บทที่ 207 : อย่าสวมมัน
เมื่อได้เห็นวินเซนต์จุดประกายความคิดขึ้นเพราะเจ้าของร้านหลิน จิตวิญญาณต่อสู้ของโจเซฟก็ปะทุขึ้นมา ในทันทีนั้น การใช้ชีวิตที่ตกต่ำในช่วงสองปีที่ผ่านมาของเขาก็ไหลเข้ามาในใจ
ถ้าไม่มีเจ้าของร้านหลิน บางทีตัวเขาเองก็อาจจะเหมือนกับผู้ถือครองดาบปีศาจคนก่อน ๆ ที่ออกนอกลู่นอกทางไปบนเส้นทางแห่งความบ้าคลั่ง แล้วสุดท้ายก็ยอมสยบต่อคมดาบปีศาจ
แต่ตอนนี้ นอกจากเขาจะเป็นไทจากดาบปีศาจ ชายหนุ่มยังได้โอกาสในการเลื่อนขึ้นสู่ระดับเหนือนภาด้วย
เขาเดินเข้ามาตบบ่าวินเซนต์ก่อนที่จะพูดอย่างเขิน ๆ กับหลินเจี๋ย “ผมไม่เคยสะสมของที่น่าสนใจแบบนี้มาก่อนเลย”
“ด้วยอาชีพของผมทำให้ผมพอจะเก็บหอมรอมริบมาได้พอตัว แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่อะไรที่ทำให้คุณสนใจได้หรอก แต่ว่าตราบใดที่คุณต้องการ คุณจะสามารถเรียกใช้ลูกน้องของผมได้ทุกเมื่อโดยใช้ตราของผมครับ”
แล้วโจเซฟก็ล้วงมือเข้าไปหยิบตราทองคำอันประณีตออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อของเขา การออกแบบเป็นรูปโล่และดาบคู่ที่ไขว้กันอยู่บนนั้น มีดวงดาวและอัญมณีประดับบนตรา และที่ใจกลางตราสลักชื่อโจเซฟเอาไว้
นี่คือตราอันทรงเกียรติที่มอบให้กับเขาในตอนที่เขาขึ้นเป็นอัศวินแห่งแสง และเป็นอะไรที่ส่งให้ใครไม่ได้ง่าย ๆ หากตรานี้ถูกแสดงให้ลูกน้องเก่าหรือเหล่าสาวกของเขาล่ะก็ พวกเขาจะเข้าใจได้ทันทีว่าบุคคลที่ถือตรานี้เป็นคนที่โจเซฟให้ความสำคัญยิ่งยวด
ยิ่งลูกน้องเก่าของเขาสองคนเลื่อนขั้นเป็นระดับภัยพิบัติและได้รับตำแหน่งอัศวินแห่งแสงกันไปแล้ว เพราะฉะนั้นน้ำหนักของตราที่โจเซฟถือจึงมีความสำคัญมาก
ไม่อ่ะ…ผมยังชอบเงินเป็นปึก ๆ มากกว่าอยู่ดีครับ…
หลินเจี๋ยร้องไห้ในใจในขณะที่รับตรามาด้วยรอยยิ้ม
เฒ่าไวลด์…คุณนี่มันนักสร้างกระแสจริง ๆ ตอนนี้ทุกคนเลยเชื่อกันหมดแล้วว่าผมชอบของฝากท้องถิ่นกาก ๆ
พูดตามจริงแล้ว ตรานี้มีค่ามากกว่าอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองชิ้นที่วินเซนต์มอบให้เขาเสียอีก เพราะการเรียกใช้เจ้าหน้าที่จากหน่วยตำรวจเขตกลางได้นั้นเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างสะดวกยามเกิดปัญหา
แต่ปัญหาเดียวก็คือหลินเจี๋ยดูจะไม่ได้มีการติดต่อกับพวกตำรวจเท่าไหร่นัก และร้านหนังสือโกโรโกโสของเขาก็ไม่ค่อยได้ประสบปัญหาร้ายแรงอะไรด้วย
หลินเจี๋ยคิดว่าโจเซฟอาจจะเข้าใจอะไรเขาผิดอยู่
แต่เจตนาดีนั้นดีเสมอ และหลินเจี๋ยก็ยอมให้ลูกค้าตัดสินเขาผิดไปไม่ได้
“จะว่าไป โจเซฟครับ คุณมีตำแหน่งอะไรเหรอครับ?”
