บทที่ 233 : วจนะแห่งพระเจ้า (II)
โดริสยินคำพูดของชายเบื้องหลังเธอไม่ชัดเจนนัก
มันราวกับว่าเขากำลังพูดอยู่ในน้ำ เสียงของเขาคลุมเครือและบิดเบี้ยว ไม่มีคำไหนได้ยินชัด และมันฟังดูขาด ๆ ด้วย
แต่โทนเสียงนั้นดูคุ้น ๆ
แต่ร่องรอยของความคุ้นเคยนี้เองที่ไปปลุกกระตุ้นสัญชาตญาณการทำนายของโดริสเข้า
ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ โดริสเหมือนกับได้กลับไปในร้านหนังสือที่มีแสงสลัว ตรงหน้าเธอคือชายหนุ่มผมดำที่มีดวงตาสีดำ เขานั่งอยู่หลังเคาเตอร์และอาบแสงสีเหลืองจาง ๆ คางของเขาวางอยู่บนมือที่ประสานกัน ใบหน้ามีรอยยิ้มเมตตา แล้วเขาก็พูดออกมาว่า…
”ยินดีต้อนรับ“
นั่นแหละ เสียงเดียวกันเป๊ะ!
ผู้ได้รับพรผู้ยิ่งใหญ่?!
ไม่มีข้อบ่งชี้ใด ๆ หรือคลื่นกระเพื่อมอีเธอร์ผิดปกติใด ๆ เลย และตราบเท่าที่สัมผัสของเธอรับรู้ได้ ข้างหลังเธอในตอนนี้ก็ไม่มีใครอีกด้วย
หรือนี่คือการเห็นภาพหลอนก่อนตาย?
ทว่าการสัมผัสที่เอวและหลังของเธอนั้นสมจริงอย่างมาก ราวกับว่ามีคนที่มองไม่เห็นอยู่ข้างหลังเธอ แล้วกำลังพยุงเธอด้วยอำนาจที่แน่นอน
ไม่สิ เดี๋ยวก่อน…
ในที่สุดโดริสก็ฟื้นสติ เธอคว้าคทาของเธอแล้วหอบหายใจ ฟื้นพลังของเธออีกครั้ง แล้วสติของเธอก็กลับสู่ความเป็นจริง
ดวงตาของเธอหรี่ลง แล้วเธอก็จำได้ว่าเธอรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองเธอจากในป่าตอนที่เธอรอการเปิดของรอยแตกแดนนิมิตอยู่
ในตอนนั้นเธอเดาว่านั่นคงเป็นตัวตนที่ลึกลับและทรงพลังบางอย่าง
แต่จากที่เห็นในตอนนี้ หรือว่านั่นคือผู้ได้รับพรของท่านหญิงซิลเวอร์?
เขาเฝ้ามองอยู่ตลอดเลยเหรอ? ไม่เพียงแต่เขาจะมอบทางออกจากวิกฤติให้กับเธอล่วงหน้า แต่เขายังมาช่วยพวกเธอที่ไร้หนทางด้วยตนเองด้วย บางทีทั้งหมดนี้อาจจะเป็นบททดสอบ ท่านหญิงซิลเวอร์เห็นความกตัญญูในใจของพวกเธอ แล้วเต็มใจที่จะปกป้องพวกเธออีกครั้ง!
แต่การมาถึงอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้…และสัญลักษณ์ความเป็นผู้นำลึกลับนั่นด้วย
ผู้ได้รับพรแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่? ในใจโดริสพลุ่งพล่านไปด้วยการคาดเดาต่าง ๆ
ทว่า ในการมองเห็นที่ชัดเจนของเธอ ผู้ชอนไชบาดาลที่มาถึงใหม่กำลังพุ่งเข้าใส่เธอแล้ว ย้ำเตือนเธออย่างโหดร้ายว่านี่มันไม่ใช่เวลามามัวเหม่อลอย
เธอต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างดุเดือดของศัตรู
เธอเกือบได้หยิบคทาของเธอมาสู้ต่อแล้ว แต่บุคคลเบื้องหลังของเธอยังไม่ปล่อยเธอไป เขากลับดึงเธอถอยหลังไปแล้วออกความเห็นด้วยเสียงที่เจือความขยะแขยง “หนอนพวกนี้น่าเกลียดจริง ๆ พวกเขาจะทำให้มันดูดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงนะ”
ครั้งนี้โดริสได้ยินชัดขึ้น และเข้าใจได้ว่าเขาพูดอะไร
ทว่าการเข้าใจคำพูดเหล่านี้ยิ่งทำให้เธองุนงง
เธอเข้าใจอย่างสุดซึ้งว่าทำไมเขาจึงคิดว่าเจ้าหนอนนี่น่าเกลียด แต่ที่ว่า ‘พวกเขาจะทำให้มันดูดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง’ นี่หมายความว่ายังไง…?
