บทที่ 229 : หลินเจี๋ยกำลังดูอยู่
โดริส?
หลินเจี๋ยชะงักไปครู่หนึ่ง และการเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างแดนนิมิตของเขาก็ชะงักลงทันควัน
เขายืนที่ชายขอบของความฝัน มองลงมาจากเบื้องบน แล้วตรวจสอบสิ่งที่เห็นอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
ผู้ที่ยืนอยู่ในป่าแล้วทอดมองไปไกลนั้นก็คือเอลฟ์สาวผู้ดูจริงจังแต่งดงาม ร่างของเธอเปล่งประกายเจิดจรัส
นั่นคือคุณหญิงกระเป๋าหนัก อะแฮ่ม! ลูกค้ารายใหญ่ที่มาเยือนร้านหนังสือในคืนฝนตกคืนหนึ่งจากคำแนะนำของจี้จือซู่ แล้วซื้อหนังสือตราสัญลักษณ์และโทเทมไปสามสิบเล่มรวด
“ใช่เธอจริง ๆ ด้วย…บังเอิญจัง”
หลินเจี๋ยแย้มยิ้มเป็นกันเองที่เขามักจะใช้ทักทายลูกค้าของเขา
“ไม่ได้เจอกันมาสองสามเดือน สงสัยจังว่าตระกูลของเธอ ‘อ่าน’ หนังสือเล่มนั้นจบหรือยัง?”
เหมือนสิ่งที่เขามักจะทำในการดูความฝันของคนอื่น หลินเจี๋ยปล่อยสติของเขาให้จมลงผ่านเขตแดนระหว่างความว่างเปล่าด้านนอกและแดนนิมิต แล้วก็เข้ามาถึงความฝันของอีกฝ่าย
มองแวบแรกแล้ว ความประทับใจแรกที่ความฝันนี้มอบให้เขาคือสีเขียวชอุ่ม เพราะสถานที่ของมันดูจะเป็นป่าดึกดำบรรพ์
เมื่อหลินเจี๋ยเดินเตร่ไปมา สภาพแวดล้อมก็เหมือนจะย้ำเตือนเขาถึงช่วงเวลาที่ตัวเองเข้าป่าเก่าแก่เพื่อทำวิจัยเรื่องพื้นบ้านบางอย่าง และมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกคิดถึงมันขึ้นมา
ทุกอย่างรอบ ๆ เขาคือรากไม้ยักษ์ที่เกี่ยวพันกันไปมาของต้นไม้ต้นมหึมาที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์และเห็ด และพื้นป่าก็มีแต่ใบไม้ร่วงกองเต็มไปหมด ราวกับว่านี่คือตอนกลางคืน เหล่าพืชไร้เมล็ดกะพริบไหวแล้วเรืองแสงสีฟ้าเข้มจากทุกซอกทุกมุม ทั้งใกล้และไกล
แน่นอนว่าสิ่งที่เรืองแสงเจิดจ้าที่สุดที่นี่ก็คือโดริสอย่างไม่ต้องสงสัย
คำว่าเปล่งประกายเจิดจรัสไม่ใช่เพียงการอุปมาต่อความงามกระชากใจของเอลฟ์สาวผู้นี้เท่านั้น แต่ร่างของเธอเรืองแสงอยู่จริง ๆ
โดริสสวมชุดยาวอลังการสีขาวที่มีลวดลายสีทองที่ทั้งลึกลับและงดงามประดับอยู่ที่ส่วนปลาย และสีทองจาง ๆ นี้ก็สามารถมองเห็นได้ลาง ๆ จากเนื้อผ้านุ่ม ๆ จี้มรกตบนหน้าผากของเธอเข้ากับดวงตาสีน้ำเงินบริสุทธิ์ของเธออย่างสมบูรณ์แบบ
คทาไม้เบิร์ชอยู่ในมือของเธอ มันมีเถาวัลย์เกาะเกี่ยวและดอกไอริสหนึ่งดอกที่ปลายคทา
ควบคู่ไปกับเส้นผมยาวสลวยสีทองของเธอ ท่าทางแน่วแน่สง่างามและสีหน้าเคร่งขรึมของเธอสื่อถึงนิสัยบุคคลที่เป็นที่เกรงขาม รวมกับจุดกำเนิดแสงแปลก ๆ ที่เรืองรองออกมากำจัดความมืดรอบตัวเธอแล้ว ยิ่งขับให้เธอดูเหมือนราชินีเอลฟ์จากเทพนิยายไม่มีผิด
เราก็คิดว่าการแต่งตัวคอสเพลย์ก่อนหน้านี้ของเธอจูนิเบียวพอแล้ว… แต่นี่คือร่างสุดท้ายของเธอเหรอ?
