บทที่ 245 : ไปดีมาดีนะ
สายตาของมิคาเอลมองตามนิ้วที่ชี้ไปของออกัสทัสอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงขมวดคิ้ว “เรซิเอล?”
เขาไม่อาจรับรู้โชคชะตาของคนในระดับเดียวกันได้อย่างแน่ชัด การขัดขวางเจ้าของร้านหนังสือที่แยกตัวออกจากโชคชะตานั้นหมายความว่าเส้นทางโชคชะตาของเขายุ่งเหยิงไปแล้ว และพร่ามัวลงสุด ๆ
มิคาเอลมีเพียงความรู้สึกอันลี้ลับว่า ออกัสทัสกำลังพูดถึงเพื่อนร่วมงานของเขาที่กำลังค้นคว้าการสร้างมนุษย์เสมือน
นี่ทำให้มิคาเอลยิ่งปวดหัว
เขาตระหนักได้คร่าว ๆ ว่าเพื่อนร่วมงานของตัวเองกำลังถูกดึงดูดมาบรรจบกันที่ร้านหนังสือ ตัวมิคาเอลเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ในฐานะบุคคลระดับสูงที่เบื่อเต็มทนกับการเฝ้ามองและบงการโชคชะตาของคนอื่น มิคาเอลรู้ดีแก่ใจว่านี่เป็นสถานการณ์ที่แปลก
สมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งวิถีแห่งดาบอัคคีต่างเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเหนือนภาที่อยู่มาหลายยุคสมัยนับแต่โบราณ ระดับความเหนือมนุษย์ของพวกเขาสูงเด่นเหนือผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์บนโลกนี้ไปนานแล้ว ทว่าในตอนนี้พวกเขากลับเหมือนกับหยดน้ำในอ่างล้างหน้าที่กำลังถูกดึงดูดสู่รูที่ใจกลางเจ้าของร้านหนังสือ
มีความเป็นไปได้เพียงสองทาง
ทางแรกคือเจ้าของร้านหนังสือเหนือมนุษย์ยิ่งกว่าพวกเขาไปไกลโข แล้วเส้นทางแห่งชะตากรรมก็ดึงดูดพวกเขาให้เข้าไปหาอย่างไม่อาจขัดขืน
ส่วนความเป็นไปได้ที่สองนั้นก็คือ เจ้าของร้านหนังสือกำลังดึงเส้นด้ายชะตากรรมของพวกเขาอย่างจงใจ นี่คือส่วนหนึ่งของแผนของเขา เฉกเช่นเดียวกับที่มิคาเอลทำมาก่อนในอดีต
มิคาเอลเอียงไปทางข้อหลังมากกว่า
เพราะเมื่อร่างโคลนของเขาไปเยือนร้านหนังสือ เขาก็ได้เห็นเจ้าของร้านหนังสือร่ายโค้ดเนมของสมาชิกทั้งสิบคนของวิถีแห่งดาบอัคคีออกมาอย่างหน้าตาเฉย
นั่นเป็นความลับสุดยอดนะเฟ้ย! กระทั่งตัวสมาชิกผู้ก่อตั้งเองยังไม่รู้โค้ดเนมของคนอื่นด้วยซ้ำ!
