เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] – ตอนที่ 173

บทที่ 173 : ทายาทแห่งมังกร

คำถามหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของหลินเจี๋ย นั่นคือมังกรในโลกอาซีร์นั้นเป็นไดโนเสาร์หรือมังกรในตำนานกันแน่?

เป็นเวลาสามปีแล้วนับแต่หลินเจี๋ยย้ายมาที่โลกนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนตนเองได้เข้าใจสถานการณ์โดยรวมของโลกใบนี้แล้ว

อย่างน้อย ๆ การทำตัวให้กลมกลืนในโลกนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา แล้วก็ได้รู้ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในโลกนี้รู้…

นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขามีความจำดี แต่เป็นเพราะประวัติศาสตร์ของอาซีร์นั้นสั้นเกินไปและไม่ได้ซับซ้อนเลย

ข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้จากแหล่งที่มาที่เป็นทางการนั้นประกอบด้วยยุคดึกดำบรรพ์ ยุคแรก ยุคที่สอง และยุคที่สาม กินเวลานานกว่าร้อยล้านปี และเทียบได้กับประวัติศาสตร์ของโลก

พูดโดยรวมแล้ว จำนวนข้อมูลนี้คงพอที่จะเขียนเป็นหนังสือประวัติศาสตร์อาซีร์เล่มหนา ๆ ได้สักสองสามเล่ม

การขยายวงของ ‘มหาโรคระบาด’ ในยุคที่สองทำให้เมืองโบราณเมืองหนึ่งล่มสลายลงและให้กำเนิด ‘กำแพงหมอก’ ที่ทำให้เกิดหายนะมากมายจนทำให้อารยธรรมสิ้นสุดลง นั่นหมายความว่าประวัติศาสตร์ก่อนหน้านั้นถูกทำให้เลือนราง

สุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์ก็หลงเหลือเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ นั่นมาจากตอนที่เมืองมนุษย์ขนาดยักษ์ ‘นอร์ซิน’ ถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพังในยุคที่สาม

ส่วนที่เต็มไปด้วยอุตสาหกรรมโดยสมบูรณ์นี้มีไม่มาก และช่วงที่น่าศึกษาก็คือช่วงที่เกิดการต่อต้านในขณะที่นอร์ซินถูกแยกออกเป็นเขตบนและเขตล่าง

แน่นอนว่าการต่อต้านมาจากกลุ่มคนที่กลายพันธุ์ไปจากการถูกผลกระทบของมหากำแพงแห่งหมอก เป็นช่วงเวลาที่ปั่นป่วนและนองเลือด ประวัติศาสตร์ดำมืดนี้ก็เป็นที่กำหนดว่าไม่อาจถูกเปิดเผยสู่คนส่วนใหญ่ได้

ดังนั้นในโลกนี้ ประวัติศาสตร์จึงเป็นเหมือนวิชาศิลปะ เป็นวิชาเลือกที่นักเรียนนักศึกษาในโลกนี้จะเลือกเรียนหรือไม่ก็ได้ มีคาบเรียนแค่คาบเดียวต่อสัปดาห์ และไม่มีการสอบ…

หลินเจี๋ยไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งตัวเองได้อ่านหนังสือ ‘ยุคมืด : การรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ด’ เขาจึงได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในยุคที่สองได้ในที่สุด…

มีเอลฟ์อยู่ในโลกนี้จริง ๆ ด้วย รวมไปถึงพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างด้วย!

แม้ว่าหลินเจี๋ยจะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติมาบ้าง แต่เขาก็ทำได้เพียงเคลือบแคลง เพราะตัวเองไม่เคยได้ประสบมันมากับตัวเลย

แต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว…

เมืองไร้นามที่ถูกทำลายลงในยุคที่สองนั้น ที่จริงแล้วก็คืออาณาจักรแห่งเอลฟ์ ดังนั้นมันก็เป็นไปได้ที่ฟอสซิลไดโนเสาร์โบราณจากยุคแรกจะเป็นมังกรจากในตำนานได้จริง ๆ!