เธออยากถามว่า “มันจะเป็นไปได้ที่จะ ‘ทำให้พวกมันดูดีขึ้น’ ได้ด้วยเหรอ?” ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ใช่ผู้สร้างนะ แล้วพวกเขาจะมากำหนดได้อย่างไรว่าสัตว์มายาควรหน้าตาอย่างไร?
แล้วเจ้าของร้านหลินก็แสดงให้เธอเห็นว่า ‘ทำให้พวกมันดูดีขึ้น’ หมายความว่าอย่างไร
ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยอย่างกะทันหันนั้นก็ย่อมเป็นหลินเจี๋ยที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ มาตลอดราวกับกำลังดูภาพยนตร์ที่น่าสนใจนั่นเอง
แม้ว่าฉากในหนังเรื่องนี้จะบิดเบี้ยวและมีเสียงที่ไม่ชัดเจนไปหน่อย เหมือนถูกหมอกปกคลุมอยู่ก็ตาม
แต่เดิมเขาก็แค่อยากดูพล็อตเรื่องของความฝันแล้วพยายามตีความความคิดในจิตใต้สำนึกของโดริสเท่านั้น
การวิเคราะห์ของชายหนุ่มตรงเผงในช่วงแรก
ยกตัวอย่างเจ้าหนอนยักษ์นั่น มันคงหมายถึงความกลัวในใจของโดริส
การปรากฏของตระกูลเอลฟ์นั่น คงหมายถึงความรู้สึกรับผิดชอบต่อครอบครัวในใจของเธอ
นอกจากนั้น ยันต์ที่เธอให้คนในตระกูลของเธอวาดออกมาเพื่อปกป้องพวกเขานั้น คงเป็นการสื่อถึงหนังสือที่หลินเจี๋ยขายให้พวกเธอก่อนหน้านี้
นี่หมายความว่าตระกูลของเธอถือว่าหนังสือของเขาเป็นความหวังในการคืนสู่อำนาจ
หลินเจี๋ยขำความคิดที่หนังสือของเขากลายเป็นอักขระยันต์ในความฝันของโดริส
แต่เมื่อคู่แม่ลูกเกือบถูกหนอนกิน หลินเจี๋ยเกือบทนดูไม่ได้แล้วเกือบใช้อีเธอร์แก้ไขความฝันด้วยตนเองแล้ว โชคดีที่ยันต์นั่นทำงานขึ้นมา
หลังจากนั้น หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าเขาต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง หลังจากเห็นโดริสไม่ยอมแพ้ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าของเธอซีดขาว และอ่อนแอลงราวกับเปลวเทียนในสายลม
สำนึกของหลินเจี๋ยต้องตอกย้ำเขาไปตลอดกาลแน่ ถ้าเขาปล่อยลูกค้าที่ซื้อหนังสือไปตั้งสามสิบเล่มจะมาตายต่อหน้าต่อตาเขา!
แม้ว่าจะเป็นแค่ความฝันก็ตาม มันก็ให้ความรู้สึกสมจริงมาก มันสมจริงเสียจนหลินเจี๋ยรู้สึกไม่สบายใจ
ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจมาก แล้วทำไมเขาต้องหาเหาใส่หัวด้วย?
