บทที่ 210 : ถ้าผมจะทำลายคุณ แล้วคุณจะทำไม
จุยคาคุรับไม่ได้!
ในฐานะนักเวทระดับภัยพิบัติ ความทะนงตนของเขาสูงอยู่เสมอ เขาไม่เพียงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง แต่เขาก็มั่นใจในสติปัญญาของตัวเองด้วยเช่นกัน
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถสร้างกองทัพนักเวทที่ประกอบด้วยสมาชิกที่แข็งแกร่งห้าสิบคนได้ด้วยตัวคนเดียวแล้วสร้างชื่อเสียงไว้มากมายได้หรอก
คนระดับภัยพิบัติส่วนใหญ่เป็นหมาป่าเดียวดายที่ไม่ชอบฝึก ชี้นำหรือควบคุมความสามารถของคนอื่นนัก
การที่เขาสามารถบ่มเพาะคนห้าสิบคนขึ้นมาได้หมายความว่าเขามีความสามารถที่จะฝึกฝนสมาชิกห้าร้อยหรือกระทั่งห้าพันคนได้ การสร้างกองทัพเช่นนั้นเป็นเรื่องหวานหมูสำหรับเขาจริง ๆ และที่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพราะตัวเขาเองดูแคลนงานนั้นต่างหาก
หลังจากก่อตั้งงานเลี้ยงโลหิตขึ้นมา เขาก็ได้ควบคุมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมากกว่าพันคน และมีสถานะไม่ต่างจากจักรพรรดิ ซึ่งนี่ยิ่งยกความทะนงตนที่สูงอยู่แล้วของเขาให้สูงขึ้นอีก
ยิ่งกว่านั้น ด้วยการที่วิถีแห่งดาบอัคคี องค์กรลึกลับนี้ประเมินเขาไว้สูง และเมื่อได้เรียนรู้ ‘สัจธรรมของโลก’ ที่ว่าก็ทำให้จุยคาคุรู้สึกเด่นกว่าฝูงชนผู้โง่เขลา มันทำให้เขารู้สึกเหนือกว่า
ทว่าความล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ดึงความรู้สึกเหนือกว่าของนักเวทผู้ทะนงตนนี้ลงมาแล้วกระทืบมันจมดินไปอย่างไร้ความปรานี
การถูกโจเซฟจับกลับไปสอบสวนที่หอพิธีกรรมต้องห้ามเป็นช่วงเวลาที่จุยคาคุสับสนมาก ความคิดของเขายุ่งเหยิงและจิตใจของเขาก็เละเทะไม่เหลือดี ทำให้เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบ ๆ ตัวเขาบ้าง
เหตุนี้ดำเนินไปจนกระทั่งหอพิธีกรรมต้องห้ามเริ่มให้ยากับเขา ซึ่งทำให้จุยคาคุค่อย ๆ คืนสติ และมอบโอกาสหลบหนีให้เขา
หนังสือหนังมนุษย์ของเขามีหน้ากระดาษที่ทำจากหนังของเด็กทารก และวิธีสร้างก็ซับซ้อนสุดขีด
ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้ใช้เพียงการติดต่อสื่อสารเท่านั้น และที่จริงวิญญาณส่วนหนึ่งของเขาก็ถูกเย็บติดไปกับมันด้วย
ตราบใดที่เขาใช้คาถาจำเพาะและดำเนินการตามขั้นตอนก่อนจะฆ่าตัวตายได้ จุยคาคุก็จะสามารถใช้หนังสือหนังมนุษย์เพื่อคืนชีพตัวเองได้!
แน่นอนว่าทุกอย่างต้องเกิดขึ้นโดยที่เขามีสติ…
ครั้งนี้เขาต้องขอบคุณหอพิธีกรรมต้องห้ามจริง ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ! ฉันจะกลับมาจากความตายแล้วฆ่าพวกแกให้หมดทุกคนเลยโว้ย!”
คอของจุยคาคุบิดเบี้ยว แล้วศีรษะของเขาก็ตกลง แต่เขาก็ยังคงหัวเราะเหมือนคนบ้าใส่อัศวินคุมห้องขังของเขาที่กำลังลนลาน
เขาฟื้นสติส่วนใหญ่ของตัวเองกลับมาได้แล้ว แต่ยังคงเล่นละครเหมือนคนเอ๋อเพื่อที่จะกล่อมพวกเจ้าหน้าที่สืบสวนให้ตายใจ ความอับอายที่เขาได้เผชิญในช่วงไม่กี่วันมานี้จะถูกจดจำไม่มีวันลืม
รอก่อนเถอะ!
แม้ว่าเขาในตอนนี้จะไม่เหลืออะไร แต่ความมุ่งมั่นและความดันทุรังของคนระดับภัยพิบัตินั้นดูแคลนไม่ได้เลย เขาจะกลับมาในไม่ช้าก็เร็วแน่!
และในตอนนั้น หอพิธีกรรมต้องห้ามก็จะได้ลิ้มรสโทสะของเขา!
เขาจะไล่ล่าเจ้าพวกนั้นทุกคนมาทำหนังสือหนังมนุษย์ให้หมดเลย!
เขาหมายใจแล้วหลับตาลงอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วสติของเขาก็หลุดลอยไปอย่างรวดเร็ว
—
จู่ ๆ หลินเจี๋ยก็สัมผัสถึงสิ่งที่เพิ่มมาใหม่ในแดนนิมิตของเขาได้
นับแต่ตอนที่เขาสร้างแดนนิมิตจนเสร็จ แดนนิมิตนั้นก็ได้กลายมาเป็นคล้าย ๆ ห้องส่วนตัวของเขา
การเข้าถึงแดนนิมิตไม่ได้จำกัดแค่ในตอนที่เขานอนหลับในตอนกลางคืนเท่านั้น เขายังสามารถเพิ่มและลบสิ่งของในนั้นได้ทุกเมื่อด้วย เหมือนเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เขานำเอกสารและของต่าง ๆ ยัดเข้าไปในแดนนิมิต
เช่น ดาบศักดิ์สิทธิ์ของแคนเดลา หนังสือหนังมนุษย์…
แน่นอนว่ามีบางอย่างในแดนนิมิตที่ไม่สามารถถูกลบออกได้
ร่างของเขาก็ไม่สามารถเข้าสู่แดนนิมิตได้ตามใจชอบด้วย และเขาจะทำแบบนั้นได้แค่จากการ ‘ทำสมาธิ’ หรืออะไรประมาณนั้นเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังมีสิทธิ์ควบคุมเหนือแดนนิมิตนี้อยู่ดี และเขาก็จะรู้ถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเสมอ
เหมือนเช่นตอนนี้ หลินเจี๋ยก็ตระหนักอย่างชัดเจนว่ามีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นกับหนังสือหนังมนุษย์ที่ตัวเองวางไว้บนชั้นหนังสือ หนังสือดีดตัวออกมาก่อนที่มันจะเปิดออกพลิกหน้าต่าง ๆ เองแม้ว่าจะไม่มีลมพัด
หน้ากระดาษพลิกเปิดและมีข้อความเขียนอย่างลวก ๆ เพิ่มขึ้นมาในหนังสือคล้าย ๆ คำพร่ำเพ้อของคนบ้า แล้วมันก็เริ่มกลายเป็นของเหลวจนกลายเป็นรอยเลือดเข้ม ๆ
หลังจากนั้น เลือดสด ๆ ข้น ๆ ก็เริ่มรีดตัวเองออกมาจากหน้าหนังสือราวกับกระแสน้ำ แล้วเมื่อของเหลวสีแดงร่วงลงกองกับพื้น มันก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายสไลม์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนร่างจนคล้ายมนุษย์
“ไอ้เจ้าสัตว์มายาบ้าบอนี่เป็นอะไรเนี่ย?” หลินเจี๋ยหยุดงานไม้ของเขาแล้วอุทานด้วยหน้ามุ่ย ๆ
สิ่งมีชีวิตที่เข้ามาในแดนนิมิตครั้งล่าสุดนั้นเป็นสิ่งคล้ายมนุษย์ที่เหมือนถูกเย็บรวมกัน
แล้วนั่นก็ดูน่าขนลุกพอแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าสไลม์เลือดนี่ก็ดูน่าขนลุกยิ่งกว่าอีก
สิ่งต่าง ๆ จากแดนนิมิตดูน่าขยะแขยงกันอยู่แล้ว แต่นี่ให้ความรู้สึกน่าคลื่นเหียนมากเกินไปแล้ว หลินเจี๋ยคิด
แล้วยิ่งเจ้าสิ่งนี้ใช้หนังสือหนังมนุษย์เป็นภาชนะแล้ว ‘ซึม’ เข้ามาในแดนนิมิต ยิ่งน่าขยะแขยงหนักไปใหญ่
ต่างจากสัตว์ประหลาดตัดต่อก่อนหน้านี้ที่หลินเจี๋ยยังมานั่งหาโอกาสธุรกิจใหม่ได้ ในตอนนี้เขามีเพียงความคิดอยากจะฆ่าเจ้านี่เสีย
สำหรับหลินเจี๋ยแล้ว เจ้าสไลม์นี่ดูราวกับแมลงวันตัวใหญ่เป้งที่บินไปมาในบ้านที่สะอาดเป็นระเบียบของเขา ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย
ในขณะที่หลินเจี๋ยมีความคิดนี้อยู่ เขาก็สังเกตเห็นว่าเจ้าสไลม์เลือดเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ในทีแรก มันที่เหมือนจะหลงทางส่ายหน้าไปมาเพื่อกวาดตามองสิ่งแวดล้อม แล้วมันก็หยิบหนังสือหนังมนุษย์ขึ้นมาแล้วทำท่าทีเหมือนกับกำลังฉลองอย่างบ้าคลั่งอยู่กับที่
แล้วจากนั้น มันก็เริ่มไหลไปทางโน้ตที่หลินเจี๋ยวางไว้บนโต๊ะกาแฟ ทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทาง…
หลินเจี๋ยตัดสินใจไว้แล้วว่าพอคือพอ
ตอนนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนมีคนจรจัดงัดเข้ามาในบ้านอันไร้ที่ติของตัวเอง และเจ้าผู้บุกรุกตัวเหม็นนี่ก็กำลังจะมายุ่มย่ามกับของของเขา
มันไม่เพียงมีความเชื่อมโยงกับหนังสือหนังมนุษย์ รูปร่างของมันยังชั่วร้ายด้วย แล้วมันจะต่างอะไรกับสัตว์รบกวนอย่างแมลงวันกับยุงล่ะ?
ตบให้ตายเลยดีกว่า!
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว อำนาจที่มองไม่เห็นก็ก่อตัวในแดนนิมิตทันที แล้วเจ้าสไลม์เลือดก็ถูกฝ่ามือที่มองไม่เห็นตบป้าบเข้าให้
มันกระเสือกกระสนอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ในระหว่างนั้นมันก็ส่งเสียงโครกครากพลางยกหนังสือหนังมนุษย์ขึ้นสูงโดยไร้เหตุผล
นี่ทำให้หลินเจี๋ยตกตะลึง
รอยเลือดบนหนังสือหนังมนุษย์เปลี่ยนรูปร่างไปอีกครั้ง มันกลับไปเป็นรูปลักษณ์เดิมที่เหมือนข้อความเขียน
เขามีเพียงความคิดเดียวในใจ เจ้าตัวนี้ใช้หนังสือหนังมนุษย์เป็นด้วยเหรอ?!
อะไรก็ตามที่ใช้หนังสืออัปมงคลนี่ได้ต้องเป็นสิ่งชั่วร้ายแน่ ๆ!
แล้วจากสิ่งที่มันกำลังทำ มันกำลังพยายามใช้วิชาเหนือธรรมชาติอะไรหรือเปล่า?!
เราต้องกำจัดภัยคุกคามนี้ออกไปให้ได้ ก่อนที่จะเกิดอะไรแย่ ๆ ขึ้นมาพังแดนนิมิตของเรา หลินเจี๋ยคิดในใจ
แล้วเขาก็เพิ่มแรงกดเข้าไปอีก
—
จุยคาคุคิดว่าในที่สุดเขาก็เป็นอิสระ…
ในที่สุด เขาก็คืนชีพได้ด้วยความช่วยเหลือของหนังสือหนังมนุษย์ แม้ว่าการลืมตามาเห็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยจะทำให้เขาตกใจกลัวก็ตาม แต่เขาก็โล่งใจที่พบว่าสิ่งแวดล้อมนั้นไม่มีมนุษย์อยู่และดูเงียบสงบดี
จุยคาคุกวาดตาตรวจสอบไปรอบ ๆ แล้วตระหนักว่าเขาน่าจะอยู่ในที่พำนักของนักวิชาการหรือบัณฑิตสักคน สถานที่นี้เงียบและให้ความรู้สึกลี้ลับ มีเพียงเอกสารจดโน้ตและหนังสือที่วางอยู่รอบ ๆ
เขาคาดว่าหนังสือหนังมนุษย์คงสูญหายไปที่ไหนสักที่ แต่มันกลับถูกเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบต่อการพักรักษาตัวหลังคืนชีพของเขาพอดิบพอดี
“ฮ่า ๆ ๆ!” จุยคาคุแผดเสียงหัวเราะพร้อม ๆ กับหยิบหนังสือหนังมนุษย์ขึ้นมา
ไม่ใช่ว่านี่คือพรของเหล่าเทพเหรอ?