ส่วนเรื่องที่ว่าประวัติศาสตร์นี้มีปัจจัยอื่น เช่น คนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ทุกคนต่างกลายเป็นบ้า ถ้าอิงจากที่ฮู้ดเล่า หรือถูกอำพรางอย่างจงใจหรือไม่นั้น ไม่มีใครรู้แน่ชัด

ความสงสัยของหลินเจี๋ยไม่ได้คงอยู่นาน ชั่วครู่ความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปที่หัวใจโปร่งใสตรงหน้าเขาที่ ‘กะเทาะเปลือกของมันออกมา’ โดยสมบูรณ์

ชั้นหินสีซีดชั้นนอกระเหิดไปโดยสมบูรณ์แล้ว

หัวใจทั้งดวงนั้นเต้นไม่หยุดบนร่องที่เป็นฐานของมัน ใจกลางของมันดูราวกับก้อนพลังงานที่ยุบ ๆ พอง ๆ ในขณะที่มันเต้นอยู่ แล้วเรืองแสงสีขาวออกมาอย่างต่อเนื่อง

เส้นเลือดยิบย่อยค่อย ๆ สว่างขึ้น ดูราวกับหน่ออ่อนที่งอกออกมาจากต้นไม้แก่เหี่ยวเฉาอันเต็มไปด้วยพลังชีวิต

ฟอสซิลหัวใจที่แต่เดิมซีดขาวและแน่นิ่ง ‘มีชีวิต’ ขึ้นมา และดูเหมือนจะขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

มือของหลินเจี๋ยยังวางอยู่บนหัวใจ แล้วทันใดนั้นก็สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงได้ ฟอสซิลหัวใจที่แต่เดิมเย็นเฉียบและนิ่งสนิทนี้เปลี่ยนเป็นอุ่น นุ่ม และกำลังยุกยิกอย่างต่อเนื่อง

หลินเจี๋ยขนลุกซู่

“เฮือก…ใจเย็น ใจเย็น…”

หลินเจี๋ยสูดหายใจลึก ๆ ในขณะที่ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวเร็วขึ้น อย่างแรกเขาต้องถอยออกจากหัวใจเรืองแสงที่กำลังวูบไหวราวกับระเบิดเวลาใกล้ระเบิดนี่เสียก่อน

แต่ในตอนที่เขาพยายามจะขยับตัวเล็กน้อยนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่ามีอำนาจที่มองไม่เห็นบางอย่างคว้ามือของเขาไว้ ไม่ยอมให้เขาไปไหนได้

“หือ?”

แล้วจากนั้น แสงสว่างก็ฉายออกมาจากใจกลางหัวใจพร้อม ๆ กับสายพลังงานบาง ๆ เส้นหนึ่งที่โผล่ออกมาพันรอบแขนของเขาเหมือนงูขนาดเล็กที่มีขนาดตัวยาว ก่อนที่จะขดเข้าหากันแล้วเริ่ม ‘เลื้อย’ ไปที่หัวใจของเขา

“อะไรเนี่ย?!”

เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงจากหน้าผากของหลินเจี๋ย แล้วเขาก็ตะโกนอย่างเฉียบขาด “เจ้าดำ!”

“เจ้าดำช่วยด้วย! ผมงานเข้าแล้วครับ!”