หลินเจี๋ยลูบคางในขณะที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอแล้วครุ่นคิดถึงเนื้อเรื่องของความฝันนี้ และสิ่งที่มันสะท้อนออกมาจากความปรารถนาในใจของโดริส
ในขณะที่เขาอยู่ในแดนนิมิตของคนอื่น หลินเจี๋ยจะไม่สามารถบงการมันดั่งใจนึกตลอดเวลาได้
ร่างกายของเขาก็จะไม่สามารถถูกเห็นหรือแตะต้องกับใครได้ด้วย และมันจะเหมือนว่าเขาเป็นแค่ผีที่มีความสามารถแค่ดูได้อย่างเดียว
เว้นแต่เพียงมันจะเป็นกรณีแบบซิลเวอร์ที่เขาได้รับการยอมรับเข้าไปในแดนนิมิตของเธอโดยมีสิทธิ์ครบถ้วน หลินเจี๋ยจึงจะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้
ไม่อย่างนั้น ถ้าเขาอยากจะเปลี่ยนอะไรหรือแสดงตัว เขาก็จะต้องใช้อีเธอร์…
จนตอนนี้ หลินเจี๋ยสะสมอีเธอร์ไว้ได้เพียงแค่เล็กน้อย และมันคือสิ่งที่เขาดึงคืนมาได้หลังจากแดนนิมิตของวิหารกลางของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดถล่มลง
แน่นอนว่าหลินเจี๋ยไม่อยากจะใช้มันในสถานการณ์แบบนี้หรอก และแค่มองก็พอแล้ว
เพราะเขาได้อ่านหนังสือของซิกมันด์ ฟรอยด์มาก่อนหน้านี้ เขาจึงพอมีความเข้าใจในทฤษฎีเกี่ยวกับความฝันอยู่บ้าง
แม้ว่าจุดประสงค์เดิมจะเป็นการตีความความฝันของเขาเองก็ตาม หลังจากใช้เวลาและความพยายามในการแปลอยู่สักพัก ในที่สุดหลินเจี๋ยก็ยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ฝันถึงซิลเวอร์…แต่เขาบุกรุกเข้าไปในแดนนิมิตของซิลเวอร์โดยไม่ได้ตั้งใจ
ทว่าเขาก็ยังมั่นใจในความสามารถในการตีความความฝันของเขา!
ในขณะที่เขาอาจจะไม่สามารถตีความความฝันของตัวเองได้ แต่เขาคงยังตีความความฝันของคนอื่นได้อยู่
“อืม…มีการเคลื่อนไหว หรือ ‘พล็อต’ ของความฝันนี้จะเริ่มแสดงแล้วกันนะ?”
หลินเจี๋ยเลิกคิ้วพลางมองโดริสเอียงคอมองไปไกล ก่อนที่จะยกคทาในมือของเธอขึ้น ในตอนนี้แสงสว่างเจิดจ้าเริ่มแผ่ไปทุกทิศทุกทาง ราวกับมันกำลังจะสร้างเป็นบทมนตร์ที่ไร้รูปลักษณ์
ในตอนแรกมีการสั่นสะเทือนเบา ๆ เริ่มขึ้น แต่มันก็ถูกมนตร์นี้สะกดไป ทว่าไม่นาน พวกมันก็ดูจะรุนแรงขึ้นเมื่อแผ่นดินขยับไหว และกระทั่งต้นไม้รอบ ๆ ยังดูราวกับใกล้ล้มระเนระนาดเต็มที
ในขณะเดียวกัน ที่พื้นก็เริ่มแตกออกแล้วปูดขึ้นราวกับว่าแผ่นดินไหวรุนแรงได้ฉีกที่นี่ออกจากกัน
มีเพียงบริเวณรอบ ๆ โดริสที่อาบแสงอยู่เท่านั้นที่ไร้รอยขีดข่วน
ความฝันนั้นอาจเป็นแค่เศษเสี้ยวและพิลึกพิลั่น แต่บางครั้งมันก็ร้อยเรียงเข้าหากันเป็นเรื่องเป็นราว
หลินเจี๋ยชอบหาเรื่องดูความฝันเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ เพื่อแก้เบื่อ และเพื่อสนองความอยากแอบดูของมนุษย์ด้วย
จากที่เห็นในตอนนี้ ดูเหมือนว่าโดริสจะต่อยอดตัวละครที่เธอคอสเพลย์แล้วสร้างความฝันที่เป็นเอลฟ์จริง ๆ ขึ้นมา
เฮ้อ…จูนิเบียวตัวแม่
หลินเจี๋ยมีสีหน้าแปลก ๆ ในขณะที่สงสัยว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า มันดูเหมือนว่าจากความฝันของลูกค้าของเขาพวกนี้ ทุกคนดูจะเป็นโรคจูนิเบียวกันหมดเลย…
“ชู่ว…ไม่ใช่ว่านี่บ่อยไปแล้วเหรอ? บางอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว” หลินเจี๋ยขมวดคิ้วส่ายหน้า
โดริสคงไม่ใช่เอลฟ์จริง ๆ หรอกใช่ไหม?
