บทที่ 152 : อื้อ ใช่ครับ ถูกแล้วล่ะ
หลินเจี๋ยมีแนวคิดที่เรียบง่าย ในเมื่อมูเอนอยากจะเป็นดวงจันทร์ งั้นเขาก็จะเล่นตามน้ำ…นี่คือสิ่งที่ทำให้เขามักจะชนะใจลูกค้าของตัวเองเช่นกัน
การเล่นไปตามน้ำ ตามความต้องการของลูกค้านั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ อย่างที่เขาพูดกันว่าคำแนะนำที่ซื่อตรงนั้นอาจจะเป็นคำแสลงหูสำหรับผู้ฟังได้
บางคำถามนั้น หากตอบไปตรง ๆ อาจจะเป็นคำแสลงที่ไม่สุภาพ แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบได้
นี่รังแต่จะส่งผลเสียเมื่อต้องรับมือลูกค้า แล้วใครจะชอบฟังคำพูดหยาบคายแม้จะเป็นเรื่องจริงกันล่ะ?
ต่อให้เขาอยากจะเปลี่ยนความคิดของคนอื่นก็ตาม หลินเจี๋ยจะชอบใช้วิธีพูดหว่านล้อมคนอื่นโดยใช้หลักเหตุผลของพวกเขา ก่อนที่จะใช้คำพูดของตัวเองในการนำทางอย่างราบรื่นมากกว่า
แน่นอนว่ามันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย หากอีกฝ่ายเป็นคนโง่ งั้นหลินเจี๋ยก็จะไม่ถือสาที่จะโจมตีอย่างตรง ๆ ห้วน ๆ เพื่อที่จะปรับแนวคิดของพวกเขาเสีย
เพราะถึงอย่างไร จุดประสงค์การเรียนรู้ก็เพื่อให้คนสามารถพูดอย่างใจเย็นกับคนโง่ ในขณะที่การออกกำลังกายนั้นก็เพื่อให้แน่ใจว่าคนโง่จะสามารถพูดกับตนได้อย่างใจเย็น
นี่ยังเป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมหลินเจี๋ยจึงไม่ลืมที่จะออกกำลังกายทุกวันหลังจากย้ายโลกมา
แต่ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใด เหตุผลนี้ก็อยู่เบื้องหลังการพร่ำสอนเด็ก ๆ ในอายุราวนี้ด้วย แม้ว่าการกดดันและทำให้กลัวอาจจะมีประสิทธิภาพเหมือนกันก็ตาม แต่มันมักจะมีผลเชิงลบที่มองไม่เห็นต่อเด็กและอาจจะทำให้มุมมองหรืออุปนิสัยของเด็กคนนั้นย่ำแย่ลงได้…
คุณหลินรู้สึกว่าความไร้เดียงสาอย่างเด็ก ๆ และความสนใจนั้นเป็นคุณสมบัติที่ดีที่ควรค่าที่จะรักษาไว้ แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องจบความจูนิเบียวที่กำลังมุ่งหน้าไปอย่างผิดที่ผิดทางนั้นเสีย
เพราะความจูนิเบียวด้วยความคิดผิด ๆ นั้นอาจอันตรายได้!
ดังนั้นเขาจึงต้องปลูกฝังคุณค่าอันดีงามไว้เสียแต่เนิ่น ๆ และนำทางเธอไปยังทิศทางที่ดี
ดวงจันทร์นั้นที่จริงแล้วเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ดังนั้นทำไมจะไม่ให้มูเอนเล่นตามบทนี้ต่อแล้วหาคุณสมบัติอันดีงามมาสร้างลักษณะนิสัยที่ดีของเธอล่ะ
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าเขานี่มันผู้ส่งสาสน์แห่งความยุติธรรมชัด ๆ
มูเอนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แม้เธอจะไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ตาม แต่ก็จับประเด็นได้สามข้อแล้ว
อย่างแรกคือความเกี่ยวข้องกันของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ รวมไปถึงเหตุผลการมีอยู่ของดวงจันทร์
ส่วนที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับจุดนี้คือ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ซึ่งเป็นแก่นพลังของดวงจันทร์ที่รับเอาพลังจากภายนอกมาเป็นของตนเอง แล้วเปลี่ยนสภาพมันเป็นอำนาจมหาศาลของตัวเอง
อันที่จริง มันไม่ได้จำกัดแค่เพียงดวงอาทิตย์ แต่เป็นทั้งกาแล็กซี เพียงแค่ว่าอิทธิพลของดวงอาทิตย์มีมากที่สุดเท่านั้นเอง…
อื้อ…เจ้านายนี่รู้ทุกอย่างจริง ๆ ด้วย เขาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ได้ละเอียดครอบคลุมเหมือนที่วัลเพอร์กิสพูดเป๊ะเลย
ประเด็นที่สองคือคุณสมบัติที่ดวงจันทร์ต้องมี ส่วนประเด็นที่สามนั้น… มันดูเหมือนหลักความเชื่อมากกว่า
ในฐานะที่ดวงจันทร์เป็นนิรันดร์และยืนยง มันจึงถูกกำหนดให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้คนและย่อมมีสาวกและผู้ศรัทธา
เหมือนเช่นโบสถ์แห่งจุดสูงสุด
มูเอนสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าเจ้านายของเธอกำลังเย้ยหยันโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอยู่ เมื่อนึกย้อนไปถึงการกระทำที่เด็ดเดี่ยวและไร้ความปรานีเมื่อคืนแล้ว มันก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นศาสนาที่เชื่อในดวงจันทร์อันสงบและอ่อนโยนเลย แต่ดูเหมือนลัทธิชั่วร้ายเสียมากกว่า
พวกเขาต้องการเพียงควบคุมจิตใจของเหล่าสาวกโดยไม่คำนึงถึง ‘ความเคารพให้เกียรติ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนโยนและความอดทนใจเย็น’ ที่ว่านั่นเลย
ไม่มีพื้นที่สำหรับความเห็นต่างในโบสถ์แห่งจุดสูงสุด
ไม่มีใครรู้ว่ามีเหยื่อภายในอย่างวินเซนต์อีกสักกี่คนที่ถูกควบคุมโดยโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจากการมอมเมาด้วยแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์นี้
จุดที่สาม แน่นอนว่าเป็นขอบเขตของความศรัทธาและพลัง พวกเขาต้องสร้างศาสนาใหม่อันบริสุทธิ์แล้วสร้างการผูกมัดสาวกใหม่และรับพลังแห่งศรัทธามา…
ในปัจจุบัน อัครสาวกสองคนล้มตายไปจากการโจมตีกะทันหันของวินเซนต์ แล้ว ‘อาณาเขตแห่งความเงียบ’ และ ‘บทพิพากษาผู้นอกรีต’ ก็ได้ถูกเก็บคืนมาแล้ว…ชื่อเดิมของอย่างหลังนี่ที่จริงแล้วคือ ‘ต้นกำเนิดมรณะ’ พลังที่ครอบครองโดยกฎแห่งต้นกำเนิดที่สามารถลบล้างทุกสิ่งได้ และอยู่ในขอบเขตของเทพเจ้าโดยแท้จริง
แต่เมื่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุดครอบครองมัน ก็เกิดความเข้าใจผิดบางอย่างขึ้น แล้วมันก็กลายไปเป็นอำนาจทำลายล้างโดยบริสุทธิ์ที่กำจัดทุกอย่างที่ไม่ได้มีที่มาเดียวกัน
ขอบเขตของนามธรรมนั้นถูกย่อลงมาไม่รู้กี่เท่า และระดับพลังของมันก็หล่นฮวบลงไปเยอะอยู่
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวัลเพอร์กิสจึงดูแคลนเทพเจ้าจอมปลอมนั่นนักจนถึงขนาดเรียกมันเป็น ‘สัตว์’
นอกจากการถือครองพลังที่ยิ่งใหญ่แล้ว ที่จริงมันโง่เอามาก ๆ เหมือนสัตว์ดึกดำบรรพ์โง่ ๆ ที่ไม่รู้วิธีใช้พลังเหล่านี้เลย
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของมูเอน หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าเด็กสาวเป็นนักเรียนมีแววที่ควรค่าแก่การสอน เขาลดมือของเขาลงตบไหล่ของเธอแล้วพูด “การอยากเป็นดวงจันทร์นั้นไม่ง่าย แต่การเดินทางนับพัน ๆ ไมล์นั้นเริ่มจากการก้าวเท้าหนึ่งครั้งนะครับ”
“ไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้ตราบใดที่คุณใส่ใจมัน ถ้าคุณเต็มใจจะทำงานหนักและทำความดีให้มากกว่านี้ สักวันหนึ่งคุณจะกลายเป็นดวงจันทร์ในหัวใจของทุกคนครับ”
ด้วยรอยยิ้มที่คลุมเครือบนใบหน้า หลินเจี๋ยเปลี่ยนคำพูดอย่างแยบยลแล้วแทนที่ดวงจันทร์ของจริงกับดวงจันทร์ในใจทุกคน
ด้วยคำพูดนี้ ยัยเด็กบ๊องนี่คงไม่คิดจะบินขึ้นฟ้าไปจริง ๆ จัง ๆ หรอก…ใช่ไหม?
