บทที่ 198 : การอ่านเปลี่ยนชะตาได้
กับดักเหรอ?
โจเซฟตะลึงงัน นี่เป็นการบอกกล่าวกันโต้ง ๆ อย่างชัดเจน
ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเจ้าของร้านหลินนั้นคงจะเป็นการเตือนเขาว่า แม้นี่จะเป็นเวลาลงมือ แต่พวกเขาก็ไม่ควรลดความระมัดระวังลง เพราะเบื้องหน้าพวกเขาอาจจะมีกับดักซ่อนอยู่ก็ได้…
แต่เดิมแล้ว พวกโจเซฟแน่ใจมากว่าจะชนะ และเพราะเช่นนั้นจึงไม่ได้ระแวดระวังโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนัก
เพราะถึงอย่างไร ปฏิบัติการล่าสุดของพวกเขาก็ประสบความสำเร็จขาดลอย ศาสนาแห่งตะวันนั้นเหมือนประกายแสงที่ไม่ทรงพลัง แต่มีแรงดึงดูดอันน่าตกใจที่ค่อย ๆ เติบโตเป็นเพลิงคลั่ง
หลังจากโน้มน้าวความเห็นสาธารณะและบุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง โบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็สะดุดเท้าตนเองอย่างลนลาน พวกระดับสูงพากันเก็บตัวโดยไร้เหตุผลกอปรกับการเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวที่ปิดเงียบมาหลายปีนั้นส่งผลให้เกิดแรงกดดันภายในมหาศาลที่ใกล้ระเบิดเต็มที
พูดได้ว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นกำลังอยู่ในเหตุจลาจล
ในช่วงนี้โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นเคลื่อนไหวผิดพลาด พวกคลั่งศาสนาในสังฆมณฑลแห่งหนึ่งถูกอัครสาวกลำดับ 3 ปลุกระดมให้ออกมาโน้มน้าวใจคนตามถนน เจตนาของพวกเขามีเพียงเทศนาแย้งคู่ต่อสู้เพื่อทำให้ผู้ที่ความเชื่อสั่นคลอนกลับสู่อ้อมกอดแห่งดวงจันทร์เท่านั้น
แต่ผิดจากความคาดหมาย ในขณะที่พวกคลั่งศาสนากำลังออกไปเที่ยวกล่อมผู้คนบนถนนอยู่นั้น ดันเป็นตอนที่เหล่าผู้ความเชื่อสั่นคลอนกำลังต้องการคำอธิบายจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดพอดี คำพูดที่เผ็ดร้อนถูกสาดใส่กันแล้วทั้งสองฝ่ายก็เกิดการปะทะกันขึ้น
ความขัดแย้งทางคำพูดกลายเป็นทางกายภาพ แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นการนองเลือด
แรงกดดันต่อโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นรุนแรงเสียจนวิหารในสังฆมณฑลที่ 3 ต้องปิดตัวลงหยุดรับผู้มาภาวนาและการสารภาพบาปของสาวกไปชั่วคราว รวมไปถึงคำถามและการสัมภาษณ์ของคนภายนอกด้วย
ทว่า…ปัญหาก็เกิดขึ้นเมื่อมีการลอบสังหารอัครสาวกลำดับที่ 3 ซึ่งเมื่อถูกพบอีกทีเขาก็กลายเป็นศพไร้หัวไปแล้ว
แน่นอนว่านี่ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการวินเซนต์ เมื่อได้รับการเสริมพลังจากดวงอาทิตย์ อาเธน่า นักรบหญิงจากชนเผ่าโบราณก็เป็นคนลงมือสังหาร และแม้วิธีการของเธอออกจะหยาบไปหน่อย แต่ผลของมันนั้นก็มีประสิทธิภาพพอ
เหล่าสาวกในสังฆมณฑลที่ 3 ต่างตะลึงไปตาม ๆ กัน แล้วจุดยืนที่เลี่ยงไม่ให้เหล่าสาวกระส่ำระสายของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นก็ทำให้คนภายในแตกเป็นสองฝ่าย และผลก็คือทั้งสังฆมณฑลแตกพ่าย
สถานการณ์ในสังฆมณฑลอื่น ๆ ก็แย่พอกัน แต่ว่าอัครสาวกของพวกเขายังอยู่เท่านั้นเอง
ในขณะเดียวกัน ศาสนาแห่งตะวันนั้นงอกเงยราวกับหญ้า สาวกของพวกเขาทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ศรัทธาในโบสถ์แห่งจุดสูงสุดผู้ทำอะไรไม่ถูกในสถานการณ์อันสับสนนี้ถูกรับเข้าไปในศาสนาแห่งตะวันอย่างต่อเนื่อง
นี่เป็นเพราะว่าหนึ่งในคำสอนหลักของวินเซนต์คือทฤษฎีที่ ‘ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีที่มาเดียวกัน’ ซึ่งสอนว่าพลังของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์นั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นหากใครเชื่อในดวงจันทร์ พวกเขาก็สามารถเชื่อในดวงอาทิตย์ได้ด้วย…
นี่เป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบที่จะดึงตัวสาวก
เขายังไม่ได้พูดเรื่องที่ที่จริงแล้วพลังของดวงจันทร์มาจากดวงอาทิตย์เลย แต่สาวกที่มีพื้นหลังทางการศึกษาในระดับหนึ่งนั้นสามารถเติมคำในช่องว่างได้ด้วยตนเองและจะเชื่อโดยไม่สงสัย เพราะเหล่าสาวกได้เห็นศาสนาแห่งตะวันแสดงพลังของทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มาแล้ว
วินเซนต์ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เขาละทิ้งความเชื่อด้วยเช่นกัน หากมีใครยกมันขึ้นมาถาม เขาจะทำเพียงยิ้มอย่างเงียบ ๆ แล้วให้คนอื่นไปคาดเดาความจริงกันเอาเอง
อีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อพลังแห่งดวงจันทร์ที่มูเอนแสดงออกมานั้นมีระดับที่สูงกว่า สาวกคนแล้วคนเล่าจึงคิดว่า ‘การละทิ้งความเชื่อ’ ที่ว่าของวินเซนต์นั้น ที่จริงแล้วเป็นการใส่ความที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดกุขึ้นมา
แม้ว่าเหล่านักบวชแห่งโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะทำเรื่องแย่ ๆ เอาไว้ แต่ก็ยังมีนักบวชดี ๆ บางคนที่ยังภักดีแม้จะรู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้วก็ตาม และเพื่อที่จะรักษาความหวังและความเชื่อในดวงจันทร์ที่แท้จริงไว้ พวกเขาจึงเฉดหัวส่งวินเซนต์เพื่อเหตุผลนี้
ในตอนนี้เมื่อเกิดข้อพิพาทจนในที่สุดศาสนาใหม่ก็ถูกตั้งขึ้น โบสถ์แห่งจุดสูงสุดดั้งเดิมก็เหลือเพียงเปลือกกลวง ๆ แล้วตอนนี้ก็ปรากฏว่าเศษเสี้ยวความเชื่อที่เหล่าศาสนิกชนมีอยู่ในใจดันมาตรงกับศาสนาใหม่อีก!
พวกเขาเต็มใจจะเชื่อว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดแค่เกิดใหม่ด้วยวิธีนี้ และที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้ซ่อนการคอรัปชั่นเอาไว้อย่างที่พวกเขาเห็น!
แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญมาจากภาพลักษณ์คนดีของวินเซนต์
ด้วยหลักฐานที่เชอร์รี่นำมาให้คล็อด เมื่อมันถูกนำไปเผยแพร่เมื่อไหร่ โบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะเสียศูนย์โดยไร้โอกาสแก้ตัวอย่างแน่นอน…
แต่ตอนนี้คำพูดของเจ้าของร้านหลินทำให้โจเซฟตื่นตัว
อย่าปล่อยปละ!
โบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะทำพิธีบวงสรวงรอบสองแล้ว แล้วพวกเขาก็กำลังเตรียมการโจมตีครั้งสุดท้ายอยู่ด้วย มันเป็นไปได้ว่าพวกเขาในตอนนี้กำลังจงใจแสดงจุดอ่อนของตนเองออกมาในขณะที่จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังเพียรพยายามติดตั้งกับดักใหญ่โตไว้รอพวกเขาอยู่
เมื่อพิจารณาถึงอำนาจของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดแล้ว องค์กรใหญ่ยักษ์นั้นไม่น่าล่มสลายได้ไวนัก และความพยายามควบคุมสถานการณ์ของพวกเขาก็จะทำให้ฝ่ายวินเซนต์เจอสถานการณ์หนักอึ้งขึ้นได้มาก…
แต่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดกลับเลือกไม่ไหวติงแล้วสร้างภาพว่าไร้ความสามารถขึ้นมา
นี่หมายความว่าพวกเขาคงจะทุ่มหมดหน้าตักกับการเดิมพันในวันทำพิธีบวงสรวง ดังนั้นการสูญเสียเหล่านี้ในตอนนี้ไร้ความหมาย
การประมือกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดโดยใช้แนวคิดปัจจุบันจะทำให้พวกเขามองข้ามและปฏิบัติต่อศัตรูอย่างไม่ระมัดระวัง
โจเซฟรู้สึกราวกับถูกน้ำแช่น้ำแข็งเทเข้าใส่หนึ่งถัง แล้วเขาก็ถูกสอนบทเรียนใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เขาอดไม่ได้ที่จะรำพึง ทุกครั้งที่เรามาเยือนร้านหนังสือ เราก็จะได้รับอะไรใหม่ ๆ กลับไปจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่พลังหรืออะไรก็ตาม!