ไม่ ๆ ๆ นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก!
ในขณะที่เขารู้แล้วว่าครั้งหนึ่งโลกนี้เคยมีเอลฟ์อยู่จริง แต่นั่นก็นานมาตั้งแต่สมัยยุคที่สองเมื่อหมื่น ๆ ปีก่อนแล้ว
แล้วเอลฟ์จะยังมีอยู่ในนอร์ซินในตอนนี้ได้ยังไงกัน
ยิ่งกว่านั้น โดริสยังเป็นคนที่จี้จือซู่แนะนำมา และอยากจะฟื้นคืนเกียรติยศของตระกูลของเธอด้วย
ถ้าเธอเป็นเอลฟ์จริง ๆ แล้วทำไมเธอถึงต้องให้มนุษย์ธรรมดา ๆ แนะนำให้มาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ แถมยังทำตามนั้นเสียด้วยล่ะ? แถมเธอยังซื้อหนังสือเล่มเดียวกันไปตั้งสามสิบเล่มอีก?
ตัดสินจากแววตาของเธอในตอนนั้นแล้ว หลินเจี๋ยก็บอกได้ว่าโดริสเชื่อเขาหมดใจ
ถ้าเธอเป็นเอลฟ์จริง ๆ เธอก็ควรบอกได้ไม่ใช่เหรอว่าหนังสือของเราเป็นแค่หนังสือวิชาการธรรมดา ไม่ใช่หนังสือเวทมนตร์อะไรสักอย่าง?
“เราต้องคิดมากไปแล้วแหง” หลินเจี๋ยพึมพำแล้วคิ้วที่ขมวดแน่นก็เริ่มคลายลง ความเคลือบแคลงที่เผยออกมาค่อย ๆ หายไป
“มันต้องเป็นเพราะร่องรอยของพลังเหนือธรรมชาติที่โผล่ออกมาช่วงนี้แน่ ๆ ที่ทำให้เราหลอน ที่จริงแล้วพอมาคิดดี ๆ ถ้าขนาดพวกปวกเปียกอย่างกาเบรียลสามารถควบคุมโบสถ์แห่งจุดสุงสุดได้ แล้วโลกในตอนนี้จะมีพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งเหลืออยู่ได้ยังไง”
เขาผ่อนคลายใจตัวเองลงแล้วมองเงาร่างของโดริสต่อ
มองตามสายตาของดอริสแล้ว หลินเจี๋ยก็เห็นร่างใหญ่ยักษ์พุ่งจากพื้นขึ้นไปบนฟ้าราวกับวาฬที่กระโดดออกมาจากผิวสมุทร
หลินเจี๋ยกะพริบตาแล้วมองต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่ร่างมหึมานั้นร่วงลงมาต่อหน้าโดริส
ในความมืดที่ชวนหดหู่ ร่างที่เหมือนปลาแลมเพรย์ขนาดยักษ์เผยปากวงกลมที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลม ๆ แล้วยืดเส้นหนวดชวนสยดสยองนับไม่ถ้วนออกมา แล้วมันก็ทะยานเข้าหาร่างเล็กจ้อยของเอลฟ์ใต้ร่างมันอย่างดุดัน
—
โดริสได้หยั่งเห็นรอยแตกแดนนิมิตที่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อเผ่าพันธุ์เอลฟ์ของเธอทั้งหมดได้อีกครั้ง
เหมือนทุกที เธอจะได้รับภาพนิมิตล่วงหน้าแล้วบอกให้สมาชิกวงศ์วานของเธอไปหลบภัย ก่อนที่จะหาวิธีมารับมือกับศัตรู
ครั้งนี้ เธอตัดสินใจใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อดึงความสนใจของศัตรู
แต่นับแต่เริ่มแผน มันกลับดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดไปเล็กน้อย…
เหมือนกับว่าเธอจะสามารถสัมผัสสายตาทะลุทะลวงที่จ้องมองเธอเขม็งจากที่ไหนสักแห่งโดยที่มองไม่เห็นว่ามาจากไหน