บทที่ 159 : ประชาชนผู้กระตือรือร้น…หลินเจี๋ย
ร็อดนีย์จ้องแท่นพิธีตรงหน้าเขา เอื้อมมือสั่น ๆ ของเขาไปที่สายรกสีเงินโดยเมินเฉยต่อเลือดที่เปรอะเปื้อนทั่วตัวเขา
ในขณะที่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น สายรกสีเงินดูจะเหี่ยวเฉาลง แล้วตอนนี้การขยับไหวของมันก็อ่อนแรงลง
ส่วนที่ไหม้เกรียมถูกปกคลุมโดยเลือดที่ไหลทะลักออกมา และสิ่งที่ดูเหมือนก้อนเนื้อที่ขยับยุกยิกก็เริ่มเติบโตขึ้นใหม่ แต่มีระยะเวลาที่ช้ามาก
ในขณะที่เขาจ้องมองมัน สีหน้าดำมืดของร็อดนีย์พลันอ่อนโยนลง เขาอยากสัมผัสสายรกสีเงินแต่ก็ไม่กล้า แล้วเขาก็เดินวนเวียนรอบ ๆ แท่นพิธีแทน
“ท่านตกใจเหรอ?” ร็อดนีย์ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “ใครทำร้ายท่านเหรอ?
“ให้ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยของท่านแก้ปัญหาให้ท่านเถิด โปรดประสาทพลังของท่านให้กับข้าอีกครั้งเถิด…”
เสียงของเขาแหบและช้า “ได้โปรด มอบมันคืนให้ข้าเถิด…”
สายรกสีเงินหดตัวอย่างรุนแรงหลายครั้งราวกับหัวใจที่ผิดรูป เลือดที่พุ่งออกมาคลุมไปทั่วบริเวณที่ไหม้เกรียม เปลี่ยนเป็นผิวหนังใหม่ได้สำเร็จ แล้วรักษาแผลจนหาย
จนตอนนั้นเอง มันจึงเปล่งแสงนวล ๆ ออกมาอีกครั้ง!
คทาของร็อดนีย์เองก็สว่างไสวขึ้นราวกับจะตอบสนองเช่นกัน
ทว่าเครื่องประดับที่สื่อถึงเดือนเสี้ยวข้างแรมไม่ได้สว่างขึ้นด้วย และยังคงมืดอยู่เช่นนั้น
รวมกับความเสียหายต่อสายรกสีเงินแล้ว มันก็หมายความว่านี่ไม่ใช่การเสียพลังไปชั่วคราว แต่เป็นเพราะพลังของเดือนเสี้ยวข้างแรมถูกนำออกไปจากตัวดวงจันทร์เอง!
หัวใจของร็อดนีย์เองก็ดิ่งวูบ แต่เขายังรักษาสีหน้าเมตตาไว้ได้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนกับสายรกสีเงิน “ท่านทำได้ดีแล้วขอรับ ข้ารับใช้ผู้ต้อยต่ำของท่านจะยังคงทุ่มเทให้กับท่านชั่วนิรันดร์ กำจัดทุกศัตรูของท่าน และทั้งหมดก็เพื่อความคุ้มครองและพรแห่งท่าน”
เขามองสายรกสีเงินที่ค่อย ๆ สงบลงไปอีกพักหนึ่ง แล้วหันไปเชิญสตรีศักดิ์สิทธิ์มา
ใบหน้างดงามของสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นซีดขาว ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความกลัว เธอคุกเข่าลงแล้วอุทานด้วยเสียงสั่น ๆ “สาธุคุณเจ้าคะ…ดิฉัน…ดิฉันหาวิญญาณของบัคไม่เจอเลยค่ะ มันเหมือนกับเขาไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไปแล้ว ใครบางคนลบวิญญาณของเขาออกไปหมดเกลี้ยงเลยค่ะ!”
บัคถูกส่งไปตามล่าและสังหารวินเซนต์
ในระหว่างนี้เขาอยู่ระหว่างการปะทะกับเจ้าของร้านหนังสือ…ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์ในปัจจุบันทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้าของร้านหนังสือ
เขาสังหารบัคอย่างหมดจด แล้วกระทั่งทำลายพลังศักดิ์สิทธิ์จากแหล่งของมันโดยตรงด้วย!
เขาเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่?!