ในตอนนี้ ทุกสิ่งที่เขาต้องทำก็มีแค่หนีจากการไล่ตามของหอพิธีกรรมต้องห้ามไปติดต่อวิถีแห่งดาบอัคคีให้ได้ แล้วการกลับมาของเขาก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม!
หลังจากสงบตัวเองลงได้ จุยคาคุก็ขยับเข้าใกล้โต๊ะกาแฟด้วยเจตนาที่ต้องการหาตัวตนของเจ้าของที่นี่ และค้นเผื่อจะเจอข้อมูลใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเขาด้วย
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ก้าวเท้าอีกก้าว ความรู้สึกเลวร้ายก็มาเยือนเขา มันรู้สึกราวกับคนบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ และสังหรณ์ร้ายว่าจะเกิดวิกฤตก็ปรากฏขึ้น
แล้วทันใดนั้น อำนาจที่ไม่อาจหยุดได้ก็ฟาดใส่เขาเต็ม ๆ
“กะ…กับดัก!”
กระดูกทุกชิ้นในร่างของจุยคาคุสั่นไหวอย่างพร้อมเพรียงแล้วเริ่มแตกร้าวภายใต้แรงกดดัน ดวงตาของเขาถูกอำนาจนั้นฉีกกระชากออก หลังจากร่ายคาถาหลายต่อหลายบท ในที่สุดเขาก็สรุปว่าเขาไม่สามารถเทียบได้กับอำนาจนี้เลย
เพื่อแสดงความจริงใจ เขาจึงยกหนังสือหนังมนุษย์ขึ้นอย่างรีบร้อน บันทึกทุกคาถาที่เขาเรียนมาตลอดชีวิตลงบนนั้น
“ไว้ชีวิตผมด้วยครับ!!”
“ผมยอมแพ้แล้ว!!”
“ผมยินดีมอบความรู้ทั้งหมดของผมให้คุณเลย!”
“อย่าฆ่าผมเลยนะครับ!” เขาร้องออกมา
ทว่าเจ้าของอำนาจที่มองไม่เห็นนั้นไม่ได้สนใจเขาเลย กลับกัน ความรุนแรงของอำนาจนั้นกลับเพิ่มขึ้นอีก ทำให้เขาทรุดลงแล้วโหยหวนอย่างเจ็บปวด
แล้วสุดท้ายก็ถูกบี้จนแบน
ตอนนั้นเองที่จุยคาคุระลึกถึงเสียงกรีดร้องของทารกทุกคนที่ถูกเขาถลกหนัง
ไม่ใช่ว่าเขาเองก็ไม่ได้ยินเสียงร้องขอความเมตตาในตอนที่เขาสังหารชีวิตที่ไร้เดียงสาเหล่านั้นเหรอ?
ในวันนี้ ในที่สุดเขาก็ถูกกรรมตามสนอง…
ถ้าผมจะทำลายคุณ แล้วคุณจะทำไม!
—
เผละ!
เหมือนแมลงวันที่ถูกรองเท้าแตะฟาด สไลม์เลือดที่ดูคล้ายมนุษย์ตัวระเบิดในพริบตาแล้วกลายเป็นรอยเลือดที่แตกกระจาย
หลินเจี๋ยเช็ดรอยเลือดเหล่านั้นอย่างรังเกียจก่อนที่จะหยิบหนังสือหนังมนุษย์ขึ้นมา
ฉึบ…
เขาพลิกหน้าหนังสือแล้วก็พบว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนนั้นในตอนนี้คือ… คาถาต่าง ๆ?