จนตอนนี้ มิคาเอลยังคงเป็นจุดติดต่อเดียวระหว่างการร่วมมือระหว่างฝ่ายใด ๆ ภายในวิถีแห่งดาบอัคคี ในกลุ่มคนเหล่านี้ บางคนทำตัวพิสดาร บางคนสุดโต่ง และบางคนไม่ได้สนใจในตัวตนของสมาชิกคนอื่น ๆ เลย
พวกเขาก็แค่สร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างปลอม ๆ ขึ้นมาจากการร่วมมือกันภายใต้ป้ายของวิถีแห่งดาบอัคคี แต่ที่จริงแล้วสมาชิกระดับบนขององค์กรนี้แตกระแหงจากกันสุด ๆ
ความเป็นปึกแผ่นไร้ความหมายสำหรับพวกเขา เพราะถึงอย่างไรความสามารถส่วนบุคคลของพวกเขาก็เกินพอแล้วที่จะขยี้ทุกอย่างที่ขวางทางพวกเขา
ทว่านั่นเป็นเพียงในอดีต…
หากต้องรับมือเจ้าของร้านหนังสือ กระทั่งตัวตนระดับเหนือนภายังเปราะบางราวกับทารกแรกคลอด
การที่มิคาเอลโดนอัดจนยับเยินเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ในเมื่อเขาใช้ร่างโคลนไปลองเชิง ทว่ากาเบรียลใช้ร่างจริง ๆ ของตัวเองในการต่อกรกับเจ้าของร้านหนังสือ
แม้ว่ามิคาเอลจะทำนายชะตาของกาเบรียลไว้แล้วว่าเขาตายแน่ และตั้งใจจะเชิญชวนหลินเจี๋ยมาแทนที่โค้ดเนมดังกล่าวก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม การที่กาเบรียลถูกสังหารโดยทำอะไรไม่ได้เลยนั้นยังเกินกว่าความคาดหวังของเขาไปมาก
บางที…การที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่ถูกก่อตั้งมาอย่างยาวนานอาจจะดับสลายตามกาเบรียลไปและถูกแทนที่โดยศาสนาแห่งตะวัน ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นแผนของหลินเจี๋ยมาแต่แรกแล้วก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น จากการสนทนาของเขากับออกัสทัส และความคุ้นชินของหลินเจี๋ยต่อโค้ดเนมทั้งสิบ มิคาเอลมีเหตุผลที่จะสงสัยว่าหลินเจี๋ยนั้นที่จริงแล้วจะเป็นทูตที่แม่มดบรรพกาลส่งมาเพื่อหยุดพวกเขาไม่ให้เปิดรอยแตกแดนนิมิต
ถ้าเป็นเช่นนั้น…ความเป็นไปได้ที่จะเชิญเขามาร่วมพวกได้สำเร็จก็แทบไม่มีเลย
แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น สายตาของมิคาเอลกลับเด็ดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นอีก
แม่มดบรรพกาลแล้วไงล่ะ? พวกนางสร้างกำแพงหมอกเพื่อแยกแดนนิมิตแต่กลับเลือกจะซ่อนตัวกันที่นั่น…นี่พิสูจน์ให้เห็นชัด ๆ ว่าเส้นทางของข้าถูกแล้ว แดนนิมิตคือแดนเทพที่แท้จริง พวกเราเสียโอกาสเดินบนเส้นทางนั้นเนื่องจากความกลัวดั้งเดิมของเราต่อแดนนิมิต แต่ตอนนี้เราจะต้องคว้าโอกาสนั้นไว้เพื่อตนเอง
หลินเจี๋ย…ขนาดออกัสทัสยังตรวจจับความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ ดูเหมือนวิถีแห่งดาบอัคคีคงใช้ชีวิตกันอย่างเก่าไม่ได้แล้ว เราต้องรวมกันเป็นปึกแผ่น!
มิคาเอลมองไปไกลด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก
ตอนนี้ ความเป็นไปได้เบนไปทางที่เรซิเอลจะถูกดึงดูดเข้าหาร้านหนังสือ…
เขาสัมผัสได้ว่าโชคชะตาของเรซิเอลกำลังพร่ามัวลง จากนั้นเขาก็หันกลับมา “ราชายักษ์เอ๋ย เจ้ามาเข้าร่วมกับพวกเราไหม?”
ออกัสทัสเสสรวล ทำเอาทั้งเทือกเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง “เจ้าปล่อยเพื่อนเทวดาผู้นั้นของเจ้าทิ้งแล้วหรือ?”
คำว่า ‘เพื่อน’ ถูกเน้นคำอย่างแดกดัน
ออกัสทัสเข้าใจว่ามิคาเอลตั้งใจทอดทิ้งเรซิเอลแล้ว นี่จะสร้างตำแหน่งว่างขึ้นในหมู่สิบตำแหน่ง ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลเบื้องหลังการส่งคำเชิญของเขาสู่ราชายักษ์ออกัสทัส
มิคาเอลที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวเอ่ยตอบ “ในเมื่อเจ้ายังกลัวที่จะสอดแนมเขา เราก็ไม่มีทางต่อกรกับเจ้าของร้านหนังสือด้วยอำนาจตน ชะตาของเรซิเอลจบแล้ว และเราไม่ควรเปลืองทรัพยากรมากไปกว่านี้”
“การเดินทางเพื่ออุดมคติย่อมมีการเสียสละ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
ออกัสทัสหยุดหัวเราะแล้วจ้องมิคาเอลอย่างเคร่งเครียด “สหายเก่าเอ๋ย เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าอุดมคติของเจ้าถูกต้อง?”
