บทที่ 181 : ขุมนรกของคนผู้เดียว
วินเซนต์เข้าใจสภาพจิตใจของชายวัยกลางคนคนนี้ได้อย่างค่อนข้างง่ายดาย ในฐานะอดีตบาทหลวงจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุด เขาได้เห็นสาวกทุกประเภทมาหมดแล้ว
ประเภทที่อยู่ตรงหน้าเขานี้คือพวกคลั่งศาสนาของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอย่างเห็นได้ชัด!
ผู้เลื่อมใสเกินเหตุที่พร้อมจะสละทุกสิ่งรวมถึงชีวิตตัวเองเพื่อความเชื่อ
คนแบบนี้จะไม่เชื่อคำพูดว่าร้ายใด ๆ ต่อโบสถ์ต่อให้มีหลักฐานกองเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม เขาจะยังยืนกรานอยู่เสมอว่ามันเป็นการใส่ร้ายป้ายสีโบสถ์จากพวกนอกรีต
วินเซนต์ได้คำนึงถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้วตอนที่ดึงคนเข้ามาในความฝันของตัวเองเป็นวงกว้าง ทว่าเขาก็ไม่ได้กำจัดคนเหล่านี้ออกไปในระหว่างนั้นเลย เพราะพวกเขาอาจจะสามารถใช้งานได้ในแง่มุมอื่น
แง่แรกคือให้พวกเขารายงานต่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุด และสุดท้ายก็ล่อเสือออกจากถ้ำ
แง่ที่สอง และเป็นแง่ที่สำคัญ คือการให้เจ้าพวกรวยทรัพยากรเหล่านี้มาหาเขาด้วยตัวเองแล้วเพิ่มบารมีต่อการเผยแผ่ของศาสนาแห่งตะวัน
ชายวัยกลางคนคลั่งศาสนาคนนี้จะกลายเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในการแสดงอิทธิฤทธิ์ของดวงตะวันให้ประจักษ์แก่ผู้ที่จะเป็นสาวกโดยแท้จริง!
ที่จริงแล้ว วินเซนต์ไม่เพียงแต่ได้รับสิ่งที่ตรงตามความคาดหมาย แต่ยังเกินคาดไปพอสมควรด้วย
ชายวัยกลางคนคลั่งศาสนาดึงเปิดเสื้อโค้ตหนังออกให้เห็นระเบิดเป็นแถว ๆ ที่รัดไว้กับตัวเขา
ทุกคนในห้องต่างตกใจ และคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุดก็หลบออกมาห่าง ๆ ทันที
แน่นอนว่าระเบิดคืออาวุธที่น่ากลัวสำหรับคนธรรมดาทั่วไป
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้ละทิ้งความเชื่อทั้งหลายจงตายซะ! มีเพียงดวงจันทร์เท่านั้นที่เป็นนิรันดร์และชาญฉลาด มีเพียงโบสถ์แห่งจุดสูงสุดเท่านั้นที่เป็นผู้กอบกู้ให้เราทั้งหลายได้! พวกแกทั้งหมดไปสำนึกผิดในนรกซะ!”
คนคลั่งศาสนากดระเบิดด้วยใบหน้าอิ่มเอิบใจ
ตู้ม!
เสียงชวนแก้วหูแตกระเบิดออกแล้วตามด้วยแสงอันเจิดจ้า พร้อม ๆ กับเพลิงคลั่งที่ปกคลุมทัศนวิสัยของเขา
ในขณะเดียวกัน ความร้อนมหาศาลและความเจ็บปวดสุดซึ้งก็แล่นไปทั่วร่างของชายคลั่งศาสนา เขาสัมผัสถึงความร้อนแผดเผาที่ผิวหนังของเขาได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงเลือดเนื้อที่มอดไหม้ของเขาเองด้วย
ที่มันเจ็บที่สุดเพราะเขาอยู่ใจกลางการระเบิด ความเจ็บแสนสาหัสนี้กระทั่งทำให้เขาแอบนึกเสียใจภายหลัง
แต่คนคลั่งศาสนานั้นเต็มไปด้วยความเบิกบานและความพอใจเมื่อเขาคิดว่านี่คือการทำเพื่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุด
ในขณะเดียวกัน ความแค้นและชิงชังของเขาก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกของผู้ชนะ…
พวกผู้ละทิ้งความเชื่อพวกนี้คิดว่าพวกตนทำร้ายโบสถ์ได้ ช่างโง่เขลาอะไรขนาดนี้!
ชายวัยกลางคนคลั่งศาสนาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอย่างเงียบ ๆ เจ้าพวกผู้ละทิ้งความเชื่อพวกนี้…
เขาอยากจะเห็นสีหน้าอันเจ็บปวดของผู้อื่นด้วยดวงตาอีกข้างที่ยังไม่หลอมละลายไป และอยากจะเห็นเจ้าพวกผู้ละทิ้งความเชื่อพวกนั้นกรีดร้องในกองเพลิง
ทว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ต้องตกตะลึงตาเบิกโพลง ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นสิ้นหวัง
เจ้าพวกผู้ละทิ้งความเชื่อพวกนี้…
นอกกองเพลิง คนเหล่านั้นกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าตกใจและงุนงง แต่ว่า…ไม่ใช่เพราะพวกเขาถูกระเบิดหรือดูจะเจ็บปวดใด ๆ เลย
พวกเขาก็แค่มองดูอยู่อย่างนั้น
ทำไมพวกมันแค่มองเราล่ะ?!
