บทที่ 255 : ‘ตระกูลจี้’ และคฤหาสน์ A16
ในขณะที่ฮู้ดกับแอนดรูว์กำลังปรึกษากันในห้องทำงานของเจโรมอยู่นั้นเอง บางอย่างที่สำคัญก็เกิดขึ้นห่างออกไปในคฤหาสน์ A16 ที่อยู่ในเขตกลางเช่นกัน
คฤหาสน์ A16 เป็นของตระกูลจี้
มันคือนามสกุลที่มาจากดินแดนทางเหนือ ในขณะที่ที่นั่นมีหลายคนที่พูดภาษาเดียวกับคนในนอร์ซิน แต่ผู้คนจากดินแดนทางเหนือก็ไม่ได้มาอยู่ในเมืองกันมากเท่าไหร่
นามสกุล ‘จี้’ นั้นโดดเด่นเปล่งประกายที่สุดในหมู่นามสกุลของชาวเหนือ และพูดได้กระทั่งว่าตระกูลนี้โดดเด่นเปล่งประกายที่สุดในหมู่เหล่าผู้ดีในนอร์ซิน
พวกนักล่ามีถิ่นกำเนิดมาจากดินแดนทางเหนือ
ด้วยการอุบัติขึ้นของนักล่าคนแรกที่เป็นคนธรรมดาไร้เวทมนตร์ ความรู้หรือพรสวรรค์เหนือธรรมชาติอย่างเรี่ยวแรงเหนือมนุษย์คนแรกที่ได้รับพลังที่สามารถต่อสู้กับสัตว์มายาได้
เพราะเหตุนั้น ชาวเหนือจึงมีจุดยืนที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของทั้งมนุษย์ทั่วไปและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติโดยไม่ต้องสงสัย เกียรติภูมิในอดีตของพวกเขายังคงถูกบันทึกด้วยภาษาของพวกเขา และเป็นหนึ่งในข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ถูกใช้โดยกว้างขวางที่สุด
แต่ก็เช่นกัน เพราะเหล่าชาวเหนือยกย่องพวกนักล่ามากเกินไป ผลจึงกลายเป็นว่าพวกเขาใช้เลือดอสูรมากจนเกินเหตุ และผลที่ตามมาก็คือเกิดการกลายพันธุ์เดรัจฉานที่กลายเป็นภัยพิบัติร้ายแรง
พลังของเลือดอสูรที่สะสมในร่างกายของชาวเหนือแผลงฤทธิ์ของมันออกมาพร้อม ๆ กัน ก่อให้เกิดเป็นโรคร้ายที่เปลี่ยนคนที่ใช้เลือดอสูร ไม่ว่ามากน้อยแค่ไหนก็กลายเป็นสัตว์ร้ายไปด้วยเช่นกัน
ภัยพิบัตินี้ทำให้ประชากรของชาวเหนือหดวูบไปพอสมควรในพริบตา และสูตรดั้งเดิมหลายต่อหลายสูตรของเหล่านักล่าก็ถูกกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง เกียรติภูมิของพวกเขาจึงหดเหลือเพียงความสามัญ และสุดท้ายก็เหลือประชากรชาวเหนือในนอร์ซินเพียงน้อยนิด
ทว่าความเทิดทูนของชาวเหนือต่อเหล่านักล่าก็ยังคงอยู่จนวันนี้
นี่ก็ยังเป็นเหตุผลด้วยที่จี้จือซู่ตัดสินใจมาเป็นนักล่า แทนที่จะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายอื่น ๆ
แน่นอนว่าตัวเธอในตอนนี้ไม่ได้เป็น ‘ผู้ถักทอฝันร้าย’ จี้จือซู่ นายหญิงของ ‘แมงมุม’ องค์กรนักล่าที่มาแทน ‘หมาป่าขาว’ แต่อย่างใด
กลับกัน เธอคือจี้จือซู่ ทายาทหญิงผู้สูงส่งของตระกูลจี้ และบุตรสาวคนเดียวของประธานบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์
จี้จือซู่สวมชุดเดรสสีดำเปิดไหล่และมีกุหลาบสีแดงติดที่อกของเธอ เผยให้เห็นไหปลาร้าอันวิจิตรและลำคองามระหง เธอยกชายกระโปรงของเธอในขณะที่เดินเหยง ๆ ผ่านทางเดินด้วยรองเท้าส้นสูง
ใบหน้างดงามของเธอเปล่งประกายภายใต้แสงสว่าง สายตาดั่งเหล็กของเธอคมกริบ และร่างสะโอดสะองของเธอก็ยิ่งทำให้ขาที่เรียวยาวของเธอดูโดดเด่น ในตอนนี้…เธอดูสูงส่งงดงามอย่างสุดกู่
เหล่าคนรับใช้ตลอดทางต่างถอยทางให้เธอพลางค้อมตัวลงอย่างนอบน้อม
หลังจากผ่านห้องมากมายและเลี้ยวซ้ายขวาไม่รู้กี่ครั้ง ในที่สุดเธอก็มาถึงหน้าประตูบานหนาที่หรูหราราวประตูราชวัง
เมื่อประตูบานมหึมาเปิดออก สิ่งที่เข้ามาในคลองจักษุก็คือเกลียวม่านขาวที่ร่ายรำที่ระเบียงไกล ๆ ซึ่งผู้ที่ยืนอยู่จะเห็นภาพวิวทั้งหมดจากมุมสูงได้ ทั้งสวนส่วนตัวที่ล้อมรั้วไว้ สระน้ำพุขนาดมหึมา ทางเดินที่ขนานกันอย่างสมบูรณ์แบบแถวแล้วแถวเล่า ลำธารจำลองขนาดเล็กสีคราม… แสงเจิดจ้าจากท้องฟ้ายามราตรีนั้นราวกับค่ำคืนในฤดูร้อนอันพร่างพราวด้วยดวงดารา ประดับประดาสภาพแวดล้อมให้สงบเงียบและสะกดทุกลมหายใจ
ด้วยความที่นอร์ซินเป็นเมืองที่เกิดจากมนุษย์สร้าง จึงไม่ได้มีจุดดึงดูดใด ๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในเมือง
ดังนั้นพื้นที่กว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วย ‘ขุนเขา ป่าไม้ และลำธาร’ ที่กลางแห่งเมืองนี้ ที่จริงแล้วก็ถูกสร้างขึ้นมาทั้งนั้น
ซึ่งนั่นก็ยังหมายความว่าทิวทัศน์ที่ ‘ดูเป็นธรรมชาติ’ ข้างนอกนี้ ที่จริงแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของคฤหาสน์ A16
ที่จริงแล้วมันไม่ควรถูกเรียกว่า ‘คฤหาสน์’ แต่ควรเรียกว่า ‘เขต’ แทน
คฤหาสน์ A16 กินพื้นที่หลายหมื่นตารางกิโลเมตร คฤหาสน์…หรือควรเรียกว่าปราสาท…ที่หรูหราสี่ชั้นกินพื้นที่หนึ่งในสิบของพื้นที่ทั้งหมด และพื้นที่ที่เหลือก็กลายเป็นจุดชมวิวธรรมชาติสังเคราะห์
ตามหลักเหตุผลแล้ว เมื่อพูดถึงโครงสร้างเชิงสถาปัตยกรรมที่แออัดของนอร์ซินแล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้พื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้กลายเป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานที่ใจกลางเขตกลางแบบนี้ที่ที่ดินทุกตารางนิ้วแพงราวกับทอง
แต่ตระกูลจี้รวยเละเกินไปจริง ๆ
อันที่จริงแล้ว จี้ป๋อหนงได้กว้านซื้อคฤหาสน์ตั้งแต่ A16 ไปถึง A20 แล้วรวมพวกมันเป็นเขตอาศัยใหม่ที่ชื่อ ‘คฤหาสน์ A16’
หรือที่ผู้ดีบางคนในเขตกลางเรียกว่า ‘เกาะแห่งเดียวในนอร์ซิน’
แม้จะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็ไม่มีกฏอะไรมาห้ามไม่ให้ทำ หลังจากหารือกันสักพัก เหล่าผู้มีอำนาจในเขตกลางก็ตอบตกลงทันที
ขณะที่อาซีร์เสียมหาสมุทรและเกาะต่าง ๆ ไปแล้วหลังจากถูกกำแพงหมอกปกคลุม จากบันทึกทางประวัติศาสตร์มันก็ยังไม่ยากที่จะจินตนาการถึงเกาะโดดเดี่ยวที่ตั้งอยู่อย่างเดียวดาย ต้อนรับคลื่นลมในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ในหมู่คลื่นโลหะของนอร์ซิน ‘คฤหาสน์ A16’ คือเกาะที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวแห่งนั้น
มันคือแหล่งพักผ่อนสีเขียวสำหรับเหล่าผู้ดีผู้ฟุ้งเฟ้อ…
ทุก ๆ สองถึงสามเดือน จี้ป๋อหนงจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ขึ้นที่นี่แล้วส่งบัตรเชิญออกไปเป็นวงกว้าง ทั้งเหล่าผู้ดี นักธุรกิจ หรือกระทั่งผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็ได้รับเชิญ
คนเหล่านี้ต่างภาคภูมิใจที่ได้รับเชิญ แม้ว่าพวกเขาอาจไม่ได้พบปะกับเจ้าบ้านตรง ๆ ก็ตาม แต่อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่มีค่าพอให้คุยโอ่ไปได้เป็นปี ๆ
และด้วยงานเลี้ยงนั้น จี้ป๋อหนงก็ได้สร้างสัมพันธไมตรีกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงไว้หลายคน
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูง นอกจากพวกระดับเหนือนภาแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์และหวั่นไหวได้ง่ายต่อผลประโยชน์เงินตรา โดยเฉพาะจากบุคคลมีอิทธิพลอย่างประธานบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์
ทว่าในช่วงนี้ งานเลี้ยงเหล่านี้ถูกพักมาสักระยะหนึ่งแล้ว
จี้จือซู่ปิดประตูพลางมองไปที่โต๊ะทำงานอันกว้างขวางที่อยู่ข้างหน้าต่าง ซึ่งชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังทำเอกสารต่าง ๆ นานา
จี้ป๋อหนงวางปากกาของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนล้าเล็กน้อยของเขา เขานวดขมับแล้วถามออกมา “มีอะไรเหรอ? มีอะไรที่พ่อช่วยได้บ้าง? องค์กรนักล่าขาดงบหรือเปล่า?”
จี้จือซู่ขยับดอกกุหลาบที่หน้าอกของเธอ และตอนนั้นเองกลีบดอกของมันก็บานออก เผยให้เห็นความมืดมนเกินคาดที่จะหยั่งถึงซึ่งอยู่ภายใน จี้จือซู่ล้วงเข้าไปหยิบเอกสารหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะของจี้ป๋อหนง
“เรื่องงบน่ะมีเกินพอค่ะ แต่ถ้าพ่อยังเลื่อนการไปเยือนร้านหนังสือออกไปมากกว่านี้ คนอื่น ๆ จะฉกผลประโยชน์ไปแบ่งกันหมดก่อนนะคะ”
จี้ป๋อหนงหยิบเอกสารมาอ่าน แล้วคิ้วของเขาก็เลิกขึ้นอย่างแปลกใจ “ครั้งนี้…เป็นสมาคมแห่งสัจธรรมเหรอ?”
สายตาของเขาเหลือบไปที่มุมขวาบนโต๊ะของเขาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งตรงนั้นมีรายงานปึกหนึ่งที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันที่ระบุถึงทุกองค์กรและบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับร้านหนังสือและผลที่พวกเขาได้รับ
รายงานล่าสุดคือการก่อตั้งศาสนาแห่งตะวัน
ก่อนหน้านั้น จี้ป๋อหนงได้พึ่งพิงแต่เครือข่ายข่าวกรองของเขา แต่ตอนนี้ข่าวกรองจากลูกสาวของเขาพัฒนาไปไกลกว่าเขามากแล้ว…