แต่ก็อีกนั่นแหละ การเป็นนักบินอวกาศก็ยังเป็นแรงบันดาลใจที่ดีไม่หยอก
“อื้ม” มูเอนเห็นรอยยิ้มของหลินเจี๋ยแล้วพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“ผมเชื่อว่าคุณจะสามารถทำมันได้แน่ครับ ส่วนจะทำอย่างไรนั้น…อืม คุณสามารถเริ่มได้จากการช่วยผมจัดการกับปัญหาของวินเซนต์นะครับ ถ้าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดใช้ยาเสพติดเพื่อควบคุมนักบวชของพวกเขาจริง งั้นคนพวกนี้ก็แย่ถึงกระดูกและต้องถูกกำจัดจริง ๆ” หลินเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
เขาค่อนข้างเป็นห่วงสถานการณ์ของวินเซนต์และส่งคนไปถามเรื่องเขาอยู่สองสามวันครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบกลับมาเลย
แล้วพอเหมาะพอเจาะว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นตัวอย่างไม่ดีที่เหมาะสมแก่การนำมาสอน แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะให้เด็กคนนี้ทำอะไรอันตรายและจะให้เธอทำแค่ช่วยค้นคว้าข้อมูลหรือหาทรัพยากรบางอย่างเท่านั้นเอง
“เห็นมั้ยมูเอน ดวงจันทร์ที่ว่านั่นน่ะเป็นของปลอม และถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องถูกทำลายทิ้งไป…”
หลินเจี๋ยระลึกถึงเซเลอร์มูนขึ้นมาอีกครั้งแล้วให้ความเห็น “ดวงจันทร์ที่ผมเคยเห็นมาก่อนจากที่บ้านเกิดนั้นก็เป็นเด็กสาวผู้อ่อนเยาว์และงดงามที่มีประโยคติดปากด้วยนะครับว่า ‘ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะมาลงทัณฑ์แกเอง!’”
“มันหมายความถึงว่าเธอผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ และเพราะอย่างนั้น ดวงจันทร์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความยุติธรรมด้วยครับ”
ดังนั้น บทสรุปของเขาจึงเป็น…สาวน่ารักคือความยุติธรรม
หลินเจี๋ยจ้องมูเอน แต่ไม่ได้พูดคำพูดสุดท้ายออกไปเพื่อคงอำนาจความเป็นผู้ปกครองของเขาเอาไว้
มูเอนสังเกตเห็นว่าสายตาของเจ้าของร้านหลินนั้นแปลก ๆ ไปหน่อย แต่ตอนนี้เธอกำลังจมดิ่งอยู่ในคำพูดของเขาอยู่
เธอเข้าใจแล้วว่านี่คือสิ่งที่เจ้าของร้านต้องการมาตั้งแต่ต้น
เธอจะสร้างโบสถ์ใหม่ขึ้นมาแล้วล้มโบสถ์แห่งจุดสูงสุดลง แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องบังคับให้ผู้คนให้เกียรติและบูชาเธอ
เธอเองก็ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะความปรารถนาสูงสุดของเธอดูจะเป็นจริงขึ้นมาแล้วนับแต่ตอนที่เธอหนีออกมาจากในแลปได้
เธออยากจะเป็นตัวตนที่อิสระและแท้จริง และตอนนี้เธอก็มีแนวคิดใหม่แล้ว
ด้วยความที่เธอมีชีวิตได้อีกเพียงปีเดียว มูเอนจึงอยากให้คนจำเธอได้มากขึ้น เธออยากให้โลกนี้จดจำการมีตัวตนอยู่ของเธอ!
“ค่ะ หนูจะทำ” ดวงตาของมูเอนค่อย ๆ เผยแววตาอันไม่สั่นคลอนออกมา “ช่วยวินเซนต์ และผดุง…ความยุติธรรม”
“อื้อ ใช่ครับ ถูกแล้วล่ะ” หลินเจี๋ยพูดอย่างปรีดา
—
มูเอนกลับมาที่แดนนิมิตของเธอโดยอ้างว่าขอนอนกลางวัน
เธอเห็นวัลเพอร์กิสนั่งอยู่ด้านข้างบนจันทร์เสี้ยวที่ดูลวงตา ชุดสีดำของเธอพริ้วไสว เผยให้เห็นเรียวขาขาวอันเรียบลื่นและเท้าเปล่าที่ผอมเพรียวและงดงามของเธอซึ่งสร้างวงกระเพื่อมบนผิวน้ำ
ด้วยศีรษะที่เอียงเล็กน้อย เธอวางคางของเธอไว้บนมือและดูกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
มูเอนขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด เธอไม่รู้ว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า แต่แก้มของวัลเพอร์กิสขึ้นสีเล็กน้อยในขณะที่เธอดูจะกำลังพึมพำ
“…เซเลอร์มูนหรืออะไรนั่น…”