ราวกับรอจะช่วยอยู่ เจ้าดำปรากฏตัวขึ้น เงาอันเลือนรางของเขารวมตัวกับที่หน้าต่าง…

หลินเจี๋ยดีใจมาก…

ทว่าเงาดำนั้นลอยอยู่เพียงครู่เดียว ราวกับหันมามองหลินเจี๋ย แล้วจากนั้นก็หายวับไป

หายไปแล้ว

การดิ้นรนของหลินเจี๋ยนั้นไร้ประโยชน์ ผู้ช่วยเหลือทิ้งเขาไปแล้ว และในตอนนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับโลกทั้งโลกทอดทิ้งเขา

หลินเจี๋ยอาจจะยังยิ้มอยู่ แต่ลึก ๆ แล้วกำลังสบถ เขากัดฟันแล้วพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต

โชคดีที่ความฝันล่าสุดของซิลเวอร์นั้นสะท้อนถึงความเป็นจริง และเรี่ยวแรงของเขาก็มากกว่าก่อนมาก

อำนาจที่มองไม่เห็นดูจะผ่อนลงแล้ว…เราต้องพยายามต่อไป!

แต่สายพลังงานที่ควบรวมกันนั้นดูจะเร็วขึ้นมาก จนชายหนุ่มมองตามมันไม่ทัน

แล้วมันก็ทะลวงเข้าไปในอกของเขาในพริบตา

หลินเจี๋ยมีความรู้สึกแปลก ๆ เหมือน ‘บางอย่าง’ ถูกถ่ายทอดไปที่หัวใจของเขาเอง แต่นอกจากนั้นแล้ว ตัวเองก็ไม่ได้เจ็บตัว และที่จริงก็รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายด้วยซ้ำ

หรือว่านี่…คืออีเธอร์ที่เราเคยสัมผัสได้ในความฝัน?

รัศมีแสงจาง ๆ ระเบิดออกมาจากอกของเขา แล้วชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงลมจากไกล ๆ อย่างเลือนราง

มันกำลังประสานรับกับเรา รู้สึกใกล้ชิด ราวกับได้พบคนรู้จักอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปนาน…

การเคลื่อนไหวของหลินเจี๋ยช้าลงในขณะที่คิดเช่นนี้ออกมาอย่างอธิบายไม่ได้ แล้วเขาก็เหลือบมองหัวใจที่เหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว

เดี๋ยวก่อน ไม่สิ! ทำไมนายมาประสานรับอะไรกับฉันล่ะ?

นายคิดว่าฉันสืบเชื้อสายมังกรมาหรือไง?

ตื่น ๆ เรามันคนละสปีชีส์กันนะ…

หลินเจี๋ยตะลึงงัน ลำพังตัวเขาเองนั้นดูจะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะมีความเกี่ยวพ้องกับมัน แต่ร่างกายของเขาก็เคยมีการเปลี่ยนแปลงแปลก ๆ มาก่อนจริง ๆ

หลังจากกินของขวัญของซิลเวอร์ซึ่งเป็นผลไม้ที่ดูธรรมดานั้นเข้าไป หลินเจี๋ยก็มีฟันงอกมาเพิ่มแปดซี่และตรงตามตำรา ‘มนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ’ ที่ว่านั้นขึ้นมา

แล้วชายหนุ่มก็จำต้นไม้ในแดนนิมิตของซิลเวอร์ได้ กิ่งหนาและสาขาที่แตกแขนงนั้นดูราวกับมังกรยักษ์ที่กางปีกของมันออกอย่างเห็นได้ชัด

หลินเจี๋ยคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นแค่ต้นไม้แปลก ๆ แต่ฟอสซิลหัวใจตรงหน้าเขาได้จุดประกายให้เขามองมันจากอีกมุมมอง

ถ้าต้นไม้นั่นเกิดจากการกลายร่างของมังกรล่ะ?

แล้วเขากินอะไรเข้าไป แล้วทำไมมันถึงเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายของตัวเอง…แต่ก็คงไม่สามารถหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ได้ในตอนนี้หรอก

การคาดเดาที่ดีที่สุดของหลินเจี๋ยก็คือ ผลไม้นั่นอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงร่างกายของเขา ที่ในภายหลังส่งผลให้หัวใจที่คืนชีพนี้เข้าใจว่าเขากับมันเป็นสายพันธุ์เดียวกันแล้วอยากจะมอบบางอย่างให้เขา

นี่ก็ยังอธิบายได้ว่าทำไมเจ้าดำถึงแค่มองแล้วจากไป มันเป็นเพราะหัวใจดวงนี้มีประโยชน์ต่อหลินเจี๋ยนั่นเอง

แต่ก็เถอะ ทำไมเขาไม่มองให้มันใกล้กว่านี้ก่อนล่ะ?

มันยากสำหรับหลินเจี๋ยที่จะมาคิดอะไรแบบนี้ในตอนนี้แล้ว เพราะเขาสัมผัสได้ว่าหัวใจดวงนั้นได้ให้พลังงานเขามากเสียจนเขารู้สึกจุกจนแทบสำรอกออกมา

พลังงานส่วนเกินทั้งหมดพลุ่งพล่านไปตามร่างกายของเขาราวกับคลื่นน้ำ ทำให้ผิวหนัง หน้าอก คอและใบหน้ารวมไปถึงดวงตาซีกซ้ายของเขาชาวาบ โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกของเขาเอง

มันราวกับว่าในที่สุด ‘หัวใจ’ ดวงนี้ก็ค้นพบสถานที่ที่มันจะสามารถระบายโทสะที่สะสมมาเป็นล้าน ๆ ปีได้

โชคดีที่ในที่สุด หัวใจดวงนี้ก็เหมือนจะตายลงแล้ว

ชายหนุ่มมองสายพลังงานบนแขนของตัวเองร่วงลงไปทีละนิด แล้วเปลี่ยนเป็นละอองแสงสลายไป

ครั้งนี้ หัวใจก็กลายไปเป็นก้อนหินแห้ง ๆ โดยสมบูรณ์

หลินเจี๋ยนวดแขนที่แข็งเกร็งของเขาแล้วสูดหายใจลึก ๆ ขณะสะกดกลั้นความอยากทุบใครสักคนอย่างบอกไม่ถูกเอาไว้ แล้วในตอนที่เขากำลังจะวางหัวใจดวงนั้นลงนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งสั่นพร้อมกับประตูที่เปิดออก

หลินเจี๋ยหันไปแล้วก็พบชายหนุ่มผมสีทองที่กำลังเดินเข้ามา พร้อมกันนั้นก็สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ดูจอมปลอมและไม้กางเขนสีแดงเล่มยาวในมือเขาด้วย

ชิ้งง!

ชายผมทองรูปหล่อชักดาบยาวออกมาจากฝักทรงกางเขนราวกับเป็นนักล่ามังกรผู้องอาจ

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]

IRNDGL, I’m Really Not the Evil God's Lackey, 我真不是邪神走狗
Score 9
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2020 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]Lin Jie เป็นเจ้าของร้านหนังสือในอีกโลกหนึ่ง เขาเป็นคนใจดีและอบอุ่น มักจะแนะนำหนังสือการรักษาให้กับลูกค้าที่กำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในบางครั้งเขาแอบโปรโมตงานของเขาเองด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าเหล่านี้เริ่มให้ความเคารพเขาอย่างมาก บางคนถึงกับนำอาหารพิเศษประจำท้องถิ่นมาตอบแทนบุญคุณของเขาบ่อยๆ พวกเขามักจะขอความเห็นจากมืออาชีพเมื่อต้องเลือกหนังสือ และแบ่งปันประสบการณ์กับเจ้าของร้านหนังสือธรรมดาๆ คนนี้ให้คนรอบข้างฟัง พวกเขาเรียกเขาด้วยความเคารพและสนิทสนมโดยใช้ชื่อต่างๆ เช่น “ลูกสมุนของเทพปีศาจ”, “ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งเนื้อและเลือด”, “'ผู้แต่งพิธีกรรมและศุลกากรแห่งนิกายกินศพ” และ “ผู้เลี้ยงแกะแห่งดวงดาว”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset