขนลุกขนพองของเขาตามไปด้วย!
บัคเป็นอัครสาวกผู้ภักดีคนหนึ่ง เขาออกจากสำนักงานสอบสวนทันทีที่ได้รับคำสั่งจากพระสังฆราช และออกเดินทางอย่างสุดความเร็วมาที่วิหารแห่งกุศลกรรม…
มีเพียงสองตัวเลือกในภารกิจของเขา อย่างแรกคือหากวินเซนต์ไม่ได้มาที่วิหาร บัคจะจับกุมเทอร์เรนซ์แล้วใช้เขาเป็นตัวประกัน
อย่างที่สองคือ หากวินเซนต์มาที่วิหารจริง บัคจะซุ่มรอแล้วกำจัดเจ้าคนทุศีลที่เป็นภัยใหญ่หลวงต่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุดเสีย
หากเป็นเหตุการณ์ของกรณีที่สอง เทอร์เรนซ์นั้นจะอยู่หรือตายก็ช่าง หรือก็คือ…ในสายตาของบัคแล้ว บาทหลวงเฒ่านั้นไม่ได้ต่างจากคนธรรมดานักและไม่สลักสำคัญอะไรเลย
เหตุผลเดียวที่เทอร์เรนซ์ตายนั้นเป็นเพราะเขาแค่ยืนอยู่ตรงหน้าวินเซนต์ในตอนที่ตัวเองโจมตีออกไปเท่านั้นเอง
แค่นั้นจริง ๆ
บัคยกเคียวของเขาขึ้น แล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ก็หุ้มไปรอบใบมีดราวกับเปลวเพลิงสีดำทมิฬ อากาศรอบ ๆ สั่นกระเพื่อมเป็นเส้นแสงโค้งมนที่บ่งบอกความคมของมันได้เป็นอย่างดี…
ไร้การออมมือใด ๆ บัคเตรียมการโจมตีครั้งที่สอง
เขารู้ว่าการโจมตีแรกเกือบจะผ่าวินเซนต์เป็นสองส่วนได้แล้ว พิจารณาจากระดับความสามารถควบคุมอีเธอร์ของวินเซนต์รวมไปถึงความแข็งแกร่งของร่างกายของเขาแล้ว บาทหลวงคนนี้คงร่อแร่ใกล้ตายแล้ว
ทว่าบัคก็ยังเลือกที่จะลงมืออย่างรอบคอบและทำให้แน่ใจว่าศัตรูจะถูกกำจัดแน่นอน…
บัคนั้นไม่ใช่คนบุ่มบ่าม เขาอ่านรายงานมาอย่างละเอียดก่อนจะมาถึงที่นี่และวิเคราะห์ความแข็งแกร่งปัจจุบันของบาทหลวงทุศีลที่รู้จักในนามวินเซนต์นี้แล้ว
เขาใช้วิธีพิศวงบางอย่างในการลงมือโจมตีด้วยพลังมหาศาลที่ทำให้สังฆมณฑลที่ 7 ราบเป็นหน้ากลองและสังหารวาเนสซาลง แต่อัครสาวกเดือนดับข้างแรมคนใหม่ที่เพิ่งจะได้รับตำแหน่งนั้นอยู่ในระดับสัตว์ประหลาดเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น ‘อาณาเขตแห่งความเงียบ’ ของเธอนั้นเป็นความสามารถสายสนับสนุนอย่างสมบูรณ์ ความสามารถในการต่อสู้ของตัวเธอเองนั้นค่อนข้างน้อย และการที่เธอจะถูกฆ่าได้นั้นดูไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
และจากที่บัคเห็นมากับตาเมื่อครู่ วินเซนต์ก็ดูเหมือนจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ ซึ่งหมายความว่าเขาได้รับผลข้างเคียงในการใช้วิธีพิศวงนั้น
แม้ว่าวินเซนต์จะมีความแข็งแกร่งในระดับภัยพิบัติจริง แต่เขาก็เป็นได้แค่ระดับภัยพิบัติหน้าใหม่ที่เพิ่งโดนดันขึ้นมาด้วยวิธีพิศวงนั้น ทว่าบัคนั้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับภัยพิบัติแล้ว และเขาไม่จำเป็นต้องกลัวเรื่องนี้เลย
บัคไม่ได้เผยความคิดเหล่านี้ออกมาเลย ดวงตาหลังหน้ากากกระดูกสีดำนั้นไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิงในขณะที่เขายกเคียวขึ้นสูงแล้วกวาดลงมา
พลังอันดับสูญ อันตรายและดำมืดแห่งดวงจันทร์อันศักดิ์สิทธิ์ทะลักออกมาราวกับกระแสน้ำที่เปี่ยมด้วยจิตสังหาร ทุกอย่างที่มันสัมผัสจะถูก ‘สังหาร’ จนถึงแก่น กระทั่งมิติก็ไม่ละเว้น มันสลายตัวและบิดเบี้ยว เกิดเป็นหลุมดำที่หมุนวนอยู่ที่ใจกลางวิหาร
ในขณะเดียวกัน ‘บทพิพากษาผู้นอกรีต’ ก็ถูกใช้งาน เงาจันทร์เสี้ยวข้างแรมปรากฏขึ้นด้านหลังบัค
มีอีกหนึ่งเหตุผลที่พระสังฆราชร็อดนีย์ส่งอัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมมาที่นี่ และนั่นคือความสามารถของบัคที่ควบคุมด้านของ ‘กฎ’ และแบกรับเจตนารมณ์ของดวงจันทร์ไว้ แม้ว่าอำนาจของคู่ต่อสู้จะควบคุม ‘กฎ’ เหมือนกันก็ตาม แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ…
ตามชื่อของมัน ‘บทพิพากษาผู้นอกรีต’ นั้นสามารถตัดสินได้ว่าคู่ต่อสู้เป็นสาวกของดวงจันทร์หรือไม่…ตราบใดที่พลังของเขาต่ำกว่าบัค ความสามารถนี้จะสามารถสังหารได้ในพริบตา!
คู่ต่อสู้นั้นทุศีลไปแล้ว และไม่ใช่สาวกของดวงจันทร์อีกต่อไป เพราะฉะนั้นนี่คือความสามารถที่สมบูรณ์แบบในการจัดการกับวินเซนต์!
“เป็นเกียรติของแกนะที่จะได้ตายโดยแสงสว่างของดวงจันทร์!”
บัคประกาศการตายของวินเซนต์ออกมาจากบนขื่อ
ในช่วงเวลาพริบตานั้น เคียวของบัคกำลังจะถึงคอของวินเซนต์อยู่แล้ว และวินาทีต่อมา เขาก็เห็นวินเซนต์เอื้อมมือออกมาคว้าใบเคียวเอาไว้
มือของวินเซนต์นั้นโชกเลือดและเต็มไปด้วยสะเก็ดไหม้ ๆ แรงต้านของเขาทำให้พวกมันล่อนออก เผยให้เห็นเนื้อในที่เหมือนหินหลอมละลายด้านใต้ที่ดูราวกับลาวาเดือดปุด ๆ ที่เรืองแสงสีแดงและทอง
ฉ่า…
ความร้อนรุนแรงจากนิ้วของวินเซนต์ทำให้เกิดรอยบุบย่นทรงฝ่ามือขึ้นบนใบเคียวแล้วหลอมละลายออกเร็วเสียจนคมเคียวเรืองแสงสีแดงฉ่า และเกิดคลื่นความร้อนโชยขึ้นมา
แล้วร่างของวินเซนต์ก็ปะทุเพลิงขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาโถมร่างเข้าใส่บัค
“ได้ยังไงกัน?!”
รูม่านตาของบัคหดตัวเมื่อความร้อนจากเคียวและพลังที่แสดงออกมานั้นเหนือจินตนาการของเขา ทว่าตัวเขาก็ไม่ได้ลนลาน และบิดเคียวเพื่อพยายามจะตัดคอวินเซนต์ด้วยอาวุธโค้งของตัวเองทันที
วินเซนต์เงยหน้าขึ้น เขาไม่พยายามหลบแม้แต่น้อย มืออีกข้างของเขาเอื้อมออกมาแล้วกดลงไปบนใบหน้าของบัค
แกร๊กกก!
เรี่ยวแรงมหาศาลนั้นบดขยี้หน้ากากของเขาในทันที!
สีหน้าพรั่นพรึงอาบไล้ไปทั่วใบหน้าซีดเซียวของบัคในขณะที่ร่างที่ลุกไหม้และดูเหมือนวิญญาณของวินเซนต์สะท้อนอยู่ในม่านตาของเขา
ในตอนนี้เองที่บัคได้ตระหนักถึงความจริงที่น่าสะพรึงกลัว
ความสามารถของเขาไร้ผล!
“ตกใจเหรอ? คุณรู้ไหมว่าทำไมพลังของคุณจึงไร้ผล?”
วินเซนต์พูดออกมาด้วยเสียงแหบพร่า แล้วจากนั้นก็หัวเราะ “เพราะแสงของดวงจันทร์นั้นเป็นเพียงแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์เท่านั้นไง!”
ดวงตาของบัคเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อความรู้ทั้งหมดของเขาแตกสลายไปเนื่องด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ความกลัวและความไม่อยากเชื่อครอบงำเขา ทำให้เขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เขารู้สึกถึงพลังที่รุนแรง แข็งแกร่งและแผดเผาที่ข้ามจากฝ่ามือของวินเซนต์มายังร่างกายของเขา และราวกับเป็นไม้ขีดไฟที่กำลังลุกไหม้ที่ถูกโยนเข้าไปในบ่อน้ำมัน พลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ในร่างของเขาระเบิดออกมาในทันที
สิ่งที่ฆ่าเขาคือความเชื่อในดวงจันทร์ของเขาเอง!
ตู้ม!
“อ๊ากกกกก!”
เปลวเพลิงระเบิดออกอย่างรุนแรงจากร่างของบัค และในพริบตา พลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ในร่างของเขารวมไปถึงหลุมดำที่พลังของเขาสร้างขึ้นต่างระเบิดออก
การที่ผู้อยู่ในระดับภัยพิบัติระเบิดตัวตายในพริบตา ไม่ว่าใครจะมองมันยังไง การระเบิดนี้รุนแรงยิ่งกว่าการระเบิดที่ทำให้วิหารที่ 7 ราบเป็นหน้ากลองอีก
ลูกบอลแสงทรงกลมขยายวงออกไปด้านนอก แล้วท้องฟ้ายามราตรีก็สว่างไสว…
—
วิหารไม้ทั้งหลังกลายเป็นธุลีในฉับพลัน กระเด็นกระดอนไปไกลก่อนจะหายไปในแสงสีขาว
ใจกลางพื้นที่ที่เคยเป็นวิหารแห่งกุศลกรรม วินเซนต์ยืนกอดศีรษะที่ซีดเซียวของบาทหลวงเฒ่าอยู่อย่างเงียบ ๆ เปลวเพลิงสีทองไหลรินออกมาจากเบ้าตาที่ว่างเปล่าทั้งสองของเขาก่อนจะร่วงลงบนพื้นเป็นหยด ๆ
—
หลินเจี๋ยสะดุ้งจากการที่พื้นสั่นสะเทือนอย่างลึกลับ เขายังไม่นอนในคืนนี้เพราะกำลังศึกษาหนังสือที่ชื่อ ‘ยุคมืด: การรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ด’ อยู่
ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือติดลม หลินเจี๋ยก็สัมผัสได้ว่าโต๊ะของตัวเองเริ่มสั่น ก่อนที่ขาของเขาจะสั่นด้วย
หลินเจี๋บไม่เคยมีนิสัยสั่นขาขณะอ่านหนังสือ และสัมผัสได้ทันทีว่าบางสิ่งผิดปกติ ในตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นแผ่นดินไหว แต่ก็สังเกตเห็นแสงสว่างผิดปกติในตอนที่เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
“…หือ?”
หลินเจี๋ยสะดุ้งแล้วดึงม่านเปิดออกเพื่อให้เห็นชัดขึ้น แล้วเขาก็เห็นว่ามีแสงสว่างเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่ไกล ๆ ที่มาพร้อมเสียงสั่นสะเทือน
“แก๊สระเบิดอีกแล้วเหรอ!?”