ถึงอย่างไร นี่ก็แค่ในความฝันเอง
เขาก็แค่เปลี่ยนมันให้เธอก็พอแล้วนี่
“ถ้าเป็นแมวคงดีกว่า”
หลินเจี๋ยคิดเช่นนั้น
เขาใช้ความคิดเหล่านี้กับอีเธอร์เพื่อสร้างความฝันขึ้นใหม่
เจ้าหนอนทั้งสองพุ่งตัวขึ้น เผยปากที่อ้าค้างของมัน และต่อหน้าทุกสายตา ร่างยักษ์ของพวกมัน ‘ระเบิดออก’ แล้วกลายเป็นแมวดำสองตัว
พวกมันตกลงพื้นเสียงดัง ‘ตุ้บ’ แล้วส่งเสียงครางราวกับลูกแมวขอนมกิน
เหล่าเอลฟ์ที่วิ่งวุ่นและกรีดร้องอย่างลนลานสุดขีดพลันเงียบเสียงลงแล้วอ้าปากค้างจ้องสิ่งที่เกิดขึ้น
“ม…มันเกิดอะไรขึ้น?!”
“สัตว์มายาไปไหนแล้ว?”
“แมวพวกนั้น…เป็นไปไม่ได้ คงไม่ใช่…ใช่ไหม?!”
ทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นดูจะเกินสิ่งที่คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้
จู่ ๆ สัตว์มายาระดับภัยพิบัติขนาดเท่าภูเขาลูกย่อม ๆ สองตนก็กลายมาเป็นเจ้าเหมียวน้อย
มีใครที่เข้าใจเรื่องนี้ได้ด้วยเหรอ?!
หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เบื้องหลังของเขาคือโดริสที่ตกตะลึงพรึงเพริดที่ในหัวเต็มไปด้วยคำว่า ‘เหมียว เหมียว เหมียว’
เธอแน่ใจว่านี่ไม่ใช่ภาพหลอนหรือการเปลี่ยนร่าง ทั้งหมดนี้เป็นความจริง เจ้าพวกหนอนยักษ์ถูกเปลี่ยนเป็นแมว สิ่งมีชีวิตทั้งร่างถูกแยกส่วนแล้วประกอบขึ้นใหม่เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ในพริบตา
นี่…นี่คือพลังที่มีเพียงผู้สร้างเท่านั้นที่จะมีได้!
ราวกับว่าพวกมันเป็นของเล่นที่ปั้นจากดินเหนียวที่ถูกนำมาปั้นใหม่อีกครั้งเป็นสิ่งใหม่ แค่เพราะผลงานชิ้นเดิมถูกตัดสินว่าน่าเกลียดเกินไป
โดริสรู้สึกสันหลังหนาวเยือก นี่สูงล้ำกว่าสิ่งที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั่วไปจะทำได้ กระทั่งระดับภัยพิบัติกับระดับเหนือนภายังทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้
มีแค่…พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้!
มีแต่พระเจ้าที่สามารถปรับแต่งสิ่งที่ตนสร้างได้อย่างอิสระ
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด
หลินเจี๋ยมองไปรอบ ๆ แล้วพูดเสริม “อืม…ไฟก็ควรดับเหมือนกัน”
ทันใดนั้น เปลวเพลิงโชติช่วงที่เกือบกลืนป่าเข้าไปทั้งป่าก็พลันหายไป เหลือไว้เพียงภาพต้นไม้ไหม้ ๆ ที่ล้มระเนระนาดและพื้นดินที่ไหม้เกรียม
หลินเจี๋ยตบหัวตัวเองอย่างรู้สึกซื่อบื้อจริง ๆ
“ช่างมันเถอะ ฟื้นมันกลับไปเป็นสภาพเดิมเลยแล้วกัน”
โดริสฟังเสียงที่เต็มไปด้วยความเหลืออดเหลือทนจากข้าง ๆ เธอ แล้วก็ต้องผงะที่ได้เห็นทุกอย่างกลับไปเป็นสภาพเริ่มต้นของมันราวกับย้อนเวลา
กระทั่งรอยแตกแดนนิมิตที่ใต้ดินก็หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่
ทุกอย่างราวกับความฝัน…!