บทที่ 214 : เมี้ยว
ลมฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเย็นโบกพัดผ่านทั่วเมืองนอร์ซิน เกิดเป็นเสียงหวีดหวิวในค่ำคืนที่มืดสลัว
พรีม่ากระชับเสื้อคลุมที่โบกสะบัดไปตามลมให้แน่นขึ้น ใบหน้าของเธอซ่อนอยู่ในฮู้ด และมีเพียงแสงสะท้อนจากแว่นของเธอเท่านั้นที่เห็นได้จากในความมืด ทำให้เธอดูลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก
เธอหยดโอสถลงบนดิถีดวงจันทร์ชิ้นจิ๋วในมือเธออย่างระมัดระวัง แล้วหมอกมัว ๆ ก็ก่อตัวขึ้นในทันทีที่โอสถสีเงินสัมผัสกับดิถีดวงจันทร์
ดิถีเปล่งประกายเจิดจ้า แล้วภาพเข็มเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ชี้ไปที่ทิศทางที่ถูกต้องอีกครั้ง
พรีม่ามองไปรอบ ๆ ตัวเธอเร็ว ๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะรีบเก็บทุกสิ่งกลับเข้าไปในเสื้อคลุมของเธอแล้วสาวเท้ายาว ๆ ไปบนถนน
เธอหอบแฮ่กขณะเดินต้านกระแสลม หัวใจของพรีม่าเต้นตึกตักอย่างตื่นเต้น “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ท่านวัลเพอร์กิสตอบสนองต่อผู้ได้รับการเจิมของเธอนับแต่ยุคที่สอง ท่านต้องกลับสู่อำนาจอีกครั้งแน่ ๆ การกำจัดเทพตัวปลอมในโบสถ์แห่งจุดสูงสุดต้องเป็นเจตจำนงของท่าน!”
สันดานชั่วของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดและเรื่องอื้อฉาวมากมายที่มันซ่อนไว้ถูกเปิดโปงออกมา ก่อนที่ในท้ายที่สุดมันจะถูกโค่นล้มลง นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วแล้ว
ยิ่งกว่านั้น เหล่าอัครสาวกของศาสนาแห่งตะวันยังออกเผยแพร่ความจริงมาตลอด แล้วหอพิธีกรรมต้องห้ามก็เที่ยวกระพือไฟให้ลุกโหมด้วย แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วพรีม่าจะไม่ค่อยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเธอเพราะเอาแต่หมกตัววิจัยโอสถอาถรรพ์ก็ตาม แต่เธอก็ยังรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เหมือนกัน
โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นปฏิเสธที่จะเชื่อในวัลเพอร์กิส แม่มดผู้ควบคุมรัตติกาลอยู่เสมอ แล้วทึกทักเอาว่าดวงจันทร์คือพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนั่นทำให้ผู้ได้รับการเจิมอย่างพรีม่ารู้สึกไม่สบายใจมาก
ทว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดครอบครองอำนาจและชื่อเสียงมากมายในขณะที่ผู้ได้รับการเจิมกลับอ่อนแอลงเรื่อย ๆ นี่ส่งผลให้เกิดการขัดแย้งภายในหมู่ผู้ได้รับการเจิม แล้วพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กลับเลย
การโค่นล้มโบสถ์แห่งจุดสูงสุดส่งผลต่อฝ่ายต่าง ๆ ในนอร์ซินอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างตระกูลซานดร้าที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นพิเศษ
การเรืองอำนาจของศาสนาแห่งตะวันนั้นเหมือนกับการแทรกแซงของเทพ อีกทั้งการสับเปลี่ยนของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็เป็นลางบอกเหตุที่ชัดเจน
นี่ก็เหมือนกับการประกาศตัวของวัลเพอร์กิสต่อสาวกของเธอเลยว่าเธอกลับมาแล้ว!