ทั้งเมืองนอร์ซินเงียบสงบราวเมืองคนตายแม้ว่าเขาจะทำเรื่องที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้ลงไป กระทั่งผู้มีระดับเหนือนภายังต้องลงแรงนิดหน่อยในการสังหารผู้มีระดับภัยพิบัติเลย
ระดับภัยพิบัติได้ชื่อนี้เพราะพวกเขาสามารถก่อวิบัติภัยเป็นวงกว้างต่อพื้นที่ทั่วภูมิภาคได้ แต่ในตอนนี้ เขาทำได้อย่างไรในการกำจัดตัวตนระดับภัยพิบัติได้ง่ายราวกับหั่นผักแบบนี้?
สีหน้าของร็อดนีย์ดูไม่ได้เอาเสียมาก ๆ เขาโบกมือไล่เธอไปพลางพูด “เข้าใจแล้ว เจ้าไปได้แล้วล่ะ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์จากไป
ต่อจากนั้น อัครสาวกเดือนเพ็ญก็เดินเข้ามาแล้วบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบริเวณร้านหนังสือที่เหล่าผู้เห็นเหตุการณ์มากมายเฝ้ามองอยู่
ร็อดนีย์ยิ่งสะท้านและเดือดดาลเมื่อเขาได้ฟัง เขากำคทาตัวเองแน่นเสียจนมือขาวซีดและข้อนิ้วปูดโปน
ผู้มีระดับเหนือนภาในโลกนี้สามารถกำจัดผู้มีระดับภัยพิบัติได้ง่ายแบบนั้นเลยหรือ?
หรือจะเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าของร้านหนังสือได้เข้าถึงระดับในนิทานที่ไม่เคยมีอยู่จริงได้แล้ว?
“เป็นไปไม่ได้! ระดับแบบนั้นมีอยู่ได้แค่ในแดนนิมิตเท่านั้นแหละ แม่มดบรรพกาลเอย เทพเจ้าเอย ของพวกนี้มีแค่ในแดนนิมิต ไม่มีใครสามารถได้รับระดับแบบนั้นในโลกจริงได้หรอก!”
“ไม่อย่างนั้น…สิ่งที่ข้าไล่ตามมาทั้งชีวิตก็ผิดพลาด ข้าไม่มีทางผิดพลาด!” ร็อดนีย์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วพ่นคำพูดออกมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
“แน่นอนว่าเจ้าไม่ผิดหรอก” เสียงหนึ่งพลันพูดขึ้น
เสียงนั้นทุ้มต่ำ ฟังดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถืออย่างบอกไม่ถูก
ร็อดนีย์หันไปมองแล้วพบว่ามีชายชุดคลุมดำคนหนึ่งยืนอยู่ที่มุมห้อง ใบหน้าของชายผู้นั้นพร่ามัวราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกที่เปิดเผยเพียงดวงตาสีเงินของเขา ที่ตรงกลางชุดคลุมสีดำนั้นมีลวดลายแปลก ๆ ที่ดูจะเต็มไปด้วยพลังเวทมนตร์
เป็นรูปดาบยาวเล่มหนึ่งที่โอบล้อมด้วยเปลวเพลิง
ร็อดนีย์ขานนามของลวดลายนั้นในใจทันที วิถีแห่งดาบอัคคี!
ชายในชุดคลุมดำเดินเข้ามาหาพลางมองพระสังฆราช “ร็อดนีย์ เจ้าไม่แน่ใจในอุดมคติของเจ้าหรือ?”
“แน่นอนว่าข้าเชื่อว่าข้าถูก” ทีแรกร็อดนีย์แย้งเสียงดัง แล้วเขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แต่เจ้าของร้านหนังสือ หลินเจี๋ยนั่น มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? พลังของวินเซนต์ต้านรับกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอย่างสมบูรณ์ เจ้าก็เห็นมันมาแล้วกับตา เราไม่มีทางใดในการจัดการกับเขาเลย แล้วฝั่งท่านเล่า?”
ร็อดนีย์พูดต่ออย่างกระฟัดกระเฟียด “ไม่ใช่ว่าพวกท่านบอกว่าจะช่วยเหลือข้าเหรอ?”
“เจ้าโง่!” ชายชุดคลุมดำถลึงตามองเขา “เจ้าอยากได้โบสถ์แห่งจุดสูงสุดหรือพลังที่เหนือกว่าระดับเหนือนภากันแน่?”
