บทที่ 209 : เขาจะกลับมาจากความตาย
“หือ??”
หลินเจี๋ยมองเจ้าตัวอ้วนขนฟูบนโต๊ะอย่างงุนงง
หูแหลม ๆ สองข้าง หางยาว ๆ ที่ส่ายไปมาและท่าทางอยากรู้อยากเห็นของมัน
ใช่…มันคือแมวแน่ ๆ
แล้วเขาก็เห็นการ์กอยล์ที่เสียหายกับเปลือกไข่แตก ๆ บนโต๊ะ
ผลสรุปที่ดูพิลึกแล่นเข้ามาในใจว่า…เจ้าเหมียวนี่ฟักออกมาจาก ‘ไข่แมลง!’
ไม่สิ ในเมื่อสิ่งที่ออกมาจากไข่เป็นแมว งั้น ‘ไข่แมลง’ นี่ก็ควรเป็น ‘ไข่แมว’ แทนน่ะสิ?
ปากของหลินเจี๋ยกระตุก ปรากฏการณ์ที่ผิดต่อกฎแห่งชีววิทยานี้ต้องทำให้ชาร์ลส์ ดาร์วินคลานออกมาจากหลุมศพเพื่อสืบเสาะเรื่องของเจ้าสิ่งผิดปกตินี้แน่ ๆ
แต่นี่เป็นอีกโลกหนึ่ง ดังนั้นดาร์วินจึงไม่เกี่ยว
อิงจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว หลินเจี๋ยก็พอจะเดาได้ลาง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่เขาไม่อยู่ ไข่ใบนี้คงจะชนเข้ากับการ์กอยล์โดยบังเอิญและไม่มีใครชนะใครได้ การ์กอยล์แตกออก และเปลือกไข่ก็แตกร้าว ผลก็คือเจ้าแมวตัวนี้และฉากที่ว่า
จะว่าไป ไข่ใบนั้นแข็งขนาดนั้นจริง ๆ เหรอ?
แต่ว่า…ในเมื่อกระทั่งแมวยังเป็นสัตว์ออกไข่ได้ การมีเปลือกไข่แข็งคงไม่น่าตกใจแล้วล่ะ…
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าการสันนิษฐานก่อนหน้านี้ของเขาตรงเผง นี่ต้องเป็นสัตว์ในตำนานที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดบูชาแน่ ๆ
เขาเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์อย่างช้า ๆ ในขณะที่ความคิดเหล่านี้ยังวนเวียนในใจ
เจ้าตัวอ่อนที่เพิ่งแปลงร่างเสร็จกระดิกหางของมัน แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มมีความสุขของหลินเจี๋ย มันก็ตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว
หลินเจี๋ยยื่นมือไปเกาคอของ ‘เจ้าแมวขาว’ อย่างเชี่ยวชาญ แล้วอุ้มมันขึ้นมามองดี ๆ
“หืม แมวตัวนี้ดูแปลกหน่อย ๆ แฮะ มันพิการหรือเปล่านะ?” หลินเจี๋ยลูบคางคิด
“ดวงตาสีเหลืองของมันไม่มีรูม่านตาเลย…”
เจ้าตัวอ่อนกางเล็บของมันดิ้นรนอย่างไร้ความหมาย “…”
หลินเจี๋ยแตะนิ้วใกล้ ๆ เบ้าตาของ ‘เจ้าแมวขาว’ แล้วกดลงไปเบา ๆ “อาการแบบนี้ต้องไปหาหมอไหมนะ?”
“แต่เจ้านี่ก็ไม่ใช่แมวธรรมดาด้วยสิ สัตวแพทย์จะช่วยอะไรได้จริง ๆ เหรอ?” หลินเจี๋ยพึมพำกับตัวเอง
เจ้าตัวอ่อนสัมผัสถึงคลื่นพลังอันแข็งแกร่งที่สะท้านไปในกะโหลกของมัน ทำให้มันลนลานด้วยความกลัว แล้วมันก็เริ่มสร้างรูม่านตากลม ๆ เล็ก ๆ ในดวงตาของมันเพื่ออยากจะพิสูจน์ว่าถึงเล็ก แต่มันก็มีม่านตานะ
“โอ้ มันคงหดตัวเสียจนเรามองไม่เห็นมัน…แต่ทำไมหูมันแปลก ๆ ล่ะ? รูหูอยู่ไหน…”
เมื่อตระหนักได้ว่าหลินเจี๋ยกำลังหยิก ‘เขา’ ทั้งสองของมันอยู่ เจ้าตัวอ่อนก็รีบเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมันอีกครั้ง
“อ้าา ขนยาว ๆ ของมันปิดอยู่นี่เอง…” หลินเจี๋ยตระหนักรู้กะทันหันอีกครั้ง
เขาลูบหลังของ ‘เจ้าแมว’ แล้วพบว่าขนนุ่มแต่มันเลื่อมของมันไม่ใช่สัมผัสที่ดีเท่าไหร่ แล้วเขาก็ช้อนมือใต้รักแร้ของมันแล้วยกเจ้าแมวขึ้น
“ไหนร้องเหมียวซิ?” หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ
เจ้าตัวอ่อนอ้วนกลมดีดขาหลังของมันกลางอากาศสองครั้งก่อนจะครางเบา ๆ ด้วยใบหน้ามึนงง
“งู้ย…น่ารักจัง”
หลินเจี๋ยวางเจ้าแมวกลับลงไปแล้วเริ่มลูบคางที่เต็มไปด้วยเส้นขนของมัน “จากนี้ไป นายชื่อ ‘เจ้าขาว’ นายอยู่ในร้านหนังสือได้นะ เดี๋ยวฉันจะเตรียมที่นอนแมวให้นายทีหลัง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้า ‘แมวขาว’ ก็ชะงักกึกแล้วเงยหน้าขึ้นมองหลินเจี๋ย
แล้วมันก็เห็นรอยยิ้มเจิดจ้าของหลินเจี๋ยอีกครั้ง “นายต้องทำตัวดี ๆ นะ การ์กอยล์ตัวนี้เป็นของขวัญจากลูกค้าที่ผมสนิทด้วยนะ ที่จริงตอนนี้ฉันโกรธสุด ๆ เลยที่นายทำลายมัน นายเข้าใจไหม?”
“แน่นอน ฉันไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดเอาลูกแมวน่ารักแบบนี้ไปต้มกินหรอก”
เจ้าของร้านหลินลูบ ‘เจ้าขาว’ อย่างอ่อนโยน
“เว้นแต่ฉันจะอยากกินนายขึ้นมาจริง ๆ น่ะนะ”
หางของเจ้าขาวชี้ขึ้นด้วยความกลัว จากนั้นมันก็สังเกตเห็นแหวนที่นิ้วนางของหลินเจี๋ยจึงร้องเหมียวออกมาเบา ๆ แล้วมันก็ก้มหัวลงทำท่าทางยอมสยบ
หลินเจี๋ยลูบแมวที่เพิ่งจะรับมาเลี้ยงใหม่แล้วเบนความสนใจไปที่ความยุ่งเหยิงบนเคาน์เตอร์
การเก็บกวาดเปลือกไข่นั้นง่าย แต่การจัดการกับการ์กอยล์คงน่าปวดหัวเอาการ
การซ่อมแซมงานศิลป์อย่างรูปปั้นการ์กอยล์นี้ไม่ใช่งานง่าย และการขอความช่วยเหลือให้คนอื่นช่วยซ่อมก็อาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจได้
เขาคงต้องรอตาเฒ่าไวลด์มาหาเขาอีกครั้งแล้วขอให้ช่วยซ่อมการ์กอยล์นี้ให้เขาเองเสียแล้ว
“เฮ้อ ฉันรู้สึกว่าตัวเองทำให้เฒ่าไวลด์เสียใจแล้วสิ” หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด การ์กอยล์หินตัวนี้เพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่เดือน แต่ตอนนี้ก็แตกเสียแล้ว
เขาอุ้มเจ้าขาวขึ้นมาลูบอีกครั้ง “อย่าลืมทำหน้าที่ตัวเองแล้วทำตัวน่ารักซะล่ะ อ้อ ฉันไม่ถือสาด้วยนะถ้านายจะช่วยดูแลบ้าน ไม่งั้นนายคงไม่มีประโยชน์
“เมี้ยว…”
เจ้าขาวตัวสั่นแล้วร้องเหมียวเหมือนแมวอย่างชำนาญขึ้นเรื่อย ๆ
หลินเจี๋ยที่พึงพอใจวางเจ้าขาวลงพื้นก่อนที่จะเดินลงไปที่ชั้นใต้ดินเพื่อหาอุปกรณ์มาทำที่นอนแมว
—
โจเซฟเดินทางกลับไปที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดก่อนเพื่อคุมงานของแผนกข่าวกรอง แล้วหลังจากเรื่องจบเขาจึงเดินทางกลับไปที่สำนักงานใหญ่ของหอพิธีกรรมต้องห้าม
หลังจากเขากลับไปถึงเพียงครู่เดียว เขาก็ได้รับรายงานใหม่
“มาร์กาเร็ต หัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมของสมาคมแห่งสัจธรรมถูกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติปริศนาโจมตีเหรอ?”
โจเซฟทำหน้ามุ่ย “จากที่ฉันพอจำได้ ไม่ใช่ว่าเธอมาจากตระกูลซานดร้าเหรอ? ตระกูลผู้เชี่ยวชาญโอสถอาถรรพ์นั่นไม่ได้เหยียบเท้ากันได้ง่าย ๆ นี่ ตระกูลนี้เก็บตัวเงียบอยู่ตลอด ดังนั้นพูดในเชิงตรรกะแล้วพวกเขาก็ไม่น่าจะมีศัตรูได้”
คล็อดที่ถือแฟ้มในมือพยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่นั่นก็หยุดเขาไม่ให้มีถุงใต้ตาไม่ได้
“ใช่ครับ จากร่องรอยอีเธอร์ที่พบในจุดเกิดเหตุ ผู้โจมตีได้ใช้คาถาต้องห้าม ‘ประตูโลหิต’ เราเพิ่งจะจับกุมกลุ่มคนทั้งหมดที่ขายม้วนคาถานี้มา และเป็นไปได้สูงมากว่าผู้โจมตีจะมาจากงานเลี้ยงโลหิตครับ”
ดวงตาของโจเซฟหรี่ลง “จุยคาคุเหรอ?”
‘นักเวทสาปโลหิต’ จุยคาคุ นักเวทมนตร์ดำในระดับภัยพิบัติและสมาชิกผู้ก่อตั้งงานเลี้ยงโลหิต เขาเป็นทั้งคนที่วิถีแห่งดาบอัคคีให้การสนับสนุนและเจ้าของหนังสือหนังมนุษย์ของคอนกรีฟ
เมื่อสักพักที่ผ่านมา เขาได้ติดกับดักที่เจ้าของร้านหนังสือวางไว้แล้วกลายมาเป็นคนเอ๋อเล่นน้ำลายโดยความน่าสะพรึงกลัวเกินคำบรรยายที่โจเซฟอัญเชิญมา
คาถาประจำตัวเขานั้นคือการใช้เลือดเป็นสื่อเวทมนตร์ต้องห้ามต่าง ๆ
“ก็คือจะบอกว่ามีวัตถุประสงค์และองค์กรที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้ มองจากเวลาเกิดเหตุแล้ว เหตุการณ์นี้อาจจะเป็นการเกิดเหตุซ้ำของเหตุการณ์ก่อน”
“พวกเขาโจมตีในตอนที่พวกเรากำลังง่วนกับการบุกโบสถ์แห่งจุดสูงสุดพอดิบพอดีเลยครับ”
“สถานการณ์ตอนนี้ล่ะ?” โจเซฟถาม
คล็อดตอบ “ที่อยู่ปัจจุบันของมาร์กาเร็ตยังไม่สามารถระบุได้ครับ ตระกูลซานดร้าโกรธมาก ทางนั้นติดต่อขอความช่วยเหลือจากทั้งหอพิธีกรรมต้องห้ามและสมาคมแห่งสัจธรรม แล้วพวกเขาก็กำลังวางแผนจะส่งคนของตัวเองไปตามหาเธอด้วยครับ…”
โจเซฟหน้าเสีย “พวกเขายังมีสมองอยู่ไหมฟะนั่น?! องค์กรอย่างงานเลี้ยงโลหิตต้องวางแผนมาก่อนแน่ ๆ ถึงกล้าโจมตีคนอย่างมาร์กาเร็ต”
“เป็นไปได้สูงมากว่าเรื่องนี้จะเป็นแผนของวิถีแห่งดาบอัคคี บางทีเป้าหมายของพวกเขาอาจจะเป็นตระกูลซานดร้ามาตลอดก็ได้ แล้วตอนนี้ก็กำลังจะเอาตัวเองไปยัดใส่อุ้งมือศัตรู”
“ผมพูดเรื่องนี้กับพวกเขาไปแล้วล่ะครับ” คล็อดหัวเราะเฝื่อน ๆ “แต่อย่างที่คุณก็รู้ ตระกูลเก่าแก่อย่างพวกนี้มักจะหัวดื้อในแบบของพวกเขา พวกเขายังเชื่อในวัลเพอร์กิสจนตอนนี้อยู่เลย การเปลี่ยนใจพวกเขาแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ”
โจเซฟหายใจลึก ๆ แล้วเริ่มตั้งคำถามต่อ “แล้วจุยคาคุล่ะ? ง้างปากให้มันพูดได้หรือยัง?”
“เราพยายามใช้ยาสร่างกับวิธีอื่น ๆ แล้วครับ แต่ว่าทั้งหมดที่ทำได้ก็แค่ดึงเขาให้อยู่ในสภาพกึ่งเสียสติเท่านั้นเอง เราดึงข้อมูลจากเขาได้แค่ข้อมูลพื้นฐานไม่กี่อย่างเท่านั้นเองครับ”
“แต่การไต่สวนสร้างแรงกดดันต่อร่างกายของเขามากเกินไป แล้วเขาก็ร่อแร่แล้วครับ” คล็อดตอบ
แล้วตอนนี้เอง ลูกน้องคนหนึ่งก็รีบร้อนมารายงาน “จุยคาคุฆ่าตัวตายแล้วครับ!”
“เขาสร่างขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนตายแล้วสาบานว่าเขาจะกลับมาจากความตายเพื่อล้างแค้น ดูเหมือนเขาจะร่ายคาถาฟื้นชีพไว้ในหนังสือหนังมนุษย์ของเขาครับ!”
—
หลินเจี๋ยหยุดเลื่อยไม้ ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตมายาตัวหนึ่งจะหลุดเข้ามาในแดนนิมิตของเขา