บทที่ 223 : ชั้นเรียนของอาจารย์หลิน
หลินเจี๋ยฉีกยิ้มให้เด็กหนุ่มที่ยืนตรงหน้าเขา “ในเมื่อพวกคุณสนใจหนังสือของผม ผมก็จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้พวกคุณเข้าใจความหมายของหนังสือเล่มนี้ เราคุยกันแบบสนิทสนมก็ยังได้นะครับ เพื่อที่เราจะได้ ‘ปรับพฤติกรรม’ ของทุกคนได้ดีขึ้น”
“ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนน่าจะมีความคิดนั้นอยู่กันแล้วแหละ ในเมื่อพวกคุณมาที่นี่อย่างเต็มใจ…”
เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาตัดผมเกรียนแล้วย้อมสีทอง จากตุ้มหู การเจาะปากและถุงใต้ตาขนาดใหญ่ที่เมื่อบวกกับผมของเขาแล้วทำให้เขาดูไร้ระเบียบ มองปราดแรกอาจเข้าใจเขาผิดเป็นแรปเปอร์ฮิปฮอปได้เลย
ยิ่งกว่านั้น เขายังมีเครื่องหมายที่ถอดความไม่ออกอยู่ตามมือและคอด้วย คงเป็นลายสักคำไม่ดีไม่งามหรือสัญลักษณ์บางอย่าง
เขาได้กลายเป็น ‘เยาวชนของสังคม’ ไปแล้ว
นับแต่แรกมา หลินเจี๋ยก็ไม่ได้มีทัศนคติเชิงบวกต่อกลุ่มที่ชื่องานเลี้ยงโลหิตเลย
ในตอนแรกที่เขาได้ยินเรื่องของพวกเขา บทสรุปแรกของเขาคือเป็นองค์กรโครงสร้างแบบพีระมิดบางอย่างซึ่งมุ่งเป้าคนสูงอายุเป็นพิเศษ แล้วในภายหลังเขาก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น และเนื้อแท้ขององค์กรนี้ก็เลวร้ายกว่าที่เขาคาดไว้มาก!
ตั้งแต่ทำธุรกรรมของเถื่อนต่าง ๆ ช่วยโบสถ์แห่งจุดสูงสุดล้างสมองศาสนิกชน แล้วบางทีพวกเขาก็อาจจะทำเรื่องน่ารังเกียจมากกว่านี้อย่างลับ ๆ ด้วย
นี่เป็นองค์กรที่ชั่วร้ายโดยแท้จริง
แล้วพ่อหนุ่มที่ใช้ชื่อเล่น ‘เหยี่ยวราตรี’ ตรงหน้านี้ก็ตรงกับภาพสมาชิกงานเลี้ยงโลหิตที่เขาวาดไว้ในใจเป๊ะเลย นั่นก็คือคนที่ดูแล้วให้ความรู้สึกไม่สอดคล้องกับศีลธรรม
เป็นพวกที่มองปราดเดียวก็ตัดสินได้ว่าไม่ใช่คนดี มีขั้นตอนการคิดเอาแต่ใจตัวเอง และควรได้รับการแก้ไข
ในฐานะอดีตผู้บ่มเพาะจิตใจของเยาวชนและพ่อค้าซุปไก่มือฉมัง หลินเจี๋ยวางแผนพร้อมถูมือในใจอย่างยินดี
เหยี่ยวราตรีอดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลายต่อหน้ารอยยิ้มเมตตาของเจ้าของร้านหนังสือ เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ตัวเองไม่อาจเลี่ยง โดยเฉพาะจากเจ้าเหมียวที่ยังนอนอยู่ในอ้อมแขนของหลินเจี๋ยที่ทำให้เขาเหงื่อแตกอย่างกระวนกระวาย
ทว่าสุดท้ายแล้ว ความเทิดทูนคลั่งไคล้ของเขาต่อหลินเจี๋ยก็ทำให้เขายังยืนหยัดต่อได้
เหยี่ยวราตรีตัดสินใจตายเอาดาบหน้า สูดหายใจลึก ๆ ก่อนเอ่ยตอบ “ครับ ผมสนใจงานของคุณมาก ๆ เลย แล้วในขณะเดียวกันผมก็นับถือคุณด้วย ผมหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากคุณครับ”
นี่คือสิ่งที่ไวลด์เคยสอนให้พวกเขาพูด พวกเขาทุกคนต่างรู้ถึงนิสัย หรือก็คือวิธีที่ผู้ยิ่งใหญ่ผู้รอบรู้คนนี้ใช้เฝ้ามองโลกใบนี้แล้ว นั่นก็คือแสร้งทำตัวเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
เพราะเช่นนั้น พวกเขาควร…ไม่สิ พวกเขาต้องทำตามคำแนะนำของไวลด์ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็อาจทำให้คุณหลินไม่ชอบใจได้
“นับตั้งแต่ออกจากงานเลี้ยงโลหิตมา พวกเราทุกคนก็ได้เรียนจากท่านไวลด์ และเพราะความสามารถรับรู้ของพวกเรามีจำกัด พวกเราแต่ละคนเลยได้แต่เรียนจากช่วงต่าง ๆ ของหนังสือ แต่ไม่ว่ายังไงเราก็เรียนรู้จากมันได้มากเลยล่ะครับ”
เหยี่ยวราตรีพูดต่อ “หลังจากอ่านหนังสือของคุณแล้ว ผมก็ได้รับผลกระทบจากมันมามาก แล้วก็ตระหนักได้ว่าการกระทำตลอดมาของผมมันช่างน่ารังเกียจ การตัดสินใจที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียวก็คือการที่ผมเลือกไล่ตามความรู้ที่กว้างใหญ่และยิ่งใหญ่ครับ”
หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว มีความแตกต่างบางอย่างระหว่างเจ้าหมอนี่กับภาพลักษณ์ ‘เยาวชนของสังคม’ ที่เขาจินตนาการไว้อยู่
ต่างจากภาพลักษณ์ไร้ระเบียบของเขา ที่จริงแล้วเขามีมารยาทและสุภาพมาก…แม้กระทั่งปากหวานด้วย
ดูเหมือนว่าเขาจะเรียนรู้จากหนังสือได้เป็นชิ้นเป็นอันบ้างแล้ว…
หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วถามต่อ “ตอนนี้คุณกำลังศึกษาช่วงไหนอยู่ครับ?”
