บทที่ 164 : โปรดจุติลงมาเถิด
กลุ่มที่ถูกเรียกเดินเข้าไปในห้องด้านในที่ดูมีมนต์ขลังอย่างเงียบ ๆ
แม้ว่าลึก ๆ แล้วพวกเขาจะประหม่าและตื่นเต้นก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องสำรวมอาการ รักษามารยาทขั้นพื้นฐานเอาไว้ เพราะถึงอย่างไร ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโบสถ์แห่งจุดสูงสุด สถานที่ที่มีไว้เพื่อบูชาอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและรูปปั้นของพระสังฆราชทุกรุ่นที่ผ่านมา
ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว มีเพียงพระสังฆราชและสตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่ได้ แม้แต่อัครสาวกทั้งเจ็ดยังไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้โดยง่ายเลย…
ในขณะที่นักบวชกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าตนเองถูกเชิญมาเพราะอะไร แต่ในตอนนี้พวกเขาต่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิเหลือประมาณที่สามารถเข้ามายังห้องด้านในของวิหารกลางได้ นี่เป็นอะไรที่สมาชิกสมณเพศทั่ว ๆ ไปสามารถคุยโอ่ไปชั่วชีวิตได้เลย
ภายในห้องด้านใน
แท่นพิธีสีขาวที่ใจกลางห้องมีสายรกสีเงินวางอยู่ ในขณะที่ร่องบนผนังที่รายล้อมนั้นเต็มไปด้วยรูปปั้นของพระสังฆราชรุ่นก่อน ๆ และอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ
สถานที่นี้ดูเคร่งขรึมและจริงจัง
และพระสังฆราชที่แต่งองค์ทรงเครื่องอลังการพร้อมด้วยหมวกทรงสูงสีขาวอันประณีตบรรจงก็ยืนอยู่บนบันไดหน้าแท่นพิธีพร้อมด้วยคทาสีทองของเขาที่อยู่ในมือ
ร็อดนีย์มองเหล่านักบวชที่เรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาคุกเข่าลงแล้วโค้งคำนับ เขาตอบรับด้วยรอยยิ้มเมตตาอย่างเคย แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงชราอันอบอุ่น “โปรดลุกขึ้นเถิด ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองอะไรหรอก ทุกผู้ที่ได้รับพรจากดวงจันทร์ต่างเป็นบุตรหลานแห่งข้า และข้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียม”
นี่ทำให้เหล่านักบวชรู้สึกอบอุ่นใจ และความตึงเครียดที่ชวนให้กระวนกระวายก็ถูกทำให้ผ่อนลงอย่างนุ่มนวลโดยพลังแห่งจิตวิญญาณที่มองไม่เห็น เพิ่มพูนความชื่นชมและเคารพต่อพระสังฆราชในตัวพวกเขาอย่างมาก
ร็อดนีย์ทอดสายตามองทุกคนด้วยรอยยิ้มที่ยิ่งเจิดจ้าเมื่อเขาเห็นร่องรอยปูดโปนที่บิดเบี้ยวไปมาอย่างไม่ชัดเจนบนใบหน้าและคอของคนเหล่านั้น
เขาก้าวเข้ามาแล้วพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกเล็กน้อย “พวกเจ้าต้องสงสัยแน่ว่าเหตุใดข้าจึงเชิญพวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่”
ไม่มีใครตอบ และไม่มีใครกล้าตอบ
แม้ว่าพระสังฆราชจะเมตตาและดูเข้าหาง่าย แต่นี่กลับทำให้พวกเขาตระหนักถึงระยะห่างระหว่างพวกเขาและสาธุคุณเจ้า
ร็อดนีย์เองก็ไม่ได้จะให้พวกเขาตอบ แล้วเขาก็พูดต่อ “พวกเจ้าเองก็น่าจะรู้ว่านี่เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของโบสถ์ซึ่งบุคคลธรรมดาไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้ เป็นสถานที่ประดิษฐานของอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามและเหล่ารูปปั้นของอดีตพระสังฆราช”
“วันนี้ พวกเจ้าได้รับสิทธิพิเศษในการเข้ามาที่นี่ เพราะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันซึ่งทำให้พวกเจ้าแตกต่างจากผู้อื่น”
สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน? สิ่งที่ทำให้พวกเราแตกต่างจากคนอื่น?
คำพูดที่ดูขัดแย้งกันเองนี้ทำให้เหล่านักบวชกลุ่มนี้ดูงุนงง แต่นอกจากการรับใช้โบสถ์แห่งจุดสูงสุดแบบเช้าชามเย็นชามแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเขาดูโดดเด่นขึ้นมาเลย ทว่าก็มีบางคนที่สามารถเชื่อมโยงกับบางอย่างที่พวกเขาทำแตกต่างจากคนอื่นในช่วงนี้ได้ทันที
หนึ่งในเหล่าบาทหลวงดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วถามหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “สาธุคุณเจ้าครับ เป็นเพราะแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่าครับ?”
