บทที่ 270 : คุณว่ามันตลกดีไหมครับ?
ตอนนี้…การถอนคำพูดเมื่อครู่คงน่าอายเกินไปแล้ว
แต่ลึก ๆ แล้ว หลินเจี๋ยรู้สึกว่าทายาทสาวของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ จี้จือซู่คงไม่ส่งของไร้ค่ามาให้เขาจริง ๆ หรอก เพราะนั่นจะไม่สมกับฐานะของเธอเอาเสียเลย…
“เราไม่ได้เอาของมีค่ามากมายอะไรมา” ต้องเป็นคำพูดถ่อมตัวของอีกฝ่ายแหง ๆ
เฮ้อ…การพูดคุยกับพวกคนชั้นสูงนี่เหนื่อยแท้หนอ ต้องมาคอยสงสัยว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือแค่ถ่อมตัวตามมารยาท
ตัวคุณหลินเองลืมไปแล้วว่าเขาก็เพิ่งพูดตามมารยาทไปเมื่อกี้นี้เอง
ไม่ว่าอย่างไร จี้จือซู่ก็นำของขวัญมาจริง ๆ… เขาแค่พูดเล่น ๆ และไม่คิดเลยว่าคำพูดของเขาจะตรงเผง
สองคนนี้นี่ช่าง…เห็นอกเห็นใจกันดีจริง ๆ!
สายตาของหลินเจี๋ยทอดมองลงไปที่กระเป๋าใบใหญ่ที่คนขับรถถืออยู่ นั่นเหรอของขวัญ? มันดูหนักแฮะ คงไม่ใช่ว่าเป็นกระเป๋าใส่เงินหรอกใช่ไหม?!
…ช่างมัน! เลิกคิดเถอะ อย่าคาดหวังอะไรดีกว่า
หลินเจี๋ยนึกถึงครั้งก่อนที่เขาเปิดกล่องของขวัญที่เชอร์รี่ให้เขามาเมื่อก่อนหน้านี้อย่างกระตือรือร้น แต่แล้วก็พบว่าข้างในบรรจุฟอสซิลหัวใจ
อารมณ์ของเขาหมุนหวือราวรถไฟเหาะ และเขาก็ไม่อยากจะประสบมันเป็นครั้งที่สอง
ที่ฝั่งตรงข้าม จี้จือซู่เปิดกระเป๋าออกแล้ว
“…”
ตัวล็อกกระเป๋าเปิดออก และของข้างในก็เผยออกมาอย่างสมบูรณ์ และทันใดนั้นแสงสว่างเจิดจ้าสะกดสายตาก็เปล่งออกมา
ความสนใจของหลินเจี๋ยถูกดึงดูดไปทันที แล้วเขาก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แสงสีทองที่พุ่งออกมาตรงหน้าเขาราวกับเป็นฉากในหนัง…แน่ล่ะว่าพูดเกินจริง
แต่สิ่งที่อยู่ในกระเป๋านั้นสะดุดตาจริง ๆ มันดูเหมือนสิ่งที่จะปรากฏออกมาจากในกล่องสมบัติตามแอนิเมชันต่าง ๆ
คำว่า ‘ไม่มีค่า’ จากปากคนรวยนี่มันโม้ทั้งเพ!
ของส่วนใหญ่ในกระเป๋าใบนี้ดูประเมินค่าไม่ได้ ทั้งมงกุฏมรกต สร้อยมุกสีเงิน รูปปั้นเหมือนจริง กริชใบโค้งที่ประดับประดาด้วยอัญมณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอปเปิลทองคำบริสุทธิ์!
ทองคำบริสุทธิ์!
ใหญ่ขนาดนี้!
หลินเจี๋ยพยายามบังคับปากของตนเองแบบสุดความสามารถเพื่อคงรอยยิ้มมืออาชีพเอาไว้ เพื่อให้ตนเองดูไม่หวั่นไหวไปกับเงินตราอย่างคนทั่วไป
สุดท้ายแล้ว คำพูดก็ถูกพูดออกไปแล้ว หากแสดงออกน่าเกลียดเกินไป บุคลิกภาพของอาจารย์สอนวิชาชีวิตคงพังไม่เป็นท่า
สมกับเป็นคุณหนูของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ ใจกว้างจริง ๆ!