“แน่สิว่ามันถูก ข้ายังคงยืนยันคำตอบของข้าดั่งเมื่อหลายปีก่อน” มิคาเอลตอบโดยไม่ลังเล
“แค่เพราะเจ้าได้พบหนังสือเล่มนั้นที่ชายขอบแดนนิมิตใต้ดินน่ะหรือ?” ออกัสทัสถาม
“มิใช่ว่าหนังสือเล่มนั้นก็พอแล้วหรือ?” มิคาเอลค่อนแคะอย่างขุ่นเคือง
เขากางแขนออกแล้วเถียงอย่างหลงใหลเล็กน้อย “ทุกอย่างที่บรรยายในหนังสือเล่มนั้นคือโลกใหม่โดยสมบูรณ์ สวรรค์ อีเดน พระเจ้า ทูตสวรรค์ คับบาลาห์…แต่ละอย่างไม่ใช่สิ่งที่เราเคยได้ยินมาก่อนทั้งนั้น เป็นดินแดนที่อยู่เหนือโลกแห่งกายหยาบ…นั่นต้องเป็นเส้นทางสู่ความเป็นเทพในแดนนิมิตแน่ ๆ!”
ออกัสทัสยิ้มอย่างอ่อนใจพลางเอ่ยตอบ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ตอบคำถามของเจ้าไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนเช่นดัน ข้าคือราชายักษ์ ที่แห่งนี้คืออาณาจักรของข้า และข้าจะไม่จากที่นี่หรือเข้าร่วมกับผู้ใด”
มิคาเอลกระชากกางเขนแดงของเขาจากพื้นแล้วเหยียดหยัน “ความจำเจ…อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไปนะ”
“รอยแตกแดนนิมิตนั่น เราขยายมันออกแล้ว ไม่ช้าก็เร็วกำแพงหมอกจะพังทลาย ไว้พบกันใหม่” มิคาเอลค่อย ๆ สลายไปเป็นละอองแสงแล้วหายไปโดยสมบูรณ์
ออกัสทัสผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ขณะที่เขามองมิคาเอลหายไป
เบื้องหลังบัลลังก์ของราชายักษ์คือกำแพงหมอกสูงตระหง่านที่ล้อมรอบทั้งอาซีร์ หากกำแพงสูงนี้พังทลายลง ความมืดจากในแดนนิมิตจะกลืนกินเขาเป็นคนแรก
ครืน…!!
ในขณะที่ยอดเขายังคงถล่มต่อ ร่างกายท่อนล่างของออกัสทัสที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็เผยออก กระทั่งเนื้อหนังแห้งเหี่ยวของเขายังเกี่ยวเข้ากับบัลลังก์และหมู่เขาไปแล้ว
ราชายักษ์เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก เขาทอดถอนใจ ดวงตาแก่ชราของเขาหักหลังเข้าแล้ว เขาดูราวกับเป็นแค่ตาแก่ผอมแห้งคนหนึ่งเท่านั้น
ในฐานะของยักษ์ เขาใช้ชีวิตมานานเกินไปมากแล้ว…
ออกัสทัสยื่นนิ้วของเขาออกมาเขียนคำบางคำบนอากาศ สร้างเป็นซองจดหมายติดปีก แล้วเขาก็แกะอัญมณีที่หัวแหวนบนนิ้วของเขาก่อนจะบรรจุไว้ภายในซอง แล้วเขาก็ปล่อยให้ซองจดหมายบินไปตามทางของมันด้วยรอยยิ้มเปราะบาง “ไปดีมาดีนะ ศิษย์คนสุดท้ายของข้า”
—
“น้องสาวของมาร์กาเร็ตเข้าไปขอความช่วยเหลือที่ร้านหนังสือ?”
เรซิเอลขยับแว่นทองที่วางอยู่บนดั้งของเขาแล้วฟังรายงานของเจโรมที่ตัวสั่นเทา เขาโบกมือ แล้วกระจกตรงหน้าเขาก็เผยภาพที่ดูคล้ายบริเวณที่ตั้งร้านหนังสือ
ทว่าสายตาของเขากลับจับจ้องที่คาเฟข้าง ๆ
มองเข้าไปทางหน้าต่างแก้ว สาวน้อยผู้หนึ่งที่ด้านในดูจะกำลังยุ่งกับงาน แต่สำหรับเรซิเอลแล้ว เธอดูไม่ต่างจากอัญมณีสีแดงอันงดงามสะกดตา
“เทวรูปดิน S-277?”