บทที่ 151 : ยอดนักต้มซุปไก่ยอมไม่ได้
หลินเจี๋ยมีประสบการณ์พอตัวสำหรับความ ‘จูนิเบียว’ ของมูเอน ก่อนหน้านี้ในตอนที่เขาได้ให้พจนานุกรมกับเธอเพื่อเรียนคำศัพท์พื้นฐาน การตรวจการบ้านเธอแต่ละครั้งนั้นไม่ต่างจากการเข้าร่วมงานประชุมจูนิเบียวเลย
แม้ว่าลึก ๆ แล้วเขาจะพบว่ามันน่าขำ แต่หลินเจี๋ยก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นการเรียนรู้จากความสนใจอย่างหนึ่ง
ในเมื่อเด็กชอบมันและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หลินเจี๋ยก็ตัดสินใจว่าตัวเองจะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ถึงอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
วิธีสอนของหลินเจี๋ยนั้นใจกว้างอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เขาจะอิงจากความสามารถของนักเรียนแต่ละคนของตัวเอง และเป็นอาจารย์ที่ดีที่หลายคนชื่นชม…แม้ว่านี่จะไม่เกี่ยวกับความถนัดของเขาสักหน่อยก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้มีข้อจำกัดที่รัดกุมเยอะเท่าไหร่
แต่การโพล่งความจูนิเบียวของมูเอนออกมาตั้งแต่หัววันแบบนี้ทำให้เราตกใจไปเอาการ ที่สำคัญกว่านั้นคือ กระบวนการคิดแบบนี้นี่มันเหมือนเด็กมากเกินไปแล้วจริง ๆ
ฮะ ๆ ๆ
เหมือนกับที่พวกเด็ก ๆ จะชอบตอบว่า ‘อุลตร้าแมน’ และตัวละครพิลึก ๆ อื่น ๆ ออกมาเมื่อคุณครูถามพวกเขาว่า ‘พวกหนูฝันอยากเป็นอะไร?’ นั่นแหละ
หลินเจี๋ยคิดว่ามูเอนน่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่กว่าคนรุ่นเดียวกับเธอเมื่อมองจากสีหน้าท่าทางเฉยเมยของเธอแล้ว ทว่าในใจแล้วเธอก็ยังเป็นยัยตัวแสบจอมซนอยู่วันยันค่ำ
หลินเจี๋ยชะงักไปครู่หนึ่งในตอนที่เขานึกภาพใบหน้าของมูเอนปรากฏบนดวงจันทร์แล้วหัวเราะคิกคักเหมือนดวงอาทิตย์ในเทเลทับบี้ แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำพรืดออกมาในระหว่างที่พยายามกลั้นหัวเราะไว้
เมื่อเห็นท่าทีพยายามสะกดขำของอาจารย์หลิน มูเอนก็คิดว่าเธอถูกมองว่าเพ้อเจ้อ แล้วแก้มของเธอก็พองหนักไปใหญ่
เธอลงมือเมื่อคืนนี้โดยได้รับความร่วมมือของวัลเพอร์กิสและได้มอบส่วนที่หลงเหลือของดวงอาทิตย์ที่ถูกฝังไว้ในแดนนิมิตของวัลเพอร์กิสให้วินเซนต์ผู้ครอบครองคัมภีร์ตะวันไปแล้ว และประสาทพลังที่หลงเหลืออยู่ของดวงอาทิตย์ให้กับเขา…
นี่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นหลายเท่าอย่างรวดเร็วขึ้นและทำให้สังฆราชของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดตื่นตัว โชคดีที่โบสถ์นั้นยังไม่ตื่นตัวมากพอสำหรับสิ่งที่พวกตนไม่อาจหยั่งทราบ
ใช้โอกาสที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดขาดข้อมูลและทะนงตน อัครสาวกสองคนถูกสังหารและทั้งสังฆมณฑลหนึ่งก็ถูกโจมตีจนราบคาบ
นี่เป็นก้าวแรกของพันธสัญญาของมูเอนต่อวัลเพอร์กิส ในขณะที่นี่เป็นการเริ่มต้นที่แทบจะสมบูรณ์แบบสำหรับพวกเธอ มันก็ยังต้องใช้ความสามารถที่มากกว่าพลังของพวกเธอรวมกันในการขุดรากถอนโคนเทพจอมปลอมนี้ออกมา
พลังของดวงจันทร์ที่แท้จริงถูกพวกมันยึดไปแล้ว และวัลเพอร์กิสมีความแข็งแกร่งเหลืออยู่แค่พอคงแดนนิมิตของตัวเองไว้ได้เท่านั้น แต่เธอยังไม่สามารถแทรกแซงความเป็นจริงได้
…มูเอนน้อยผู้ใสซื่อรู้สึกเหมือนถูกวัลเพอร์กิส แม่มดเฒ่าที่อยู่มาเป็นยุค ๆ หลอกเข้าให้แล้ว แต่ตอนนี้เธอไม่เหลือเวลาให้มานั่งเสียใจ
ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะใช้วินเซนต์