ร็อดนีย์พยักหน้า รอยยิ้มของเขาไม่เปลี่ยนแปลง “ใช่แล้ว ประการแรก ข้าต้องบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับความจริงของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์”
เขาหันกลับแล้วเดินไปรอบ ๆ แท่นพิธีแล้วเอื้อมมือไปลูบสายรกสีเงินเบา ๆ พร้อมกระซิบ “แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ถูกเรียกว่าเป็นตัวช่วยในการทำสมาธิ แต่ที่จริงแล้วมันใช้เป็นเครื่องคัดกรองคุณภาพ ส่วนผสมหลักของมันมาจากอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์นี้…นับแต่ครั้งแรกที่พวกเจ้าใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าก็ถูกใครสักคนจับตามองการเปลี่ยนแปลงของร่างกายพวกเจ้าจนถึงตอนนี้อย่างลับ ๆ แล้ว”
การได้ยินว่าพวกตนถูกจับตามองไม่ได้ทำให้พวกเขามีความรู้สึกขัดแย้งใด ๆ ในทางกลับกัน พวกเขากลับรู้สึกปลื้มปรีดาที่ได้อยู่ในสายตาของคนระดับสูงกว่า
และประโยคถัดมาก็จุดชนวนอารมณ์ของพวกเขาให้ลุกโชน…
“ยินดีด้วยกับพวกเจ้าที่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าคือผู้โชคดีที่ได้รับเลือก”
ร็อดนีย์พูดเสียงดังขึ้น “วันนี้ พวกเจ้าจะได้รับสิทธิพิเศษในการสัมผัสอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์!”
สัมผัส…อุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์?!
กลุ่มนักบวชต่างชะงักไปชั่วขณะหนึ่งจากความไม่เชื่อหู ก่อนที่ความตื่นเต้นสุดขีดจะครอบงำพวกเขา
นี่ช่างเหมือนความฝัน การที่สามารถเข้ามาในห้องส่วนในและได้โอกาสในการสัมผัสอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์นี้คล้ายกับการที่สามัญชนคนหนึ่งจู่ ๆ ก็ได้รับโอกาสเข้าวังและสัมผัสกับบัลลังก์ด้วยมือของพวกเขาเอง มันเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินเอื้อมที่ผู้คนทำได้เพียงฝันถึง
และส่วนผสมหนึ่งของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ก็มาจากอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ด้วย ไม่ใช่ว่านี่เท่ากับว่าพวกเขามีอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวพวกเขาเหรอ? นี่เป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ชัด ๆ
ทันใดนั้น พวกเขาทั้งหมดต่างตื่นเต้นปรีดาสุดขีด ความศรัทธาของพวกเขาต่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุดทะยานสู่จุดสูงสุด
ต่อจากนั้น บาทหลวงคนแรกก็คุกเข่าลง ตามด้วยคนอื่น ๆ พร้อมบริกรรมบทสวดชำระบาป
ร็อดนีย์ยิ้มอย่างเมตตา “ดวงจันทร์จะปกป้องพวกเจ้าตลอดกาล”
“เอาล่ะ เข้ามาสิ…”
ด้วยความที่ตื้นตันล้นพ้นในโอกาสยิ่งใหญ่นี้ เหล่านักบวชจึงไม่ได้ตระหนักรู้เลยว่าพระสังฆราชผู้เป็นที่รักของพวกเขาพูดแค่ว่าเขาใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อคัดกรองคุณภาพเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกเลยว่าพวกเขามีคุณภาพใด หรือเหตุผลใดที่ทำให้พวกเขาได้รับคัดเลือกให้สัมผัสอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ได้
เหล่านักบวชผู้ทุ่มเทเเดินตามการนำของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ล้อมแท่นพิธีเป็นวงกลมแล้วยื่นมือของพวกเขาไปที่สายรกสีเงินที่ใจกลาง
พวกเขามีเจ็ดคนไม่ขาดไม่เกิน
ทันทีหลังจากพวกเขาแต่ละคนได้สัมผัสอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ สายรกสีเงินพลันเรืองแสงสีเงินที่มีฤทธิ์หลอนประสาทออกมาอย่างเจือจาง
ร็อดนีย์ยืนมองภาพตรงหน้าอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เขายกมือที่สวม ‘แหวนโบราณ’ หนึ่งในอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามบนนิ้วไว้ขึ้น “จากคำมั่นสัญญาเก่าก่อน ในระหว่างช่วงจันทร์เพ็ญ บุตรแห่งจันทราผู้หลับใหลจะได้จุติใหม่ที่นี่ สายรก ตัวอ่อน และครรภ์ต่างพร้อมแล้ว ทางเชื่อมต่อถูกสร้างขึ้นแล้ว ขอดวงจันทร์โปรดลืมตาขึ้น ขอให้ร่างได้ขยับเขยื้อนและสูดลมหายใจ”
เขาร่ายคาถาออกมาเจ็ดครั้งโดยใช้ระยะทั้งเจ็ดของดวงจันทร์ในแต่ละครั้ง
ทุกครั้งที่ร่ายครบรอบ วงอักษรรูนอันซับซ้อนก็จะสว่างขึ้นหนึ่งวงที่ใจกลางแท่นพิธีและขยายออกไปทุกทิศทุกทาง แล้วไม่นานก็แผ่ขยายไปทั่วห้องด้านใน ก่อนหดตัวกลับเข้าหากันแล้วหายไปในหน้าต่างวงกลมที่บนเพดาน
หลังจากการร่ายรอบที่เจ็ดครบถ้วน ห้องด้านในนั้นก็เต็มไปด้วยอักษรรูนอันสว่างไสว และตอนนี้เอง หากสังเกตดี ๆ ใครบางคนอาจจะเห็นได้ว่าการจัดเรียงของห้องด้านในทั้งห้องนั้นดูเหมือนมดลูกของสตรี
ห้องด้านในทั้งห้องของวิหารกลางนั้น แท้จริงแล้วเป็นแท่นบวงสรวงขนาดยักษ์แท่นหนึ่ง!
นักบวชทั้งเจ็ดคนนั้นอยู่ที่ใจกลางแสงสว่าง และพวกเขาก็ไม่อาจขยับตัวได้อีกต่อไป
สายรกเปล่งแสงสีเงินแปลก ๆ ที่ดูมีชีวิตรัดพันไปบนร่างของพวกเขา ทำให้เหล่านักบวชทั้งเจ็ดมีสีหน้าหวาดผวาและเคลือบแคลง
“มะ…มันเกิดอะไรขึ้นกันครับ?!” บาทหลวงคนเดียวที่กล้าพอจะอ้าปากพูดออกมาอย่างตกตะลึงและยากลำบาก ผ้าผูกตาร่วงลงจากใบหน้าของเขาในระหว่างการดิ้นรน
ร็อดนีย์ไม่ยี่หระ และทำเพียงพูดว่า “เราเริ่มได้แล้ว โปรดจุติลงมาเถิด”
ก่อนที่บาทหลวงจะทันได้ไหวตัว เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องลั่นจากข้างตัวเขา
เขาไม่สามารถหันศีรษะของเขาได้ จึงทำได้เพียงพยายามเหลือบตาไปทางทิศที่มาของเสียงอย่างสุดความสามารถ และภาพที่เหลือบไปเห็นก็กลายเป็นภาพที่ลืมไม่ลง และจะคงอยู่กับเขาไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
ร่างของแม่ชีคนหนึ่งที่ถูกแสงโอบล้อมนั้นถูกทำให้บวมพองราวกับลูกโป่งที่ถูกเป่า เธอดูราวกับลูกโป่งสีแดงที่เต็มไปด้วยน้ำเหลืองและสารคัดหลั่ง สายเลือดสีแดงซึมออกมาจากผิวหนังของเธอเป็นครั้งคราว และมีร่องรอยที่ดูราวกับมีบางอย่างแหวกว่ายอยู่ในเนื้อหนังของเธอ
ร่องรอยที่ยุกยิกได้เหล่านี้เพิ่มจำนวนขึ้นและชัดเจนขึ้นทุกขณะ มันดูราวกับว่ามีพวกมันอยู่เป็นร้อย ๆ ตัว พวกมันรวมกลุ่ม บีบอัดเข้าหากันและกัดกินร่างของเธอ ในระหว่างที่แม่ชีกำลังกรีดร้องนั้น เธอก็กลายไปเป็นถุงกระสอบมนุษย์ที่เต็มไปด้วยหนวดเหล่านี้ ร่างของเธอถูกทำให้บิดเบี้ยวจนลูกตาถูกดันออกจากเบ้าแล้วกลิ้งไปกับพื้น ก่อนที่เธอจะแน่นิ่งไป
ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นภาพสุดท้ายที่บาทหลวงผู้นี้จะได้เห็นด้วย
เขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว และเมื่อก้มศีรษะลงมองเล็กน้อย เขาก็เห็นว่าท้องของเขาถูกแยกออกจากกันแล้ว เครื่องในของเขาดูจะมีชีวิตและบิดหมุนอย่างบ้าคลั่ง
แล้วบาทหลวงก็เหมือนเห็นดวงตาของตัวเองลืมขึ้นจากในหมู่เครื่องใน แล้วมองกลับมาที่เขา