ได้แค่บอกว่าสมแล้วที่เป็นเจ้าของร้านหลิน!
เขาเดินไปที่กลางร้านหนังสือแล้วนั่งลงที่เคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าบรรลุธรรม
“ถ้ามันเป็นกับดักของเจ้าของร้านหลิน งั้นผมก็เต็มใจเดินเข้าไปครับ”
“…” หลินเจี๋ยขนลุกไปทั่วตัวในขณะที่เขาสัมผัสถึง ‘ความอ่อนโยน’ ในสายตาที่โจเซฟมองเขาได้
อย่าบอกนะว่าตาลุงคนนี้เข้าสู่สภาวะคนแก่เดียวดายอีกคนแล้ว? บางทีเขาอาจจะทนความเหงาไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วหลังจากแตกหักกับไวลด์มาสองปี…แล้วพยายามหาเพื่อนสนิทคนใหม่อีกครั้ง
ในตอนแรกที่เขามาที่ร้านหนังสือ เขาเป็นชายผู้ปกติและดุมาก แต่ตอนนี้ก็ได้เผยธาตุแท้ของตนออกมาแล้ว
จากที่มูเอนว่า คล็อดมักจะบ่นว่าที่งานล้นมือนั้นล้วนเป็นงานที่โจเซฟสุมไว้ให้เขา แล้วเขาก็ต้องทำงานล่วงเวลาทุกวัน เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขายังคงเป็นอัศวินผู้เที่ยงธรรมและเมตตาอยู่เลย แต่ตอนนี้การยักยอกงบประมาณกลายเป็นนิสัยติดตัว แล้วเขาก็กลายเป็นหนึ่งในจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ต้องขอบคุณตัวอย่างดี ๆ จากอาจารย์เขาทั้งนั้น
แต่ลึก ๆ แล้ว หลินเจี๋ยอยากจะพูดมากว่าอาจารย์ทำหน้าที่เพียงนำทาง แต่การปฏิบัติยังขึ้นกับคน…
สายตาของหลินเจี๋ยพลันถูกดึงไปที่มือของโจเซฟ ล่าสุดที่เขากลับไป แขนของเขาข้างนี้ว่างเปล่า แต่ตอนนี้มัน ‘งอก’ กลับมาใหม่แล้ว มันไม่ใช่แขนกลอีกต่อไป แต่เป็นแขนเทียมเลียนแบบที่ดูไม่ค่อยต่างจากของจริงเท่าไหร่เลย
“แขนใหม่ของคุณดูดีนะครับ”
โจเซฟหัวเราะแล้วกำหมัดประกาศ “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านหญิงมูนเขาล่ะครับ!”
เขาในตอนนี้เรียกมูเอนว่า ‘ท่านหญิงมูน’ ตามสาวกเหล่านั้นไปแล้ว เพราะหลังจากศึกที่ผ่านมาจบลง มูเอนได้ใช้พลังของดวงจันทร์สร้างแขนของเขาขึ้นมาใหม่ และนี่ทำให้โจเซฟรู้สึกขอบคุณมาก
หือ?
นี่เกี่ยวอะไรกับมูเอนล่ะนี่?
หลินเจี๋ยงุนงงกับคำกล่าวนี้
แล้วเขาก็ระลึกถึงความสามารถเรียนรู้ที่ผิดปกติของมูเอนที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ได้
เธอคงไม่ได้ปลดสายทักษะทางชีววิทยาขึ้นมาได้หรอกนะใช่ไหม?
ถึงเรื่องนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาก็เถอะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดขายของในร้านหนังสือได้เช่นกัน
หลินเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ “นั่นคือการเปลี่ยนชะตาของความรู้ครับ หรือก็คือ เด็กคนนั้นแค่ฟังผมแล้วอ่านหนังสือให้มากขึ้นจนมาถึงจุดนี้ได้นั่นเอง”
“จะว่าไป ในสภาวะของคุณตอนนี้ ผมก็รู้สึกว่าคุณต้องอ่านหนังสือให้มากกว่านี้นะครับ ผมสังหรณ์ว่าครั้งนี้คุณก็มาหาหนังสืออ่านอีกเล่มด้วย ถูกไหมครับ?”