“ชะ…ช่วงแรกครับ…” เหยี่ยวราตรีตอบกลับอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย
หรือก็คือช่วงสรุปพื้นฐานของเรื่องในหนังสือ แต่ว่าเนื้อหาของช่วงแรกมันห่างจากคำว่าพื้นฐานมาก มันบรรยายถึงการสื่อสารระหว่าง ‘คน’ กับ ‘เทพ’ นี่ทำให้ทุกอย่างที่เหยี่ยวราตรีรับรู้มาก่อนถูกลบล้างไปหมด แล้วยังทำให้เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับเลือดอสูรใหม่หมดเลยด้วย
โอ้…เขาอ่านไปแค่บทนำ การจำกัดความของพิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆ แล้วก็ความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองสินะ
แน่นอนว่าสำหรับคนจากอีกโลกหนึ่งนั้น มันต้องมีกำแพงกีดขวางความเข้าใจต่อตัวอย่างและคำที่ใช้กันบนโลกอยู่
ถ้าไม่มีพื้นฐานแน่นอย่างตาเฒ่าไวลด์ แนวคิดเหล่านี้ก็ยากที่จะเข้าใจได้จริง ๆ
“ผ่อนคลายเถอะครับ อย่ากังวลมากนักเลย ค่อยเป็นค่อยไปเถอะนะครับ มีอะไรที่คุณไม่เข้าใจไหมครับ?”
เหยี่ยวราตรีซาบซึ้งเสียจนแทบร้องไห้ ความเมตตากรุณาและใจกว้างของผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้นับว่าได้เยียวยาตัวตนภายในที่บาดเจ็บผุพังของเขาแล้ว
ช่วงเวลาที่ต้องทุกข์ทนภายใต้การเคี่ยวเข็ญของชายหน้ากากดำไวลด์ได้เปลี่ยนมาเป็นความโล่งใจ
“ผมอยากรู้ครับว่าเลือดมีบทบาทอะไรในการติดต่อระหว่างคนกับเทพเหรอครับ?”
เหยี่ยวราตรีถามสิ่งที่เขาอยากรู้จะตายอยู่แล้วออกมา
นี่เป็นเพราะว่าพลังของนักล่ามาจากเลือดอสูร ซึ่งมีที่มาจากสัตว์มายา
การโยงข้อมูลที่ว่าเข้ามาในหนังสือนิกายกลืนศพ พิธีกรรม และขนบธรรมเนียมนั้นมอบความคิดหนึ่งให้เขา ถ้าเลือดนั้นมาจากสัตว์มายาระดับเหนือนภาล่ะก็ พวกเขาจะสามารถได้รับพลังของมันมาด้วยได้หรือเปล่า?