ร็อดนีย์ตัวสั่น ตระหนักได้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์เคืองโกรธแล้วได้สติกลับมา พระสังฆราชก้มศีรษะที่ยุ่งเหยิงของตนลงแล้วตอบ “พลังสิ แน่นอน”
แล้วชายชุดคลุมดำก็พึมพำ “งั้นก็เลิกสนใจเรื่องอื่น ๆ แล้วมุ่งเน้นที่การเตรียมตัวทำพิธีช่วยดวงจันทร์ให้หนีออกมาได้แล้ว ตราบใดที่มันหนีออกมาจากแดนนิมิตได้ เราก็จะขยับไปที่ขั้นต่อไปในการขยายรอยร้าวของแดนนิมิตแล้วรับพลังจากมันมาได้แล้ว”
“เราจะยังคงสนับสนุนเจ้าด้วยวัตถุดิบต่าง ๆ แต่ในตอนนี้ทุกอย่างต้องเร่งความเร็วขึ้นแล้ว ด้านหอการค้าแอชกำลังจะถูกเปิดโปงในไม่ช้า แล้วเจ้ายังอยากจะยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกหรือ?”
“จำไว้ หน้าที่แรกของเจ้าคือช่วยดวงจันทร์ให้จุติออกมาจากแดนนิมิต เข้าใจไหม?”
ร็อดนีย์พยักหน้าอย่างขุ่นเคือง “ขอรับ”
ชายชุดคลุมดำเดินไปที่หน้าต่างแล้วกอดอกทอดสายตามองไปในท้องฟ้าอันมืดมิด “ท่านมิคาเอลจะจัดการกับหลินเจี๋ยให้ เขาทำให้แผนของเราป่นปี้มาสองครั้งแล้ว ในฐานะศัตรูของวิถีแห่งดาบอัคคี เราย่อมต้องกำจัดเขา”
“ส่วนเรื่องที่วินเซนต์ตั้งใจจะทำอะไร หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้น นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
เขากลับหลังหัน เผยให้เห็นดวงตาสีเงินอันมุ่งร้ายของเขา “จงจำไว้ การที่เราให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งพระสังฆราชนั้นไม่ใช่เพื่อให้เจ้าปกป้องโบสถ์แห่งจุดสูงสุด เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำเช่นนั้น”
ร็อดนีย์ระลึกถึงฐานะของชายตรงหน้าเขาได้ เขาคือหนึ่งในสิบผู้ก่อตั้งวิถีแห่งดาบอัคคีที่ตอนนี้ใช้โค้ดเนม ‘กาเบรียล’ และเป็นพระสังฆราชคนแรกผู้ก่อตั้งโบสถ์แห่งจุดสูงสุดขึ้นมาในสมัยต้นยุคที่สาม
เทียบกับเขาแล้ว ร็อดนีย์ก็ขาดคุณสมบัติจริง ๆ
วันรุ่งขึ้น…
คล็อดทำงานตลอดทั้งคืน และในที่สุดก็มาถึงร้านหนังสือในตอนที่มันเปิดทำการแล้ว
ร้านหนังสือนั้นเป็นเหมือนเช่นเคย แต่ครั้งนี้มีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
บาทหลวงผูกผ้าปิดตานั้นมีกำลังใจดีขึ้นจากความเชื่อใหม่ที่ได้รับจากทัณฑ์นิรันดร์และแผนโต้กลับที่เขากับมูเอนร่วมกันวางในความฝัน
ทั้งสองเห็นตรงกันและตัดสินใจจะสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมา
ทว่าเรื่องสาวกพวกเขาก็ยังต้องวางแผนต่อไป อีกทั้งยังต้องการความร่วมมือของหอพิธีกรรมต้องห้ามอยู่
หลังจากเข้ามาแล้ว คล็อดก็ทักทายเจ้าของร้านหลินก่อนเป็นอย่างแรกและขอบคุณเจ้าของร้านหนังสือสำหรับความช่วยเหลือและความร่วมมือ
ประชาชนผู้กระตือรือร้นหลินเจี๋ยยิ้มไปตลอดการพูด “ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่เป็นไรเลย การผดุงความยุติธรรมนั้นเป็นความรับผิดชอบของทุกคนครับ”
แล้วเขาก็ชี้ไปที่วินเซนต์ข้าง ๆ เขาแล้วพูด “นี่คือบุคคลที่เกี่ยวข้องครับ คุณสามารถถามรายละเอียดจากเขาได้ ผมยังเปิดร้านอยู่ เพราะงั้นพวกคุณสามารถไปคุยกันที่ร้านข้าง ๆ ได้เลยนะครับ”
“ร้านข้าง ๆ เหรอครับ?”
“อื้ม ผมกำลังจะเปิดส่วนขยายร้านข้าง ๆ นี่แหละครับ” หลินเจี๋ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง “มูเอนจะดูแลที่นั่นครับ”