ทว่าก่อนที่ตระกูลซานดร้าผู้ภักดีอยู่เสมอจะทันได้ฉลองกัน การหายตัวไปของมาร์กาเร็ตหลังจากที่เธอถูกซุ่มโจมตีก็ทำให้ทั้งตระกูลโกลาหลกันไปหมด
บังเอิญว่าเธอก็ยังเป็นกระบอกเสียงตัวแทนของตระกูลซานดร้าที่สนับสนุนให้รักษาพันธสัญญาไว้เสียด้วย
การกระเพื่อมเล็ก ๆ นำไปสู่คลื่นใหญ่ที่กวาดไปทั่วตระกูลซานดร้า…
มีบางคนถึงกับออกความเห็นว่าการหายตัวไปของสาวกผู้ทุ่มเทของวัลเพอร์กิสอย่างมาร์กาเร็ตนั้นเป็นข้อยืนยันว่าการตื่นขึ้นอีกครั้งของวัลเพอร์กิสเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ และพวกเขาก็ควรจะทิ้งประเพณีเก่าแล้วหาผู้พิทักษ์คนใหม่ได้แล้ว
จู่ ๆ ปัญหาที่ถูกซุกอยู่ใต้พรมมาตลอดก็ผุดขึ้นมา
ถ้ามาร์กาเร็ตประสบเคราะห์ร้ายจริง ๆ ตระกูลซานดร้าทั้งตระกูลคงเดินผิดทางมาโดยตลอด
พรีม่าหยุดลงที่มุมหนึ่งแล้วหยิบดิถีดวงจันทร์ออกมาทำนายทิศทางอีกครั้ง เธอมองภาพร้านหนังสือเก่า ๆ แล้วพึมพำกับตนเอง “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องร้านหนังสือนี่มาก่อนเลย…แต่ท่านวัลเพอร์กิสผู้ควบคุมเวลากลางคืนไม่โกหกผู้ได้รับการเจิมของท่านแน่เพราะพันธสัญญานั้นสถิตลึกอยู่ในวิญญาณของเรา ที่นี่ต้องมีอยู่จริงแน่ นี่ต้องเป็นสถานจุติแดนนิมิตของท่านแน่นอน”
พรีม่ามีข้อสันนิษฐานมากมายเกี่ยวกับร้านหนังสือนี้ แม้ว่ามันจะดูธรรมดาและออกจะโทรมไปหน่อย แต่ลักษณะแบบนี้แหละที่ทำให้มันมีออร่าลึกลับและทำให้ผู้คนรู้สึกสนเท่ห์
บางทีในร้านหนังสือนี้อาจมีความลับอยู่มากมาย และทางเข้าแดนนิมิตที่ซ่อนอยู่ของวัลเพอร์กิสก็อาจจะอยู่แค่ที่หลังประตูพวกนั้นก็ได้
บางทีอาจจะมีผู้ได้รับการเจิมที่แข็งแกร่งคนอื่น ๆ รอการมาถึงของเธออยู่ในร้านหนังสือแล้วก็ได้…
เอาเข้าจริง…พรีม่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ร้านหนังสือร้านนี้ดูธรรมดาเกินไป และด้านนอกก็ไม่ได้มีเอกลักษณ์โดดเด่นอะไรเลย ที่แห่งนี้แตกต่างจากภาพการทำนายที่พรีม่าวาดหวังไว้โดยสิ้นเชิง ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงคิดหาเหตุผลมากมายเพื่อตอกย้ำความเชื่อของเธอ
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าวัลเพอร์กิสยังเหลือพลังอยู่มากแค่ไหน แม้ว่าในที่สุดเธอจะหวนคืนมาอีกครั้งหลังจากถูกผนึกให้หลับใหลมาเป็นพัน ๆ ปีก็ตาม
พรีม่ากำหมัด สูดหายใจลึก ๆ แล้วกระซิบท่องบทพูดที่พี่สาวของเธอมักจะพูดให้เธออารมณ์ดีขึ้นออกมา
“เจตจำนงของวัลเพอร์กิสที่จะหวนคืนจากแดนนิมิตอีกครั้งนั้นปฏิเสธไม่ได้ ความยิ่งใหญ่ของท่านไม่อาจถูกกาลเวลากัดกร่อน พวกคนในตระกูลโง่เง่าหน้ามืดตามัวจากผลประโยชน์ที่ตัวเองได้รับแล้วพากันลืมคำสัญญาที่พวกเราสร้างไว้เมื่อหลายพันปีก่อนไป พวกเขากล้าดียังไงมาพยายามหักหลังแม่มดบรรพกาลแล้วหาผู้พิทักษ์ใหม่ การกระทำนี้พูดได้แค่ว่าคิดสั้นเหลือเกิน…”
“เฮ้อ…” พรีม่าถอนหายใจอย่างท้อแท้พลางเก็บดิถีดวงจันทร์และโอสถกลับไป “พี่พูดถูก ฉันน่าจะเรียนรู้วิธีเข้าสังคมมากกว่าจะหมกตัวอยู่แต่ในการวิจัย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มาอยู่ในสถานการณ์หันไปพึ่งใครไม่ได้แบบนี้หรอก”
“แต่ว่า…ถึงพี่จะเข้าสังคมเก่ง แต่มีสักกี่คนกันในตระกูลที่มาสนใจความปลอดภัยของพี่แล้วกระเสือกกระสนช่วยพี่ในตอนนี้”
พรีม่าอาจจะหมกมุ่นกับการวิจัยมาตลอด แต่ที่จริงแล้ว เธอได้เห็นทุกคนด้วยมุมมองที่กระจ่างกว่าใคร
ในขณะที่เธอหาร้านหนังสืออยู่นั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังมาจากเหนือหัวเธอ
“พรีม่าใช่ไหม? ฉันเชื่อว่าเธอไม่ต้องเที่ยวหาใครมาช่วยแล้วล่ะ… เพราะอีกเดี๋ยวเราก็จะส่งเธอไปหาพี่สาวแล้วล่ะ”
พรีม่าเงยหน้าขึ้นทันที แล้วก็สังเกตเห็นร่างโค้งเว้าที่ยืนอยู่บนสายไฟฟ้า
เธอเป็นเอลฟ์ดำที่สวมชุดเกราะแนบเนื้อ ผิวสีดำของเธอเรียบละมุนดั่งไข่มุก และเส้นผมสีเงินของเธอก็ถูกจัดแต่งเป็นทรงหางม้ารวบสูง แม้ว่าเธอจะมีสีหน้าเย้ยหยัน แต่ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เธอหมุนมีดเงินในมือแล้วตวัดใบมีดที่เรืองแสงวาบอย่างเย็นชาเป็นวงโค้ง
เอลฟ์ดำนักสะกดรอย…
แล้วเธอก็อยู่ในระดับสัตว์ประหลาดด้วย!
“เธอ…เธอเป็นใคร?! เธอเป็นคนโจมตีพี่สาวฉันเหรอ?! เธอทำอะไรกับพี่ฉัน?!” พรีม่าเอ่ยตะกุกตะกักพลางก้าวถอนหลังอย่างกระวนกระวาย
เธอรีบหยิบขวดยาต่าง ๆ ออกมาจากในเสื้อคลุม แล้วก็ตระหนักอย่างแตกตื่นว่าโอสถล่องหนที่เธอรดลงไปบนเสื้อคลุมหมดฤทธิ์ไปแล้ว!
พรีม่าหน้าซีดราวกระดาษ
เธอเป็นแค่นักวิจัยโอสถอาถรรพ์คนหนึ่งที่ต่อสู้ไม่เป็น การเผชิญหน้ากับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสัตว์ประหลาดด้วยตัวคนเดียวนั้นเท่ากับสั่งตายตัวเอง
เอลฟ์ดำยิ้มเยาะ “เธอไม่ต้องรู้อะไรหรอก คนตายน่ะนอนนิ่ง ๆ ก็พอแล้ว”
แล้วเธอก็หายไปจากจุดที่อยู่ในพริบตา
พรีม่าหลับตาลงโดยสัญชาตญาณพลางกรีดร้องเสียงแหลม เธอขว้างขวดยาทั้งหมดของเธอให้แตกทันที ทำให้โอสถระเหยออกมาผสมกันขณะแพร่กระจายออกไปในอากาศ
“บัดซบ!”
เอลฟ์ดำปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ขอบหมอกโอสถแล้วถอยหนีอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ทันทีที่หมอกสัมผัสกับผนังและพื้นใกล้ ๆ พื้นที่เหล่านั้นถ้าไม่ถูกกัดกร่อนก็ถูกแช่แข็ง บางที่ถึงกับระเบิดออกอย่างต่อเนื่องเป็นรัศมีกว้างจนน่าตกใจ และนั่นทำให้พื้นยุบตัว
ข้อมูลไม่เคยบอกเลยว่าน้องสาวเด๋อ ๆ ของมาร์กาเร็ตจะมียาระดับนี้อยู่!
แต่ว่า…นี่คงเป็นไม้ตายสุดท้ายของเธอแล้วล่ะ
เอลฟ์ดำหมุนตัวกลางอากาศแล้วกระโจนขึ้นที่สูงเพื่อหาตัวพรีม่าที่กำลังตะเกียกตะกายหนีไป ก่อนที่จะไล่ตามต่อ
ในขณะที่พรีม่าวิ่ง เธอก็พยายามกันไม่ให้แว่นเลื่อนหลุดลงจากหน้าของเธอด้วย ตอนนี้เธอใกล้ร้องไห้อยู่รอมร่อ
เธอดื่มยาเสริมพลังแล้ววิ่งต่อไปในทิศทางที่ดิถีดวงจันทร์ชี้
ร้านหนังสือ ร้านหนังสือ…ร้านหนังสืออยู่ไหนวะ?
ความอ่อนล้าจากการวิ่งเริ่มเกาะกุม แล้วทันใดนั้นพรีม่าก็สัมผัสถึงความหนาวเยือกวูบหนึ่งข้างหลังเธอซึ่งมาจากการที่มีดเกือบจะจี้ถึงท้ายทอยเธอได้แล้ว ทำให้เธอขนลุกไปทั่วตัว
ในที่สุดอาคารเก่า ๆ แห่งหนึ่งก็ปรากฏอยู่ไกล ๆ ในคลองจักษุมัว ๆ ของเธอ
ร้านหนังสือร้านหนึ่งที่ไม่มีป้ายร้าน มีหนังสือแสดงอยู่หลังหน้าต่างมัว ๆ และมีกระดิ่งบนประตู
นี่คือสถานที่ที่ดิถีดวงจันทร์แสดง!
ความหวังริบหรี่ฉายขึ้นตรงหน้าพรีม่า แล้วเธอก็เร่งฝีเท้า
“จับได้แล้วนะหนูน้อย!” เสียงของเอลฟ์ดำตามมาด้วยเสียงคมมีดแหวกอากาศ
ชิ้ง!
“อุ้ก!” แม้พรีม่าจะพยายามหลบสุดชีวิตแล้ว แต่สุดท้ายเธอก็ถูกมีดปักเข้าที่ไหล่ ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ซ่านไปบนร่างของเธอทำให้เหงื่อกาฬของเธอแตกพลั่ก แล้วแขนขาของเธอก็เสียการควบคุมไปครู่หนึ่ง
โครม!
ในขณะเดียวกัน แรงส่งนั้นก็ทำให้เธอกลิ้งไปข้างหน้าสองตลบ กระแทกประตูร้านหนังสือให้เปิดออกแล้วทิ้งรอยบุบไว้บนนั้นด้วย
แล้วเอลฟ์ดำก็ย่างสามขุมมาหาเธอ แม้ว่าร่างงดงามที่ส่ายไปมาของเธอจะดูเลือนลางในสายตาพรีม่าก็ตาม
แว่นของเธอปลิวออกจากหน้าไปแล้ว และตอนนี้เธอก็ทำได้แค่กระเสือกกระสนเข้าไปในร้านหนังสือ
ตุ้บ!
เอล์ฟดำกระทืบเท้าของตัวเองลงบนฝ่ามือของพรีม่าแล้วบี้ส้นรองเท้าของเธอลงไป แม้ว่านั่นจะอยากทำให้พรีม่าร้องออกมา แต่เธอก็ยังกัดฟันไม่ส่งเสียง
“หาที่นี่อยู่เหรอจ๊ะ? แล้วใครที่นี่จะช่วยเธอได้ล่ะ? หรือเธอเชื่อเหรอว่าวัลเพอร์กิสที่เธอศรัทธาจะโผล่จากอากาศธาตุมาช่วยเธอ?” เอลฟ์ดำเยาะเย้ย
เมี้ยว…
จู่ ๆ เสียงร้องเหมียวของแมวตัวหนึ่งก็ดังขึ้นในร้านหนังสือ
เอลฟ์ดำหันไปมองแล้วก็เห็นแมวขาวตัวหนึ่งที่นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ร้านแล้วจ้องมองเธอเงียบ ๆ ราวกับลางร้าย