ชายวัยกลางคนงุนงง แต่ครึ่งร่างของเขาถูกเปลวไฟทำลายไปแล้ว สมองของเขาไม่สามารถคิดได้อย่างรวดเร็วอีกต่อไป และจิตใจที่เอื่อยเฉื่อยของเขาเองก็ตีความเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว
ภาพสุดท้ายของโลกนี้ที่เห็นคือใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ใกล้เขาที่สุด เป็นชายธรรมดา ๆ ที่นั่งโต๊ะเดียวกับเขาแล้วมองเขาอย่างตกใจ โล่งใจ… และเวทนา?!
ในที่สุดชายวัยกลางคนคลั่งศาสนาก็ตระหนักได้ว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ถูกระเบิด
ไฟที่บดบังทัศนวิสัยของเขามาจากร่างของเขาเอง
ภาพเหตุการณ์การทำลายแหล่งซ่องสุมผู้ละทิ้งความเชื่อในตูมเดียวที่เขาจินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น ตลอดมานี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่ถูกเปลวเพลิงกลืนกิน
ทุกคนที่เหลือทำเพียงแค่มอง!
นี่คือนรกจริง ๆ แต่เป็นขุมนรกของคนผู้เดียว…ตัวเขาเอง!
คนคลั่งศาสนาพลันสติแตก สติรู้คิดของเขาพร่าเลือนลงอย่างรวดเร็ว สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้มีเพียงความเจ็บปวด
โบสถ์ที่เขาศรัทธาไม่ได้ปกป้องเขา และมันก็ไม่ได้นำทางวิญญาณที่ตายลงของเขาไปยังดวงจันทร์ด้านมืดเพื่อรอการหมุนเวียนชีวิตอย่างเงียบสงบ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเท็จ!
“อ๊าาาาาาาา!!!”
ร่างที่ผุพังในเปลวเพลิงกรีดร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะกลายเป็นเพียงเถ้าธุลี
แล้ววินเซนต์ก็กำมือยื่นออกไปในเวลาเดียวกัน อำนาจที่มองไม่เห็นก็ทำให้กองเพลิงค่อย ๆ หดตัว แล้วสุดท้ายก็ดับหายไปในอากาศ
แอนนีปรบมือ ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น
คนส่วนใหญ่รอบ ๆ ตัวเธอเองก็มีปฏิกิริยาเดียวกัน
จากตอนที่ชายวัยกลางคนเผยระเบิดแล้วระเบิดตัวตายจนถึงตอนที่เขากลายเป็นเถ้าถ่าน เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
แต่ทุกคนก็ได้เห็นว่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างรวดเร็วถูกบังคับให้บีบตัวกลับไป แผดเผาเพียงตัวชายวัยกลางคนผู้นั้นคนเดียวโดยไม่มีแม้แต่สะเก็ดเพลิงที่หลุดลอดออกมา
การระเบิดต่อเนื่องในสถานที่แคบ ๆ นั้นพาให้จิตใจหยุดทำงาน
คนเป็น ๆ ทั้งคนหายไปในพริบตา
และที่มาของพลังนั้นก็ย่อมเป็นคุณพ่อวินเซนต์ที่เพิ่งจะมาถึง
วินเซนต์มองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะ ตอนนี้เราเริ่มการประชุมได้แล้ว”
“เดี๋ยวครับคุณพ่อ เมื่อกี้…เมื่อกี้มันอะไรกันครับ?”
ใครสักคนรวบรวมความกล้าถามคำถามนี้ออกมา
วินเซนต์ก็ตอบอย่างนุ่มนวล “อย่างที่ลูกเห็นนั่นแหละ”
เสียงพึมพำเบา ๆ ดังขึ้นทั่วคาเฟ่หนังสือ คุณพ่อวินเซนต์มีพลังรักษาและปัดเป่าวิญญาณร้าย แต่นี่เป็นพลังที่ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน พลังที่แข็งกล้าและเปี่ยมพลังนี้ดูไม่ใช่อะไรที่ดวงจันทร์ครอบครอง
นั่นก็หมายความว่าเรื่องที่คุณพ่อวินเซนต์ละทิ้งความเชื่อนั้นเป็นความจริง!
และสิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้เห็นก็พิสูจน์ว่าเรื่องนี้อันตรายเพียงไร
ไม่ใช่แค่พวกคลั่งศาสนาพวกนั้น แต่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็จะลงมือเช่นกัน
“โปรดเงียบลงก่อน” วินเซนต์อดทนอดกลั้นอย่างมาก “พ่อรู้ว่าพวกลูกมีคำถามมากมาย พ่อจะอธิบายให้ฟังเอง”
“อย่างแรก ความฝันนั้น พ่อบอกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง พ่อประสบมันมากับตัวเอง…”
แล้วเขาก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งเรื่องที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อควบคุมเหล่านักบวช รวมถึงการพยายามฆ่าปิดปากเขาด้วย
และในเวลาเดียวกัน คล็อดก็แสดงหลักฐานที่ยืนยันความเชื่อถือได้ของเรื่องนี้
คุณพ่อวินเซนต์มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก และคำอธิบายอย่างจริงใจของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้คน 70% ในห้องนี้เชื่อได้แล้ว
วินเซนต์ใช้โอกาสนี้เผยแพร่เกี่ยวกับศาสนาแห่งตะวัน และด้วย ‘ปาฏิหาริย์’ ก่อนหน้านี้และบรรยากาศที่ติดต่อกันได้อย่างเป็นธรรมชาติของมูเอน วินเซนต์ก็บอกพวกเขาว่ามันไม่ผิดที่พวกเขาจะเชื่อในโบสถ์แห่งจุดสูงสุด แต่เป็นตัวความเชื่อเองที่ผิด มันมาจากเทพตัวปลอมที่ขโมยพลังไปใช้…
ทุกคนที่นั่นต่างเริ่มหัวตื้อกับข้อมูลใหม่
แอนนีหันไปมองเพื่อนของเธอด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วก็เห็นสีหน้าตื่นเต้นบนใบหน้าเพื่อนของเธอ
“อาเธนา เธอเชื่อเรื่องนี้เหรอ?” เธอถามอย่างลังเลเล็กน้อย
“แน่นอนอยู่แล้ว!” อาเธนาจดจ้องวินเซนต์อย่างไม่กะพริบตาด้วยสีหน้าแปลก ๆ เธอลูบตราดวงอาทิตย์บนแขนเสื้อของเธอแล้วพึมพำ “ฉันนึกว่าไม่มีใครบนโลกนี้ที่จะเชื่อในดวงอาทิตย์แล้วซะอีก…”
“หือ?” แอนนีฟังไม่ชัดแล้วกะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายหน
“พ่อรู้ว่าพวกลูกส่วนใหญ่ที่นี่เป็นคนธรรมดา และพ่อก็ขอบคุณมากที่พวกลูกเลือกจะเชื่อพ่อ พ่อจะไม่บังคับถ้าลูกเลือกจะไม่เข้าร่วมกับเรา” วินเซนต์อธิบายอย่างอ่อนโยน
“ในหมู่คนที่เต็มใจจะอยู่ต่อ พ่อจะเลือกพวกลูกสิบคนมาเป็นอัครสาวกของศาสนาแห่งตะวัน พวกลูกแต่ละคนจะได้รับพลังส่วนหนึ่งของดวงอาทิตย์ ซึ่งหมายความว่าพวกลูกจะกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ”
ผู้คนในคาเฟ่หนังสือมองหน้ากันแล้วลังเล
ในขณะเดียวกัน นอกคาเฟ่หนังสือ ‘นักเวทสาปโลหิต’ จุยคาคุกับกองทัพนักเวทห้าสิบนายลอยอยู่บนฟ้า พลังอีเธอร์ถูกดึงมารวมกัน สร้างเป็นตราของแต่ละคนที่รวมกันเป็นข่ายมนตร์
“ทะเลเลือด…จุติมลทิน!”
จุยคาคุมีแววตาเย็นเยียบ นี่คือการโจมตีระดับเกือบเหนือนภาที่จะฆ่าทุกคนในคาเฟ่หนังสือได้แน่นอน
นักเวทชุดแดงที่สวมหน้ากากกะโหลกแกะชูมือขึ้นสูง แล้วกระแสโลหิตที่กระเพื่อมไหวก็ก่อกันเป็นทะเลแห่งความตายที่มีชิ้นส่วนแขนขา ลูกตา และหนวดสะบัดไปมาจากในแอ่งเงามืด ๆ ขนาดยักษ์ที่เบื้องล่าง
ซ่า!
กรงเล็บเน่าเปื่อยขนาดยักษ์โผล่ออกมาจากทะเลเลือด ด้านหน้าของมันแยกออกเป็นสองแฉกที่ต่างก็เต็มไปด้วยกรงเล็บอันแหลมคม หนวดยุกยิกนับไม่ถ้วนงอกออกมาจากเลือดเนื้ออันเน่าเปื่อย ตามมาด้วยแขนสีซีดข้างหนึ่งที่ปกคลุมด้วยขนสีดำ
แขนข้างนั้นหวดเข้าใส่คาเฟ่หนังสือด้วยอำนาจที่ไม่อาจขัดขืนได้
ตุ้บ!
มีเสียงกระแทกทึบ ๆ แต่ภาพที่จุยคาคุวาดหวังไว้ไม่ได้เกิดขึ้น
กรงเล็บนั้นถูกขวางไว้ที่หน้าคาเฟ่หนังสือ
แขนกลข้างหนึ่งคว้าแขนข้างนั้นไว้ด้วยแรงที่มากจนเส้นขนบนแขนนั้นยังถูกกระชากออกได้
ทะเลเลือดหมุนวนอย่างรุนแรง และดูจะปลดปล่อยเสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดออกมา