บทที่ 184 : โจเซฟเริ่มจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว
เฮ้อ…คุณลุงคนนี้ยังคงหัวแข็งเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน…ตัดสินใจเปลี่ยนแขนกันง่าย ๆ แบบนี้เลยแฮะ
หลินเจี๋ยคิดในใจ
ชายหนุ่มจำได้ว่าแขนเทียมจักรกลระดับสูงแบบนี้สามารถเลียนแบบแขนจริง ๆ ได้ทุกอย่างโดยไม่มีช่วงติดขัด และต่อประสานกับเส้นประสาทโดยตรง
หรือก็คือ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์ในด้านไหน รวมถึงความเจ็บปวด ก็เชื่อมโยงกันหมดทุกอย่าง
แม้ว่าหลังจากกระชากมันออกมาแล้วจะไม่มีเลือดออก แต่ระดับความเจ็บปวดจะเหมือนโจเซฟเสียแขนของเขาไปจริง ๆ อีกครั้ง
แต่กระทั่งต่อหน้าความเจ็บปวดแบบนี้ คุณลุงคนนี้ก็ยังคงไม่สะท้านสะเทือนและยังจะยิ้มออกอีก
เหมือนกวนอูตอนขูดกระดูกรักษาพิษเกาทัณฑ์เลย!
บางทีอาจจะเป็นเพราะการกลับมารบกับอาชญากรรมของเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่ม โจเซฟจึงดูเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ และดูจะเด็กลงไปอีกสิบปี
หลินเจี๋ยทำได้เพียงถอนใจ “งั้นก็ดีแล้วล่ะครับ”
เขาเหลือบมองเจ้าคนที่หมดสภาพอยู่บนบ่าโจเซฟกำลังพล่ามไม่ได้ศัพท์ราวกับสมองเสื่อม
หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะอุทาน “น่าสงสารจัง องค์กรนี้บ้าจริง ๆ ที่ทำเรื่องแย่ขนาดนี้ได้ลงคอ”
แต่มันก็จริงที่พวกนั้นเลวยันเงา…
มิคาเอลที่เพิ่งตายไปปรากฏขึ้นในใจหลินเจี๋ย ไม่เพียงแต่เจ้าหมอนั่นบุกเข้ามาพร้อมอาวุธและเจตนาฆ่า เขายังไม่ลืมพล่ามเป็นคุ้งเป็นแควเพื่อพยายามทำให้หลินเจี๋ยไขว้เขวก่อนตายอีก
จากเรื่องนี้ หลินเจี๋ยก็เห็นได้ว่าการล้างสมองขององค์กรนี้หยั่งรากลึกเพียงไร
ควรคาดหวังเรื่องนี้จากองค์กรที่ตามหาต้นไม้แห่งชีวิตคับบาลาห์และตั้งมั่นอยากเป็นเทพพวกนี้ไหมนะ?
และตอนนี้ เมื่อมาเห็นเจ้าคนน่าสงสารที่ดูจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว หลินเจี๋ยก็สงสัยว่านี่จะเป็นหนึ่งในคนที่พวกเขาพยายามล้างสมองแต่ไม่สำเร็จ
“องค์กรเหรอครับ?” โจเซฟจับคำพูดสำคัญได้ แล้วเขาก็ถามอย่างระมัดระวังอย่างตกใจพอตัว “เจ้าของร้านหลิน พวกนี้มาจากอีกองค์กรเหรอครับ?”
แต่เดิมพวกเขาก็คิดอยู่ว่าพวกที่มาในครั้งนี้คงมาจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุด หรือไม่ก็ทำงานให้พวกเขา
โจเซฟสงสัยอยู่แล้วว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดไปเริ่มติดต่อกับ ‘นักเวทสาปโลหิต’ จุยคาคุกับกองทัพนักเวทของเขาตอนไหน จนทำให้พวกเขายกพวกกันมาเยอะขนาดนี้ได้…
จุยคาคุทะนุถนอมกองทัพนักเวทของเขามาก สมาชิกทุกคนต่างถูกเขาฝึกฝนมาด้วยตนเอง ในอดีต อย่างมากเขาก็จะแค่ส่งคนมาแค่ครึ่งทัพ และไม่เคยเกณฑ์มาทั้งทัพเลยสักครั้ง
ด้วยความแข็งแกร่งระดับโบสถ์แห่งจุดสูงสุด การดึงตัวจุยคาคุไปได้นั้นสมเหตุสมผล แต่ก็ยังเข้าใจได้ยากว่าทำไมพวกเขาถึงขนกันมาแบบเต็มกำลัง
แต่จากที่เจ้าของร้านหลินพูด ดูเหมือนจะมีอีกองค์กรหนึ่งที่ซุ่มชักใยอยู่ในเงามืด…
ส่วนเรื่องที่หลินเจี๋ยสงสารจุยคาคุเพราะอะไรนั้น โจเซฟคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติมาก
เจ้าหมอนี่รับมือสิ่งอัญเชิญจากหนังสือของเจ้าของร้านหลินไม่ได้สักตัว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เจ้าของร้านหลินจะจัดให้เขาอยู่ในหมวดหมู่คนอ่อนแอไร้พลัง
เมื่อระลึกถึงคำพูดของมิคาเอลได้ หลินเจี๋ยก็พยักหน้าแล้วพูดอย่างจริงจัง “ใช่ครับ การกระทำในวันนี้รวมไปถึงสิ่งที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดทำก่อนหน้านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนขององค์กรนั้นหมดเลย เรื่องของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ก็คงเป็นผลงานของพวกเขาด้วยเหมือนกันครับ”
“คนที่อยู่เบื้องหลังโบสถ์แห่งจุดสูงสุดมีโค้ดเนมว่ากาเบรียล และหอการค้าแอชก็ถูกพวกเขาแทรกแซงด้วยครับ คอนกรีฟเป็นหนึ่งในคนที่พวกเขาปั้นมา…แต่เขาน่าจะเป็นแค่สมาชิกเสริมนะครับ”
โจเซฟผงะไปแล้วร้องออกมาทันที “เดี๋ยวก่อนครับ!”
การไหลทะลักของข้อมูลทำให้โจเซฟสงสัยว่าเจ้าของร้านหลินตัดสินใจเลิกอมพะนำแล้วเหรอ
การมาพูดความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ออกมาตรง ๆ นี่ไม่สมกับเป็นวิธีการประจำของเจ้าของร้านหลินเลย!
ไม่ใช่ว่าเขาควรนั่งเฉย ๆ รอดูการสอบสวนของเราคว้าน้ำเหลวก่อน แล้วถึงมาให้คำแนะนำกับเราแล้วดันไปในทิศทางที่ถูกต้องหรอกเหรอ?
โจเซฟถามอย่างไม่แน่ใจ “ทำไมคุณมาบอกเรื่องนี้กับผมในตอนนี้ล่ะครับ?”
หลินเจี๋ยชะงักไปแล้วพินิจสีหน้าของโจเซฟที่ดูงุนงง โอ้…พวกเขายังอยู่ในที่แจ้งและไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยที่จะมาให้ข้อมูลนี้กันง่าย ๆ โดยไม่มีการเก็บความลับสักนิด
แต่ว่า…เราก็พูดไปจบแล้วอ่ะ กระอักกระอ่วนเลยทีนี้
“อะแฮ่ม” หลินเจี๋ยปิดปากกระแอมอย่างขวยเขินเล็กน้อย “ผมไม่น่าพูดตอนนี้เลย แต่นั่นแหละครับเรื่องทั้งหมด”
“ผมได้ข้อมูลทั้งหมดนี้มาจากผู้ชายชื่อมิคาเอลที่เข้ามาโจมตีผมในร้านหนังสือ ผมโจมตีป้องกันตัวกลับไป แล้วก็ได้ข้อมูลพวกนี้ออกมาจากปากเขานี่แหละครับ”
ดวงตาของโจเซฟเครียดขึ้น ไม่ใช่แค่คาเฟ่หนังสือ แต่ร้านหนังสือก็ถูกโจมตีด้วย
ชัดเจนว่าเรื่องนี้ถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดีแล้ว…
เจ้ามิคาเอลนี่ต้องเป็นหนึ่งในตัวการและอย่างน้อยต้องมีระดับเหนือนภาแน่ ถึงได้กล้ามาประดาบกับเจ้าของร้านหลินได้…
ยิ่งกว่านั้น โจเซฟได้ยืนเฝ้าอาณาบริเวณของคาเฟ่หนังสืออยู่นานแล้ว เขาเห็นแค่เชอร์รี่ออกมาจากร้านหนังสือเท่านั้น และไม่ได้สังเกตเห็นใครเข้ามาใกล้อีกเลย…
ใครที่ทำแบบนี้ได้ อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับเหนือนภาแน่นอน
การมีคนระดับเหนือนภาผู้ไม่มีใครรู้จักอยู่ในนอร์ซินไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก แต่ทุกอย่างก็ดูจะสมเหตุสมผลเมื่อคิดถึงรายงานล่าสุดที่บอกว่ามีไส้ศึกอยู่ในสมาคมแห่งสัจธรรม
โบสถ์แห่งจุดสูงสุด หอการค้าแอช สมาคมแห่งสัจธรรม…พวกเขาทั้งหมดต่างถูกแทรกแซงโดยองค์กรนี้ก่อนที่เรื่องของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์นี่จะถูกวางแผนออกมาเสียอีก
โจเซฟรู้สึกเหมือนเขาเริ่มจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว แล้วสันหลังของตัวเองก็หนาววูบ
องค์กรนี้ต้องใหญ่ขนาดไหน และอยู่ในนอร์ซินมานานแค่ไหนแล้ว? พวกเขาถึงได้ยืดหนวดเข้าไปในองค์กรมากมายได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
องค์กรนี้ใส่ไส้ศึกเข้ามาในหอพิธีกรรมต้องห้ามด้วยหรือเปล่า?
การที่เจ้าของร้านหลินพูดว่า ‘ผมไม่น่าพูดตอนนี้เลย’ นั่นหมายความว่าเขามีแผนอยู่แล้วหรือเปล่า? หรือเขายังไม่ได้ตัดสินใจแล้วรอดูอยู่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวยังไงต่อ?
บางทีการที่องค์กรนี้พยายามลอบสังหารเจ้าของร้านหลินอาจไปทำให้เขาอารมณ์เสีย เขาเลยตัดสินใจตัดรากถอนโคนพวกเขาแล้วยื่นมือเข้าช่วยหอพิธีกรรมต้องห้ามก็ได้
โจเซฟมอบไปรอบ ๆ ร้านหนังสือแล้วแอบรู้สึกสงสารเจ้าคนที่ชื่อมิคาเอลนั่นขึ้นมานิด ๆ
ว่าถึงนิสัยที่ผ่านมาของเจ้าของร้านหลินแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้ามิคาเอลนี่คงได้ตายแน่…
และใช่ หลินเจี๋ยมองโจเซฟแล้วพูดขึ้น “อ้อใช่ เขาคนนี้ เขา…”
“รับทราบครับ” โจเซฟเข้าใจทันทีแล้วพยักหน้า “ผมจะให้คล็อดจัดการกับมันเองครับ”
ไม่ว่าจะกำจัดซากหรือความเสียหายใด ๆ ในร้านหนังสือก็ย่อมเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาอยู่แล้ว…ข้อมูลที่พวกเขาได้รับรอบนี้มีประโยชน์จริง ๆ
ต่อให้ไม่ได้ข้อมูลอะไรมา การมีสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของร้านหลินก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ดี
หลินเจี๋ยคิดในใจว่าการมีเครือข่ายคนรู้จักนี้เป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้น ถึงเขาจะลงมือเพื่อป้องกันตัว แต่เขาก็คงยังต้องจัดการกับเรื่องยุ่งยากที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ไปสักพักอยู่ดี
เขาเหลือบมองรอบ ๆ และเห็นร้านหนังสือที่เสียหายเล็กน้อย แล้วสีหน้าของเขาก็แย่ลง “คนพวกนี้ทำผิดร้ายแรงจริง ๆ! ขอผมไปตรวจข้าวของก่อนนะครับ หวังว่าคาเฟ่ผม…หวังว่าจะไม่มีใครบาดเจ็บนะครับ”
—
ด้วยการดีดนิ้วครั้งเดียว วินเซนต์ก็ใช้พลังของทัณฑ์นิรันดรเผาร่างของผู้โจมตีเหล่านี้จนเป็นผุยผงในพริบตา
ในขณะที่กลุ่มคนที่นี่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นน่ากลัวสุด ๆ แล้วคนที่รับไม่ไหวก็เป็นลมไปแล้ว
วินเซนต์เฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของเหล่าคนธรรมดาเหล่านี้ แล้วรู้แล้วว่าจะเลือกใครได้บ้าง
ถ้ามีใครตัดสินใจไม่เข้าร่วม เขาก็จะให้คล็อดลบความทรงจำเขาแล้วส่งเขากลับ
เพราะถึงอย่างไร การเก็บกวาดก็เป็นเรื่องถนัดของหอพิธีกรรมต้องห้ามอยู่แล้ว
แอนนีตรวจบาดแผลบนตัวเพื่อนสนิทของเธออย่างกระวนกระวายพร้อมน้ำตานองหน้า “อาเธนา เธอทำให้ฉันกลัวแทบตายแน่ะรู้มั้ย!”
อาเธนาถอนหายใจ “ไม่เป็นไรน่า ไม่ใช่ว่าฉันปลอดภัยดีเหรอ…แค่ว่าฉันหันหลังกลับไม่ได้แล้ว นี่คือชะตาของเดนเพลิง”