เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] – ตอนที่ 176

บทที่ 176 : ไม่ฉลาดเท่าไหร่

มิคาเอลไม่ตอบ

เขาขมวดคิ้วแล้วไตร่ตรองถึงความหมายของคำพูดของเจ้าของร้านหนังสือ ตำรวจ…เขาไม่ได้หมายถึงตำรวจธรรมดาอยู่แน่ ๆ ถ้าเทียบกับเราแล้ว เจ้าหมอนี่ดูเหมือนตัวการที่คอยเชิดหุ่นอยู่เบื้องหลังมากกว่าเราอีก คงไม่มีทางหรอกใช่ไหมว่าเขาจะพูดถึงตำรวจธรรมดาทั่วไป

ถ้าเจ้าหมอนี่รอให้เราฮุบเหยื่ออยู่แต่แรกและจัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว เขาก็ต้องเป็นตัวการลับแน่ ๆ

ดังนั้น ตำรวจที่เขาพูดถึงก็คงเป็น ‘ตำรวจ’ จากหอพิธีกรรมต้องห้ามที่รักษากฎระเบียบของโลกส่วนเหนือธรรมชาติ และมีความยึดมั่นในความยุติธรรมอย่างบอกไม่ถูกนั่นแน่

ก่อนจะมาถึงที่นี่ มิคาเอลนั้นรู้สถานการณ์ที่นี่เพียงคร่าว ๆ เท่านั้นและไม่ได้คิดจะใช้อีเธอร์เพื่อตรวจสอบเลย เขารู้ว่าที่ร้านข้าง ๆ นั่น วินเซนต์ คนทรยศจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้รวบรวมเหล่าศาสนิกชนของโบสถ์ไว้ และคงจะเป็นที่ที่เขาพยายามเปลี่ยนศาสนาของพวกเขาเองด้วย

แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สังเกตเห็นการเข้ามาพัวพันของบุคลากรจากหอพิธีกรรมต้องห้ามเลย

ไม่ว่าอย่างไร คนพวกนี้ทั้งหมดต่างก็เหมือนกับมด แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง คนเดียวที่มิคาเอลใส่ใจก็มีแค่เจ้าของร้านหนังสือผู้นี้

ใครจะไปคิดว่าปัญหาจะเกิดขึ้นตอนลงมือจริง…

ในตอนนี้ ร่างนี้ก็พังยับ และทุกอย่างก็ดูซับซ้อนนิดหน่อยแล้ว

พอมาฟังเจ้าของร้านหนังสือพูด มันก็ดูราวกับว่าเขาจะบอกว่าหอพิธีกรรมต้องห้ามได้ซุ่มรออยู่ที่นี่แล้ว…ถึงแม้ว่าจุยคาคุกับกองทัพนักเวทของตัวเองจะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังสู้กับหอพิธีกรรมต้องห้ามไม่ได้อยู่ดี

ที่สำคัญที่สุด หลินเจี๋ยดูจะมีความเข้าใจต่อความคิดของมิคาเอลเป็นอย่างดี และแม้กระทั่งดูจะเตรียมรับมือมาอย่างดีแล้วด้วย

“เฮ้อ…”

มิคาเอลหรี่ตาของเขา เขารู้ว่าชายคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขาจริง ๆ แต่เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าอีกฝ่ายจะรู้ทุกเรื่องจริง ๆ

มิคาเอลคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้มาจากภูมิปัญญาของเจ้าของร้านหนังสือผู้นี้เองมากกว่า เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวในขณะที่คิดเผื่อไปข้างหน้าแล้วสิบก้าว นี่เป็นเกมแบบที่คนในระดับพวกเขาเล่นกันอยู่จริง ๆ

“บางทีคำว่า ‘ปัญญา’ อาจจะเหมาะกับเจ้ามากกว่าเฟลิกซ์เสียอีก ดูเหมือนว่าเจ้าไม่เคยแสดงทุกด้านของเจ้าให้ผู้อื่นเห็นมาก่อนเลยนะ”

มิคาเอลแน่ใจแล้วว่าเจ้าของร้านหนังสือหลินเจี๋ยคือบากั๊ก มังกรแห่งภัยพิบัติที่รู้จักกันในฐานะสัญลักษณ์แห่ง ‘หายนะ’ ที่หายสาบสูญไปในระหว่างยุคแรก

แม้ว่าเขาจะเป็นพหูสูตแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชีวิตรอดมาตั้งแต่ยุคแรกก็ตาม แต่อายุของเขาก็ไม่ได้มากเท่ามังกรโบราณเหล่านั้นเลย…

ในตอนที่มิคาเอลเริ่มสร้างชื่อเสียงให้ตนเองในตอนแรกนั้น มังกรโบราณส่วนใหญ่ก็หายสาบสูญไปแล้ว และเหลือเพียงมังกรเฒ่าตนหนึ่งซึ่งก็คือมังกรแห่งต้นกำเนิดเฟลิกซ์เท่านั้น ครั้งหนึ่งมิคาเอลเคยไปเยี่ยมเยือนมังกรเฒ่าตนนี้ แต่ไม่นานนักเขาก็ได้ยินข่าวการตายของมัน

ในเมื่อคู่ต่อสู้เป็นผู้อาวุโสผู้แข็งแกร่ง การวางตัวของมิคาเอลก็ย่อมเปลี่ยนไป และเขาก็เต็มใจจะให้เกียรติคู่ต่อสู้ของเขาอย่างที่เขาคู่ควร

หือ? หลินเจี๋ยงุนงง น้ำเสียงนี่มันอะไรกัน? ไหงเขามาชมเราหลังจากโดนอ่านออกกันหว่า?

หลินเจี๋ยไม่เคยได้ยินชื่อ ‘เฟลิกซ์’ มาก่อน แต่จากน้ำเสียงของเขาแล้ว หลินเจี๋ยก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายดิ่งมาหาเขาตั้งแต่แรก

ไม่ใช่แค่เขารู้จักหลินเจี๋ยเท่านั้น แต่ยังดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องของหลินเจี๋ยมาจากคนอื่น ๆ อีกหลายคนด้วย

แล้วตอนนี้ เขาก็พบว่าหลินเจี๋ยตัวเป็น ๆ นั้นต่างจากข่าวลืออยู่บ้าง และที่จริงแล้วก็เป็นคนที่ฉลาดมาก ๆ คนหนึ่ง…หลินเจี๋ยถึงกับสงสัยว่าที่จริงแล้วเจ้าหมอนี่แค่พูดอ้อม ๆ ว่าเขาไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีหลักฐาน

หรือบางทีเจ้าหมอนี่อาจจะล้มเหลวในมาตรการแกล้งบ้าแล้วเปลี่ยนแผนมาเป็นถ่วงเวลาเขา รอให้กำลังเสริมมาหรือหาโอกาสหนีกันล่ะ?

หลินเจี๋ยไม่ตกหลุมพรางลูกไม้ชั่ว ๆ นี่ได้แน่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายดูจะอยากเปิดใจเล่าความคิด หลินเจี๋ยก็ย่อมพยายามดึงข้อมูลจากเขาอยู่แล้ว

การหลอกคนนั้นเป็นอะไรที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด และไม่มีทางที่เขาจะมาแพ้ให้คนแบบนี้แน่

อย่างน้อย นั่นก็คือสิ่งที่เจ้าของร้านหลินคิด แล้วเขาก็ตอบอย่างไม่เดือดร้อน “สิ่งที่คนอื่นเห็นไม่ใช่ตัวจริงของผมสักหน่อย แน่นอนว่าพวกเขาอาศัยความรู้สึกส่วนตัว และเมื่อคุณฟังข้อมูลนี้จากคนอื่น นั่นก็เป็นข้อมูลมือสามไปแล้ว”

“คุณรีบร้อนมาพยายามฆ่าผมโดยไม่เข้าใจผมเลย” หลินเจี๋ยเหลือบมองชายหนุ่มด้วยบรรยากาศเหนือกว่า

“จากเรื่องนี้ ผมก็บอกได้แล้วว่าคุณน่ะไม่ได้ ‘ฉลาด’ เท่าไหร่”

ในขณะที่เราไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่แดกดันเราอยู่หรือเปล่านี่ เปิดก่อนไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ชายหนุ่มที่ดูถือตัวนี่ดูเหมือนคนที่รับคำสบประมาทไม่ได้ และคนเราก็มักจะพูดอะไรไม่คิดในตอนที่กำลังโมโห

เกร็ดความรู้นี้สำคัญที่สุดเพราะอีกฝ่ายมองว่าหลินเจี๋ยเป็นแค่เจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ และไม่คาดฝันว่าจะต้องมาโต้เถียงกันใหญ่โต พอพูดออกไปแบบนี้ มิคาเอลคงจะพลาดตัดสินหลินเจี๋ยไปว่าเขามีความลับใหญ่หลวงซ่อนอยู่แน่

“เจ้า!” มิคาเอลอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มาตลอดร้อย ๆ ล้านปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่าตัวเอง ‘ไม่ค่อยฉลาด’

และบังเอิญ ‘สติปัญญา’ นั้นก็เป็นคุณสมบัติที่มิคาเอลภาคภูมิใจในตัวเองมากที่สุดด้วย เขาขุ่นเคืองขึ้นมาทันทีเมื่อหลินเจี๋ยเหยียบตาปลากันแบบนี้ คลื่นโทสะโถมไปทั่วร่างเขา แล้วเขาก็คันมืออยากจะสั่งสอนเจ้าของร้านหนังสือนี่สักยก!

แต่ในตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นว่าเกล็ดมังกรสีดำสนิทบนใบหน้าของหลินเจี๋ยนั้น ‘หดกลับ’ ไปใต้ผิวหนังของเขา แล้วเจ้าของร้านหนังสือก็กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์

พหูสูตแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่ตระหนักขึ้นมาว่าคำกล่าวนี้อาจจะมีความหมายที่ลึกล้ำกว่านั้นแฝงอยู่

ผู้คนไม่ได้เห็นเขาอย่างที่เขาเป็นจริง ๆ

นี่หมายความได้ว่าที่จริงเขาก็ไม่ใช่เจ้าของร้านหนังสือที่ชื่อหลินเจี๋ย แต่เป็นมังกรแห่งภัยพิบัติบากั๊กแห่งยุคโบราณ

แต่ในเวลาเดียวกัน เมื่อปะติดปะต่อกับเรื่องที่เขาหยิบยกเฟลิกซ์มาพูด และเมื่อเห็นเจ้าหมอนี่เปลี่ยนสภาพจากครึ่งมังกรมาเป็นมนุษย์ จะเป็นไปได้ไหมว่าเจ้าของร้านหนังสือจะสื่อว่าตัวเขาที่แท้จริงนั้นก็ไม่ใช่มังกรแห่งภัยพิบัติบากั๊กเหมือนกัน?!

ดวงตาของมิคาเอลหรี่ลง แล้วเขาก็รู้สึกตกใจเป็นครั้งแรกในรอบเวลาอันยาวนาน “เจ้าเป็นใครกันแน่?!”

ถ้ามังกรแห่งภัยพิบัติบากั๊กไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา แล้วเขาเป็นใครกันแน่? เขาซ่อนอะไรไว้ในตอนที่เรายังไม่เกิดกันแน่…

มิคาเอลตื่นเต้นขึ้นทันใด ไม่ใช่ว่านี่คือ ‘ความไม่รู้’ ที่เขาใฝ่หามาตลอดหรือ?

ดูเหมือนเราจะหลอกเขาสำเร็จแล้วแฮะ หลินเจี๋ยคิดในใจ

จากสีหน้านั้น พ่อหนุ่มนั่นดูจะสร้างตัวตนเวอร์ชั่นมหัศจรรย์ของตัวเราเองขึ้นมาแล้ว

จริง ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ที่สำคัญกว่านั้นคือเราต้องคุ้ยหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมาจากเขาให้ได้บ้าง

หลินเจี๋ยยิ้มเจื่อน ๆ “ก่อนจะมาถามอะไรใคร คุณควรจะแสดงความจริงใจออกมาก่อนไม่ใช่เหรอ?”

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ดูจะหวาดกลัว มันก็คงหมายความว่าพ่อหนุ่มนี่พึ่งพาบางอย่างได้ บางทีก็อาจจะเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่อย่างงานเลี้ยงโลหิตก็ได้

ในเมื่อพวกเขากล้าส่งคนมาฆ่ากันถึงบ้าน ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะวางแผนอะไรต่อ

มีศัตรูมากกว่าหนึ่ง การกำจัดเจ้าหมอนี่ไปในวันนี้จะไร้ประโยชน์สำหรับหลินเจี๋ย เพราะถ้าชายหนุ่มกำจัดคนคนนี้ไป ก็ยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่อาจจะมาตามล่าเขาในภายหลังได้

การจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุนี้อีกในภายภาคหน้านั้น หลินเจี๋ยก็ต้องศึกษาอย่างถี่ถ้วนและกำจัดปัญหาที่ต้นตอเท่านั้น

ไม่ว่ากรณีใด คล็อดก็จะเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ และว่ากันว่าโจเซฟจะมาที่นี่ในคืนนี้ด้วย ดังนั้นในคืนนี้ ความปลอดภัยของร้านหนังสือจึงเรียกได้ว่าได้รับการรับประกันแล้ว

หลินเจี๋ยจะเริ่มโดยการพูดจูงจมูกให้ชายหนุ่มคนนี้แสดง ‘ความจริงใจ’ ออกมาก่อน ส่วนความจริงใจนั้นจะเป็นอย่างไร เขาก็จะ…ให้อีกฝ่ายตีความเอาเอง

มิคาเอลปรับท่าทีของเขา ไอ้เรื่อง ‘ความจริงใจ’ ในความเห็นเขานั้นมันง่ายนิดเดียว

ในเมื่อเขาอยากจะรู้ตัวตนของเจ้าของร้านหนังสือ เขาก็จะถามโดยใช้ฐานะธรรมดา ๆ ไม่ได้ มันจะเป็นการไม่สุภาพเกินไปสำหรับคนในระดับเดียวกัน และเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้วที่เจ้าของร้านหนังสือจะเอ่ยคำขอเช่นนี้ออกมา

แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้จะให้ตัวตนของพหูสูตแห่งแสงปรากฏในนอร์ซินทันทีเลยเหมือนกัน

“อัลเฟรด ฮาร์วีย์ แกรนธัม…”

“นี่คือครึ่งหนึ่งของชื่อจริงของข้า แน่นอนว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว นามข้าในตอนนี้คือมิคาเอล”

ชื่อจริงนั้นทรงพลัง กระทั่งครึ่งเดียวยังสามารถใช้บงการภูตแสงในระดับต่ำกว่าภัยพิบัติได้แล้ว

“ความจริงใจนี้ของข้าดีพอไหม?”

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]

IRNDGL, I’m Really Not the Evil God's Lackey, 我真不是邪神走狗
Score 9
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2020 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]Lin Jie เป็นเจ้าของร้านหนังสือในอีกโลกหนึ่ง เขาเป็นคนใจดีและอบอุ่น มักจะแนะนำหนังสือการรักษาให้กับลูกค้าที่กำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในบางครั้งเขาแอบโปรโมตงานของเขาเองด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าเหล่านี้เริ่มให้ความเคารพเขาอย่างมาก บางคนถึงกับนำอาหารพิเศษประจำท้องถิ่นมาตอบแทนบุญคุณของเขาบ่อยๆ พวกเขามักจะขอความเห็นจากมืออาชีพเมื่อต้องเลือกหนังสือ และแบ่งปันประสบการณ์กับเจ้าของร้านหนังสือธรรมดาๆ คนนี้ให้คนรอบข้างฟัง พวกเขาเรียกเขาด้วยความเคารพและสนิทสนมโดยใช้ชื่อต่างๆ เช่น “ลูกสมุนของเทพปีศาจ”, “ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งเนื้อและเลือด”, “'ผู้แต่งพิธีกรรมและศุลกากรแห่งนิกายกินศพ” และ “ผู้เลี้ยงแกะแห่งดวงดาว”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset