บทที่ 212 : แหวนของซิลเวอร์
กลีบดอกไม้สีขาวซีดเริงระบำในสายลม กลมกลืนไปกับปุยหิมะที่โปรยปราย
หลินเจี๋ยลืมตาแล้วมองตรงไป แผ่นหลังที่สง่างามของหญิงสาวผมสีเงินในชุดผ้าซาตินสีขาวปรากฏขึ้นในคลองจักษุ ศีรษะของเธอยกขึ้นจ้องมองไปที่ต้นไม้ยักษ์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเธอ
ทัศนียภาพรอบ ๆ เขานั้นราวกับความฝัน แต่หลินเจี๋ยในตอนนี้เข้าใจแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นสิ่งมายาที่สร้างจากอีเธอร์ ถ้าหากต้องการ เขาก็สามารถแก้ไขแล้วสร้างบริเวณนี้ขึ้นมาใหม่หมดได้
เขาเดินต่อไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยดอกไม้ที่เขาคุ้นเคย
เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ซิลเวอร์ก็หันกลับมายิ้มให้เขา มงกุฎหนามสีขาวงาช้างประดับอยู่บนศีรษะของเธอ และดอกไอริสที่หลินเจี๋ยมอบให้เธอในการพบกันครั้งแรกก็ทัดอยู่หลังใบหูของเธอ
ไม่ว่าจะได้เห็นใบหน้าที่งดงามสมบูรณ์แบบนี้กี่ครั้ง เราก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงในความงามของเธอทุกทีไป…หลินเจี๋ยคิดในใจ
แล้วเขาก็เดินไปหยุดข้าง ๆ ซิลเวอร์แล้วคิดให้ม้านั่งไม้สีขาวปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่กลีบดอกไม้และหิมะ
เขานั่งลงทันทีแล้วตบที่ว่างข้าง ๆ เขา
ซิลเวอร์ผู้ยิ้มน้อย ๆ ยกชายกระโปรงของเธอขึ้นแล้วนั่งลงข้าง ๆ เขา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะชำนาญการสร้างและเปลี่ยนแปลงแดนนิมิตมากขึ้นแล้วนะ”
หลินเจี๋ยเหลือบมองซิลเวอร์ที่นั่งอย่างเรียบร้อยบนม้านั่งราวกับเธอเป็นเชื้อพระวงศ์ แล้วก็รู้สึกราวกับว่าตัวเขาอยู่ในหนังเรื่อง ‘โรมรำลึก’
เหมือนกับนักข่าวที่ ‘ลักพาตัว’ เจ้าหญิงแอนน์ ตัวเขาก็รู้สึกเหมือนลากแฟรี่ตนหนึ่งเข้ามาในแดนมนุษย์อันไม่ควรค่ากับเธอเช่นกัน
เขากระแอมเบา ๆ แล้วตอบกลับ “แค่พอผ่านน่ะครับ ผมลองทำให้แดนนิมิตจุติลงไปสร้างอิทธิพลกับความเป็นจริงแล้วนะครับ มันรู้สึก… ยอดไปเลย”
“เมื่อแดนนิมิตของเจ้าทับซ้อนกับความเป็นจริง มันจะทำให้มิติและเวลาพับซ้อน ฉายซ้อนและบิดเบี้ยว ผู้ที่ถูกแดนนิมิตโอบคลุมก็จะประสบการเปลี่ยนแปลง แล้วสติของพวกเขาก็จะถูกชักนำด้วยแดนนิมิตของเจ้าเหมือนกับพวกเขากำลังฝัน” ซิลเวอร์อธิบาย
“ท้ายที่สุดแล้ว แดนนิมิตก็คือแดนนิมิตอยู่ดี เพราะถึงอย่างไร หากแดนนิมิตของเจ้าไม่มั่นคง การสั่นกระเพื่อมภายในจะมีมากกว่านี้ และส่งผลให้ความเป็นจริงคลาดเคลื่อนมากขึ้น”
หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “เข้าใจแล้วครับ”
คำอธิบายนี้ใกล้เคียงกับลำดับการคิดของเขาเลย ฉากแฟนตาซีที่เขาได้เห็นในแดนนิมิตนั้นคงเป็นผลจากสติของคนที่เข้ามาในแดนนิมิตของเขาฟุ้งซ่านขึ้นมาจากการถูกบังคับดึงเข้าแดนนิมิต
ด้วยคำอธิบายของซิลเวอร์ เขาในตอนนี้ก็เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นมากขึ้นแล้ว
ใครจะรู้ล่ะว่าเจ้าพวกคิ้วหนาพวกนั้นต่างก็เป็น ‘จูนิเบียว’ กันโดยพร้อมเพรียง