น่าเศร้าที่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพยายามทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ
และนั่นก็เป็นเพราะเอกลักษณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเลือดอสูร คือการที่มันทำให้จิตใจแปดเปื้อน
ยิ่งความเข้มข้นสูงก็ยิ่งหมายถึงยิ่งแข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันนักล่าก็จะทนมันได้ยากขึ้น
ไม่ใช่ว่าผู้คนไม่สามารถเก็บเลือดจากสัตว์มายาระดับเหนือนภาได้ แต่ความจริงอยู่ที่ว่าไม่มีวัตถุดิบใดที่สามารถเติมลงไปในเลือดแล้วทำให้นักล่ายังมีสติอยู่ได้เลย
ในหมู่คนที่พยายามทำเช่นนั้น มากกว่าครึ่งตายทันที ในขณะที่ไม่กี่คนที่ยังเหลือกลายเป็นบ้า
ทว่าหนังสือนิกายกลืนศพ พิธีกรรม และขนบธรรมเนียมได้ทำให้เขาเห็นทิศทางใหม่
ในตอนนี้ หลินเจี๋ยแปลกใจจริง ๆ แล้ว แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากสบาย ๆ ไปเป็นจริงจัง
ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินเหยี่ยวราตรีต่ำเกินไปจริง ๆ การที่เจ้าเด็กท่าทางแย่ ๆ ตรงหน้าเขาจะถามคำถามที่ลึกซึ้งแบบนี้ออกมาได้ หมายความว่าเขาต้องเข้าใจและมีความคิดเกี่ยวกับหนังสือที่หลินเจี๋ยเขียนในระดับหนึ่งแล้ว
นี่เป็นการค้นพบที่ประเมินค่าไม่ได้จริง ๆ
นี่หมายความว่าเหยี่ยวราตรีไม่ได้พูดไปเรื่อย แล้วเขาก็เข้าใจแนวคิดนี้จริง ๆ
พิธีการและพิธีกรรมต่าง ๆ ในกรณีส่วนใหญ่แล้วเป็นวิธีสื่อสารระหว่างคนและเทพ
เทพที่ว่าไม่ได้หมายถึงแค่เทพในจินตนาการของมนุษย์เพียงอย่างเดียว มันยังรวมถึงธรรมชาติด้วยในภาพรวม เช่นการภาวนาขอให้อากาศดี นี่ก็เป็นการสื่อถึงความปรารถนาของมนุษย์ด้วยเช่นกัน
“นั่นเป็นคำถามที่ดีเลยครับ”
หลินเจี๋ยไม่หวงคำชม “เลือดเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในพิธีบวงสรวงหลายแขนง และเหตุผลของมันคือจิตวิญญาณที่บรรจุไว้ในนั้นครับ”
“จิตวิญญาณเหรอครับ?” เหยี่ยวราตรีพึมพำทวนคำพูด
หลินเจี๋ยพยักหน้า ความรู้สึกการเป็นอาจารย์ค่อย ๆ กลับมา ตอนนี้เขาขาดแค่โพเดียมกับกระดานดำเท่านั้น “ในระหว่างพิธีบวงสรวง ผู้คนเชื่อว่าเลือดมีวิญญาณครับ เป็นพันธะที่มอบวิญญาณให้กับร่างไร้ชีวิตแล้วทำให้เกิดการสื่อสารกับสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณ รวมถึงพวกเทพด้วยครับ”
นี่ไม่ได้มาจากการวิจัยในสมัยก่อนของเขาเพียงอย่างเดียว ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งที่เขาเรียนรู้จากหนังสือหนังมนุษย์ด้วย
“มอบวิญญาณให้กับร่างไร้ชีวิต มอบวิญญาณให้กับร่างไร้ชีวิต…เราเข้าใจแล้ว!” เหยี่ยวราตรีพึมพำกับตัวเอง
เขาเริ่มพึมพำรัวเร็วกับตัวเองด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “คุณสมบัติทางจิตวิญญาณของเลือดคือที่อาศัยของวิญญาณ ดังนั้นเลือดอสูรมีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างไร้ข้อยกเว้น แต่สิ่งที่ตายแล้วจะไม่ทำแบบนั้น ดังนั้นการใช้เลือดอสูรระดับเหนือนภาจริง ๆ นั้นไม่ใช่การใช้กับมนุษย์ แต่เป็นการใช้กับคาถา!”
“หือ?” หลินเจี๋ยฟังไม่ออกว่าเขาพูดอะไร
คุณเข้าใจอะไร?
เหยี่ยวราตรีเอ่ยขอบคุณเจ้าของร้านหลินอย่างตื้นตันแล้วเดินกระโดดโลดเต้นไปข้าง ๆ
หลินเจี๋ยมองเจ้าเด็กบ๊องเต้นแร้งเต้นกาแล้วถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจหยุดการเยียวยา จากนั้นเขาก็มองไปที่คนถัดไปแล้วถามขึ้น “ผมจำได้ว่าคุณคือหนอนหนังสือใช่ไหม? แล้วคุณคิดยังไงล่ะครับ?”
นักวิชาการที่ประหม่าลนลานตอบราวกับนักเรียนที่ถูกอาจารย์เรียกมาตอบคำถามในชั้นเรียน
—
“หัวหน้าครับ เหตุฉุกเฉินครับ!” คล็อดตะโกนพลางเปิดประตูห้องประชุม
โจเซฟผู้กำลังประชุมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของหน่วยยืนขึ้นทันทีแล้วเหลือบมองมาที่ประตู เมื่อสบเข้ากับสายตาของคล็อด เขาก็หันไปขอโทษคนอื่น ๆ แล้วเดินจากออกมาทันที
“เกิดอะไรขึ้น? มีการเคลื่อนไหวอะไรที่ร้านหนังสือหรือเปล่า?” โจเซฟถามขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาถึงจุดปลอดคน
“ในที่สุดไวลด์ก็โผล่มาแล้วครับ!” คล็อดโพล่งออกมาเบา ๆ