หลินเจี๋ยเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดก่อนที่โจเซฟจะเกษียณ
จากการสนทนาตามปกติของพวกเขา เขาก็บอกได้ว่าโจเซฟคือชายผู้เคยอยู่ในตำแหน่งสูงและคงมีชื่อเสียงมากมาย แต่เขาก็ต้องเกษียณตัวเองเพราะความพิการและผลกระทบของวิญญาณของแคนเดลาในดาบที่ทำให้สติของเขาย่ำแย่ลง
แม้ว่าเขาจะออกจากงานไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังมีตำแหน่งสำคัญอยู่
เพราะถึงอย่างไร กระทั่งคล็อด ลูกศิษย์ของเขาก็ยังเป็นสารวัตรตำรวจได้ จากการที่ตำรวจสองนายที่เคยมาตรวจค้นร้านหนังสือเมื่อครั้งก่อนกลัวจนทำอะไรไม่ถูกไปเมื่อได้เจอกับหัวหน้าของพวกเขา ดังนั้นโจเซฟต้องมีระดับสูงยิ่งกว่าคล็อดแน่ เขาถึงสั่งการคล็อดได้ตามใจชอบ
และบังเอิญว่าคล็อดก็ไม่ได้มาที่นี่ด้วย ดังนั้นเขาน่าจะกำลังประสานงานต่อจากอาจารย์ของเขาอยู่
โปรดสงบนิ่งให้ตีนผมของเขาสักครู่…
ในใจเขา…โจเซฟบอกตัวเองว่าคงไม่มีทางที่เจ้าของร้านหลินจะไม่รู้เรื่องนี้หรอก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ต้องเป็นบทโหมโรงสู่เรื่องบางเรื่องแน่
“แผนกข่าวกรองครับ ตอนนี้ผมเป็นหัวหน้าแผนกข่าวกรองอยู่”
“อ้อ…แผนกข่าวกรอง”
หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างเยือกเย็นราวกับเขาได้รับการแถลงไขขึ้นมาในฉับพลัน… เปล่าหรอก
เขาตระหนักดีถึงโครงสร้างของสถานีตำรวจปกติ โครงสร้างของหน่วยตำรวจเขตกลางของนอร์ซินก็คงจะคล้าย ๆ กัน ทว่าเขากลับไม่เคยได้ยินการมีอยู่ของ ‘แผนกข่าวกรอง’ มาก่อนเลย
ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าโจเซฟไม่ได้พยายามจะหลอกเขา และคำว่า ‘ข่าวกรอง’ ก็มักจะเกี่ยวกับสายสืบ หน่วยสืบราชการลับและตำแหน่งงานใกล้เคียง นี่คงเป็นเหตุที่สาขาลับนี้ไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ
คำถามนี้ดูปุบปับไปพอควร
เพื่อกลบเกลื่อนความเก้อเขินของเขา หลินเจี๋ยจึงเริ่มเปลี่ยนประเด็น “จะว่าไปแล้ว คุณเองก็มีระดับสูงในหน่วยของคุณแล้ว คุณมีความคิดที่จะเลื่อนระดับสูงไปกว่านี้อยู่อีกไหมครับ?”
แม้ว่าจะไม่รู้สถานการณ์ที่ชัดเจนก็ตาม แต่การกำจัดเนื้อร้ายของสังคมอย่างโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากวินเซนต์แล้ว โจเซฟกับคล็อดก็เรียกได้ว่ามีบทบาทมากที่สุด
แม้ว่าหน่วยงานลับจะดูเหมือนจะมีน้ำหนักและอำนาจหนักอึ้ง แต่โจเซฟน่าจะยังมีพื้นที่พัฒนาต่อ
“เอ่อ…”
โจเซฟพูดไม่ออก หน่วยทั้งสี่นั้นเป็นส่วนประกอบทั้งหมดของหอพิธีกรรมต้องห้ามแล้ว และอัศวินแห่งแสงก็เป็นเพียงหนึ่งในสิบบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดที่เลือกขึ้นมาจากภายในองค์กร
ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรองในตอนนี้ของเขาหมายความว่าเขาเป็นหนึ่งในสี่คนที่มีสิทธิ์เสียงสูงสุดในเบื้องหน้าแล้ว ถ้าเขายังอยากจะปีนให้สูงกว่านี้ ก็คงต้องคืนสู่ตำแหน่งอัศวินแห่งแสงหรือเข้าสู่สภาผู้อาวุโสแล้วล่ะ
โจเซฟลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ผมอาจจะต้องคิดสักพักครับ เพราะถึงอย่างไรผมก็ห่างสนามรบไปสักพักแล้ว แล้วผมก็ค่อนข้างพอใจในการใช้ชีวิตช่วงนี้ของผมแล้วด้วยครับ”
“อีกอย่าง ในช่วงสองปีที่ผ่านมาผมก็ไตร่ตรองอยู่หลายครั้ง แล้วก็คิดขึ้นมาว่าผมยังมีความรับผิดชอบในฐานะคนมีครอบครัวอยู่ด้วยครับ”
“ในปีที่ผ่านมาผมไม่มีเวลาให้เมลิสซ่าเลย ซึ่งนั่นทำให้เธอมีนิสัยแปลก ๆ แล้วก่อเรื่องเพราะต้องการความสนใจอยู่เรื่อย ๆ”
ใช่เลย…ยัยเด็กเลินเล่อที่แรกพบก็ขอแข่งงัดข้อเลยนั้นสามารถใช้คำว่าเรียกร้องความสนใจมาบรรยายได้
หลินเจี๋ยพยักหน้า “นั่นก็ไม่เลวนะครับ ถึงงานจะสำคัญ แต่ครอบครัวสำคัญกว่า จะว่าไป เมลิสซ่าซื้อหนังสือไปหลายเล่มอยู่ตอนที่เธอมาที่นี่เมื่อครั้งก่อน เธอเรียนหนักหรือเปล่าครับ? ช่วยเตือนเธอให้หน่อยนะครับว่าให้รักษาสมดุลระหว่างชีวิตและการเรียนด้วย”
เฮ้อ…มันก็หลายเดือนแล้วนะนับแต่คุณหนูน้อยคนนั้นมาเยือน ถ้าคิดว่าเธอทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการเรียน เธอก็คงมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัดแล้วแน่ ๆ
ปากของโจเซฟกระตุกเล็กน้อย “เธอ…ขังตัวเองไว้ในห้องทั้งวันทั้งคืนเพื่อเรียนหนังสือแล้วไม่ยอมออกมาเลยครับ แต่ว่าเธอดูจะอยู่ในสภาพที่ดีอย่างน่าตกใจและร่าเริงดีทุกวันเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเธอหรอกครับ”
โจเซฟเคยได้ยินคำอธิบายสั้น ๆ ตอนที่เธอมาร้านหนังสือจากลูกสาวของเขาแล้ว และเข้าใจว่านิสัยห้าว ๆ ของเธอน่าจะไปสร้างความรำคาญใจให้เจ้าของร้านหลินเล็กน้อย
ทว่ามันก็ไม่ใช่ว่าเจ้าของร้านหลินจะไปคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเด็ก และเขาก็แค่ให้บทเรียนเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธอทำผิดแย่กว่านี้ในอนาคต
ยิ่งกว่านั้น หนังสือพวกนั้นก็นำประโยชน์มาให้เธอมากกว่าผลเสีย
“ได้ยินอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะครับ พอเธอเรียนพวกมันจบ จะให้เธอมาอ่านหนังสือที่ร้านหนังสือก็ยินดีนะครับ”
“อืม บางทีคาเฟ่หนังสือข้าง ๆ อาจจะเหมาะกับเด็กสาว ๆ อย่างเธอมากกว่า…เธอเป็นเด็กน่าสนใจครับ บางทีถ้าผมว่าง ๆ ผมอาจจะให้คำปรึกษาเธอได้บ้างก็ได้”
ได้เวลาดึงลูกค้าเพิ่มแล้ว หลินเจี๋ยคิดในใจในขณะที่ลูบคางตัวเอง
“แน่นอน…แน่นอนครับ” โจเซฟหัวเราะร่าพลางสัญญา การที่เจ้าของร้านหลินประเมินเธอไว้สูงนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเมลิสซ่าแล้ว
หลังจากคุยกันต่อไปอีกสักพัก หลินเจี๋ยก็โบกมือลาทั้งคู่
แม้ว่าสถานการณ์ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะมาถึงบทสรุปแล้ว แต่วินเซนต์กับโจเซฟก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ และพวกเขาก็อยู่ต่อนานกว่านี้ไม่ได้
มูเอนที่กำลังทำความสะอาดเคาน์เตอร์ก็ดูเหนื่อยพอสมควร แม้ว่าหลินเจี๋ยจะไม่ได้สังเกตเห็นมันมาก่อน แต่ตอนนี้เขาก็ตระหนักแล้วว่าผิวของมูเอนดูจะซีดลงไปอีกสองสามเฉด
เมื่อก่อนนี้มูเอนผิวค่อนข้างขาวซีดอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ซีดขนาดนี้ ตอนนี้ผิวของเธอขาวราวกับแสงจันทร์และซีดจนน่ากลัว ผิวของเธอดูไร้ที่ติและเปล่งประกายราวอัญมณี
หลินเจี๋ยอดหยิกแก้มมูเอนแล้วดึงให้ยืดจากกันไม่ได้
“หย่อ…” มูเอนที่ถูกดึงแก้มพูดไม่ชัด เธอมีสีหน้าสับสนราวกับเธอเพิ่งนึกถึงบางสิ่งออก
เธอชี้ไปที่แหวนแล้วพยายามพูด “หย่อ…อ่อ…สวมมัน…”
“สวมมัน?” หลินเจี๋ยถามพลางหยิบแหวนมาลองสวมแล้วพบว่ามันมีขนาดพอดีนิ้วนางของเขาเลย ทว่าเมื่อเขาพยายามถอดมันออก หลินเจี๋ยก็พบว่าทำไม่ได้
เขายื้ออยู่สองครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล แล้วก็มุ่ยหน้า “เหมือนผมจะดึงแหวนออกไม่ได้ ผมยังไม่ได้ล้างมันเลย…ใครจะรู้ว่าหลังจากบูชากันมาตั้งนาน มันจะผิดสุขอนามัยไปแค่ไหนแล้ว”
มูเอนหน้าเสีย
เธอตั้งใจจะบอกเขาว่าอย่าสวมมัน…