ร่างของวินเซนต์มีพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ที่มีที่มาเดียวกันกับดวงอาทิตย์ และยังเข้ากับพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงอาทิตย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีคัมภีร์ตะวันเป็นสื่อกลาง เขาก็เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุด
เหนือไปกว่านั้น ในฐานะของเหยื่อศาสนา เขานั้นเกือบจะต้องขัดแย้งกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอยู่ก่อนแล้ว
พูดให้เซฟ ๆ ก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะมูเอนให้ดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่กับเขา วินเซนต์คงได้พบจุดจบที่น่าอนาถยิ่งกว่านี้
ในสายตาของโบสถ์แล้ว วินเซนต์จะเป็นแมลงร้ายน่ารังเกียจที่ไม่ยอมตายเสียที แล้วพวกเขาก็จะเลือกใช้ทุกวิถีทางที่จะบดขยี้เขาซ้ำ ๆ
เมื่อคำนึงถึงความใจอ่อนและจุดอ่อนในฐานะสมาชิกของโบสถ์ของวินเซนต์แล้ว กลุ่มคนดวงกุดที่จะถูกลากไปตายด้วยนั้นคงไม่ใช่เขาเป็นคนสุดท้ายหรอก
มูเอนและวัลเพอร์กิสเห็นตรงกันว่าเจ้าของร้านหนังสือนั้นได้มอบตัวเลือกที่ดีที่สุดให้พวกเธอแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้เจาะจงพูดมันออกมาก็ตาม แต่เขาได้ส่องสว่างทางให้พวกเธอและรอให้พวกเธอร่วมมืออย่างสมัครใจเอง
เขารู้ทุกสิ่ง แต่เขาแค่ไม่พูดออกมา
ยิ่งกว่านั้น วัลเพอร์กิสยังพูดอย่างคลุมเครือด้วยว่าเธอสัมผัสได้ถึงออร่าของซิลเวอร์จากร่างของเขา นั่นหมายความว่าอดีตสหายแม่มดบรรพกาลของเธอต้องหาวิธีกลับสู่โลกแห่งความจริงอยู่แน่ และได้มีความสัมพันธ์เชิงร่วมมือบางอย่างกับเจ้าของร้านหนังสือ
พวกเขาอยู่ในฝ่ายเดียวกัน
ทว่าการเร่งความเร็วในการบรรลุจุดประสงค์นั้นทั้งหมดเป็นการชิงลงมือของมูเอนและวัลเพอร์กิสทั้งสิ้น ใครจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเธอทำจะมีผลทางลบต่อแผนของหลินเจี๋ยหรือเปล่า
มูเอนใช้เวลาทั้งคืนคิดทบทวนแล้วรู้สึกกระสับกระส่ายเมื่อคิดว่าการกระทำตามอำเภอใจของเธออาจจะไปรบกวนแผนใหญ่หลวงของเจ้าของร้านเข้า
และนั่นคือเหตุที่ทำไมเธอจึงพูดออกมาอย่างวิตกเพื่อขอความเห็นของหลินเจี๋ย
แต่ตอนนี้มันดูเหมือนว่า…เจ้าของร้านจะไม่ได้สนใจการกระทำที่เธอเปลี่ยนชะตากรรมของคนอื่นเท่าไหร่นัก แล้วทำเพียงรอให้พวกเขากลับมาเพื่อที่จะชี้ทางให้พวกเขาเคลื่อนไหวได้ต่อ
มันเหมือนกับเขาทำเพียงดีดสายที่โยงชะตาของใครสักคนเล่น ๆ แล้วรอให้เกิดเรื่องพิเศษหรือเสียงที่ก้องกังวานออกมาอย่างพิเศษเฉพาะอย่างสนอกสนใจ… และตอนนี้เจ้าของร้านก็ดูจะขำขันกับสิ่งที่เขาได้ยิน
มูเอนรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ทุกอย่างที่เธอทำนั้นรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเธอ แต่เธอนั้นเป็นได้เพียงเด็กน้อยที่เล่นพ่อแม่ลูกในสายตาของเจ้าของร้านหลิน
เธอกลืนอาหารในปากของเธออย่างเงียบ ๆ แล้วเอ่ยถาม “ทำไมถึงหัวเราะล่ะคะ? อยากเป็นดวงจันทร์มันผิดตรงไหนเหรอ?”
หลินเจี๋ยสังเกตเห็นความรวดร้าวเล็กน้อยแฝงมากับน้ำเสียงของมูเอน…ตอนนี้เธอรับมือยากแล้ว
“อะแฮ่ม…ไม่มีอะไรหรอกครับ มันไม่ใช่ความคิดที่แย่นะ อืม ผมสนับสนุนเต็มที่เลย”
หลินเจี๋ยกระแอมให้คอโล่งแล้วลดรอยยิ้มของเขาลง พยายามสุดชีวิตให้ดูจริงจัง โชคร้ายที่ประกายวิบวับเล็ก ๆ ในดวงตาของชายหนุ่มทำให้เขาดูเมตตา
ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าได้รับเด็กน้อยน่ารักมาเลี้ยงเสียแล้ว
เฮ้อ…เธอก็ไมใช่แค่น่ารักธรรมดาด้วย…เด็กธรรมดา ๆ ส่วนใหญ่เขาอยากจะเป็นพระจันทร์กันเหรอ?
มูเอนส่งเสียงในคอตอบรับ คำเหล่านี้ยังฟังดูแค่ตอบแบบขอไปทีสำหรับเธอ
แต่ในเมื่อเขาว่ามาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าของร้านหลินยอมรับในการกระทำของพวกเธอ
ความกระสับกระส่ายของมูเอนสงบลงพอตัว
หลินเจี๋ยนึกขำอยู่ครู่หนึ่งแล้วรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะเพิ่มค่าให้กับเด็กน้อยคนนี้
ดังนั้นเขาจึงวางตะเกียบลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหว่านล้อม “แต่การอยากจะเป็นดวงจันทร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แรกสุดเลยเราจะต้องวางแผนอย่างรัดกุมนะครับ”
“โอ้ ไหนลองบอกผมได้ไหมว่าคุณได้แนวคิดนี้มาได้ยังไง? หรือก็คือ ทำไมคุณถึงคิดอยากเป็นพระจันทร์ล่ะครับ?”
มูเอนผงะไปเล็กน้อย หลังจากที่คิดสะระตะแล้ว เธอก็ตอบอย่างลังเล “เพราะว่า…มันสวยดี?”
ประสบการณ์แรกเริ่มจากการเข้าไปในแดนนิมิตของวัลเพอร์กิสนั้นแนะนำให้เธอสัมผัสกับความช็อกและใจเต้นเป็นครั้งแรก สิ่งเดียวที่แล่นผ่านในใจของเธอในตอนนั้นคือความฝันที่เต็มไปด้วยดวงดาวนั้นช่างสวยอย่างไม่น่าเชื่อ และทำให้เธอปรารถนาจะครอบครองมัน
ดังนั้นเธอจึงตอบตกลงช่วยวัลเพอร์กิสอย่างไร้คำอธิบาย
“…” ริมฝีปากหลินเจี๋ยกระตุก
เหตุผลนี้โคตรจะไร้ที่ติเลยครับ ปฏิเสธไม่ออกเลยครับ!
เฮ้อ…เด็ก ๆ นี่ตรงไปตรงมาจนพวกเขามองทะลุภาพลักษณ์และรับรู้ถึงเนื้อในได้จริง ๆ
แต่ว่ายอดนักต้มซุปไก่ยอมไม่ได้หรอก
“คุณรู้ไหมครับว่าความงามของดวงจันทร์มาจากไหน?”
หลินเจี๋ยแทรกวิทยาศาสตร์ลงไปอย่างแยบยล “ที่จริงแล้วดวงจันทร์ไม่ได้ส่องสว่างด้วยตัวมันเองหรอกครับ แสงจันทร์ที่สวยงามนั้นที่จริงแล้วเป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ต่างหาก”
“แต่ว่าแสงอาทิตย์นั้นร้อนแรงเกินทนอยู่เสมอและไม่สามารถมองมันตรง ๆ ได้ ถึงจะอบอุ่น แต่มันก็ส่องลงไปไม่ลึกถึงก้นบึ้งในใจคนหรอกนะครับ”
“ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง ดวงจันทร์นั้นเปลี่ยนสภาพแสงนั้นไป และหลังจากนั้นมันจึงเรืองแสงที่สวยขนาดนั้นออกมาได้”
“ความเคารพให้เกียรติ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนโยนและความอดทนใจเย็น สิ่งเหล่านี้คือลักษณะของดวงจันทร์ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดคือสิ่งที่คุณต้องทำให้ได้ถ้าคุณอยากจะเป็นดวงจันทร์ครับ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ดวงจันทร์ก็ยังเป็นสะพานที่เชื่อมต่อผู้คนด้วย ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ผู้ที่คิดถึงบ้านเกิดก็มักจะมองไปที่ดวงจันทร์ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้น นั่นคือเหตุว่าทำไมดวงจันทร์ถึงแบกรับอารมณ์อันบริสุทธิ์และดั้งเดิม รวมไปถึงความเชื่อในใจผู้คนและคอยประคับประคองจิตวิญญาณที่เหนื่อยล้าของคนมากมายอยู่เสมอนะครับ”
หลินเจี๋ยลูบหัวมูเอนแล้วสรุปจบจากใจ “ดวงจันทร์ไม่ใช่วัตถุไร้หัวใจ แต่เป็นอะไรที่ผู้คนยึดเหนี่ยวจิตใจครับ คุณจะเป็นดวงจันทร์ได้ก็ต่อเมื่อคุณเข้าใจเรื่องนี้แล้วเท่านั้นแหละครับ”