นี่ยังเป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมหลินเจี๋ยจึงมองโจเซฟกับวินเซนต์แปลก ๆ เมื่อชายหนุ่มตื่นขึ้นมาพบพวกเขา แต่เขาก็ยังไม่ล้อเลียนพวกเขาอยู่ดี เพราะเข้าใจดีว่าผู้ชายทุกคนมีหัวใจเป็นเด็กจนวันตาย
ส่วนมูเอน…เด็กคนนี้ยิ่งตรงไปตรงมาหนักไปใหญ่ เธอก็พูดแล้วด้วยว่าเธออยากจะเป็นดวงจันทร์และผดุงความยุติธรรม
ในความฝันเธอก็เป็นเซเลอร์มูน
หลินเจี๋ยทอดสายตามองต้นไม้มังกรที่สูงตระหง่านเหนือตัวเขาแล้วพูดว่า “ลูกค้าของผมคนหนึ่งให้หัวใจมังกรกับผมมา แต่ว่า…”
“แต่เจ้ากลับดูดซับพลังงานทั้งหมดภายในดวงใจนั้น” ซิลเวอร์ตอบยิ้ม ๆ
หลินเจี๋ยพยักหน้า และในขณะเดียวกันเขาก็ถอนหายใจโล่งอก เขาเดาถูกมาแต่แรกแล้ว
ในเมื่อซิลเวอร์รู้เรื่องนี้และมันไม่ได้ดูจะเป็นเป็นเรื่องแย่อะไร งั้นมันก็หมายความว่าผลไม้ที่เธอเคยให้เขาและต้นไม้ที่ออกผลนั้นต่างก็ต้องเชื่อมโยงกับมังกร…ฟอสซิลในโลกนี้ไม่ใช่ฟอสซิลไดโนเสาร์ แต่เป็นมังกรในตำนานจริง ๆ!
ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าร่างกายของหลินเจี๋ยจะเปลี่ยนไปหลังจากที่เขากินผลไม้เข้าไป ซึ่งส่งผลให้เขามีความสั่นพ้องเชื่อมโยงกับหัวใจมังกร และทำให้เขาดูดกลืนพลังงานทั้งหมดของมันได้
เจ้าดำ ผมปรามาสนายผิดไปแล้ว!
มองปราดเดียวซิลเวอร์ก็บอกได้แล้วว่าหลินเจี๋ยตรงหน้าเธอในตอนนี้แผ่ออร่าที่ใกล้เคียงกับเผ่ามังกรมาก ในดวงตาสีดำของเขามีประกายสีทองเข้ม เสียงหัวใจเต้นดังให้ได้ยินชัดเจน และแรงกดดันยิ่งใหญ่ที่อยู่รอบตัวเขาตลอดเวลา
แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้ตัวก็ตาม…
ถ้าหลินเจี๋ยเต็มใจ มันก็ไม่ยากถ้าเขาจะเปลี่ยนไปเป็นมังกรเต็มตัว
แล้วหัวใจมังกรดวงนั้น… ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ
ทุกอย่างเหนือธรรมชาตินั้นมีครรลองของมัน
เหมือนกับสายน้ำที่ไหลสู่จุดที่ต่ำกว่า เมื่อระดับพลังเหนือธรรมชาติของคนคนหนึ่งเข้มข้นในระดับหนึ่ง สิ่งเหนือธรรมชาติอื่น ๆ ก็จะถูกเหนี่ยวนำมาที่พวกเขา
น่าสนใจ…ซิลเวอร์จ้องหลินเจี๋ยอย่างสนอกสนใจ
หลินเจี๋ยไม่ได้เขินอายจากการถูกจ้องนาน ๆ เพราะถึงอย่างไรการถูกคนอื่นจ้องนั้นก็ไม่ได้ทำให้เจ็บตัว
“อ้อใช่ ผมควรขยายแดนนิมิตของผมต่อไหมครับ?” หลินเจี๋ยปล่อยเรื่องนั้นไปแล้วสนทนาต่อ
เขาหยิบหนังสือหนังมนุษย์ออกมาแล้วอธิบายเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับมัน
แล้วเขาก็ถาม “ผมอยากแบ่งอีเธอร์ส่วนหนึ่งมาเรียนคาถาพวกนี้ครับ คุณสอนผมได้ไหม?”
ซิลเวอร์กะพริบตาสองครั้ง แล้วมุมปากของเธอก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “วิชาดาบเจ้าก็ยังไม่เชี่ยวชาญ แล้วเจ้ายังจะมาอยากเรียนอย่างอื่นในตอนนี้อีก ค่าสอนของข้าเล่า?”
หลินเจี๋ยกระแอมไออย่างประหม่าในขณะที่เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก เราพูดออกไปทำไมเนี่ย? เราเพิ่งทำให้ตัวเองดูเรียนแบบขอไปทีชัด ๆ เลย!
นี่ตรงกับหลักการ ‘อย่ากัดอาหารคำใหญ่เกินกว่าที่เคี้ยวไหว’ มาก ๆ ทว่าถ้าเทียบกับวิชาดาบแล้ว หลินเจี๋ยสนใจเวทมนตร์มากกว่า เพราะถึงอย่างไร ในฐานะประชาชนตาดำ ๆ การต่อสู้เข่นฆ่านั้นไม่ใช่ความชอบของเขาสักเท่าไหร่
แล้วรอยยิ้มของซิลเวอร์ก็กว้างขึ้น “ถอดแหวนบนนิ้วเจ้าให้ข้า อย่างนี้เป็นไง?”
เธอสังเกตเห็นแหวนที่หลินเจี๋ยสวมตั้งแต่ตอนที่เขามาถึงแล้ว
แหวนพันธสัญญาของวัลเพอร์กิส…หรือก็คือ สองในสี่แม่มดบรรพกาลที่ซ่อนตัวในแดนนิมิตได้มีการติดต่อกับหลินเจี๋ยแล้ว
หลินเจี๋ยยกมือของตัวเองขึ้นแล้วค้นพบว่าแหวนที่เพิ่งสวมก็ตามเขามาในแดนนิมิตด้วย เมื่อเขาลองถอดมันออกอีกครั้ง ก็พบว่าแหวนหลวมขึ้น แล้วเขาก็ถอดมันออกที่นี่ได้…
แต่เมื่อภาพมูเอนงอนแก้มป่องปรากฏขึ้นในใจ เขาก็ลังเลไปครู่หนึ่ง เธอดูจะชอบแหวนวงนี้พอตัว ถึงขนาดอารมณ์เสียเมื่อไม่ได้มันด้วย
ถ้าหลินเจี๋ยให้แหวนวงนี้กับเธอไป มูเอนก็จะยิ่งโกรธเขาไปใหญ่น่ะสิ…
“เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหมครับ แหวนวงนี้ค่อนข้างสำคัญครับ” หลินเจี๋ยทอดสายตามองซิลเวอร์ แล้วซิลเวอร์ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ
ซิลเวอร์เอื้อมมือออกไปเด็ดดอกไอริสตรงหน้าม้านั่งออกมาแทน เธอดึงกลีบดอกทั้งหมดออกจนเหลือแค่ก้านทันที แล้วเธอก็ขมวดมันจนเป็นแหวนวงหนึ่ง
ซิลเวอร์ส่งแหวนก้านดอกไม้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วเธอก็พูดขึ้น “งั้นสวมแหวนของข้าด้วยสิ แล้วข้าจะสอนเวทมนตร์ให้เจ้า”
“…” หลินเจี๋ยคิดว่านี่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่มากนักจากรอยยิ้มของเธอ และคงเหมือนกับการเรียนวิชาดาบ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ตัวเองมีแต่ได้
ยิ่งกว่านั้น เขาก็ปฏิเสธเธอไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าทำซ้ำสองคงไม่สุภาพ
“ได้ครับ”
ก่อนที่หลินเจี๋ยจะยื่นมือออกไป ซิลเวอร์ก็สวมมันให้เขาแล้ว
—
‘มูเอน’ ที่เบิกตากว้างผลักประตูห้องนอนเจ้านายของเธอเข้ามา
ถ้าหลินเจี๋ยตื่นอยู่ เขาคงรู้ได้ทันทีแน่ ๆ ว่ามูเอนคนนี้เป็นตัวปลอม
เด็กสาวที่มาดนิ่งอย่างเธอจะแสดงอารมณ์มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้หรอก
ที่จริงแล้ว…นี่คือวัลเพอร์กิสที่สิงร่างมูเอนอยู่
นับแต่เรียกสิทธิ์ของดวงจันทร์คืนมา วัลเพอร์กิสก็ได้พลังของเธอคืนด้วย ในตอนนี้ เธอสามารถเข้าออกแดนนิมิตได้ตามใจชอบแล้ว
แล้วเมื่อเธอผลักประตูเปิดออก เธอก็ได้พบภาพของเลือดเนื้อหนาแน่นที่กระจายไปทั่วห้องราวกับใยแมงมุม แล้วเธอก็พึมพำกับตนเองอย่างรังเกียจ “ซิลเวอร์กล้าเยี่ยงนี้ได้เช่นไร นางไม่แม้แต่จะคิดพรางตัวเมื่อ…”
แล้วเธอก็จนคำพูดไปเมื่อเธอเห็นดอกไอริสงอกออกมาจากผนังพร้อม ๆ กับเถาวัลย์คดงอที่หล่นลงอย่างนุ่มนวลที่มืออีกข้างของหลินเจี๋ย แล้วก่อร่างเป็นแหวนวงหนึ่ง
วัลเพอร์กิสที่มองตาค้างบอกได้ว่าพันธสัญญาหนึ่งกำลังถูกสร้างขึ้น… แม่มดผู้หยิ่งทะนงจนไม่แม้แต่จะสนใจทำพันธสัญญากับมนุษย์อย่างซิลเวอร์กำลังทำพันธสัญญากับมนุษย์อยู่?!