ของไม่มีค่าพวกนี้ เอามาให้ผมอีกสักหน่อยก็ได้นะ!
ไม่เสียแรงที่ให้คำแนะนำเธออย่างจริงจังมาสามสี่ครั้ง เมื่อสามเดือนก่อนที่เราเริ่มการต้ม…แค่ก ๆ! ต้มซุปไก่เพื่อจิตวิญญาณในครั้งนั้นจนตอนนี้ ในที่สุดก็ผลิดอกออกผลแล้ว
แถมยังมาซะกองเบ้อเริ่ม
จี้จือซู่พูดอย่างประหม่าเล็กน้อย “พวกนี้… คือของขวัญจากฉันค่ะ คุณรู้สึกอย่างไรบ้างคะ?”
หลินเจี๋ยยิ้มแล้วพูดว่า “ผมว่า…อืม ก็ไม่เลวนะครับ แต่ก็ยังดูมีค่าเกินไป มันสำคัญเกินกว่าจะเอามาให้ผมนี่ครับ?”
จี้จือซู่ลำบากใจ เธอคิดเสมอว่ารอยยิ้มของเจ้าของร้านหลินสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย ราวกับมีความนัยบางอย่าง
คำพูดพวกนี้ต้องเป็นการทดสอบแน่ ๆ ว่าความตั้งใจของเธอหนักแน่นพอไหม!
“ไม่ค่ะ ไม่เลย ของพวกนี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลยค่ะ เทียบกับความช่วยเหลือจากคุณแล้ว ของขวัญพวกนี้ด้อยค่ากว่าจริง ๆ หากคุณเต็มใจรับมันไว้ ก็จะเป็นการยอมรับต่อฉันที่ดีที่สุดเลยล่ะค่ะ”
ดวงตาของจี้จือซู่เต็มไปด้วยคำเว้าวอน แต่หลินเจี๋ยรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก
ถึงเขาจะเป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัวหรูหราและไม่ได้ขอสิ่งตอบแทนใด ๆ
ทว่าในเมื่อลูกค้าตั้งอกตั้งใจจะให้ของขวัญแพง ๆ กับเขา เขาก็ต้องรับมันมาเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจแหละ
“ถ้าเป็นอย่างนั้น…”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฝั่งเคาท์เตอร์ถอนหายใจ แล้วหัวใจของจี้จือซู่ที่ดิ่งวูบก็ค่อย ๆ ยกระดับกลับขึ้นมา แล้วเธอก็ได้ยินเขาพูดว่า “อืม…เป็นน้ำใจที่หนักแน่นมาก ผมขอรับของขวัญพวกนี้ไว้แล้วกันครับ”
จี้จือซู่มองตาค้าง จากนั้นหัวใจของเธอก็สั่นไหว กำหมัดแน่น ตัวสั่นไปทั้งตัว เกือบหลุดอาการออกมา
เขารับมันไว้!
หรือก็คือเขายอมช่วยเราแล้ว!
โชคชะตาของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ในตอนนี้ พูดได้แล้วว่าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!
จี้จือซู่สูดหายใจลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ แล้วพูดด้วยเสียงสั่น ๆ “ถ้าคุณชอบของขวัญพวกนี้ ก็เป็นเกียรติสูงสุดของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์แล้วล่ะค่ะ…”
“ถึงมันจะไม่ได้มีราคาอะไร แต่ผมก็ชอบมันมากเลยครับ คุณใจกว้างมากเลย”
หลินเจี๋ยยื่นมือออกไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ทีแรกเขาจะคว้าแอปเปิ้ลทองคำ แต่ระหว่างทางเขาก็คิดว่านั่นก็ไม่ต่างจากการเผยความรู้สึกลึก ๆ ในใจออกมาเหรอ?
ไม่ดี๊ไม่ดี!
สายตาของเขากวาดไปที่ด้านข้าง แล้วเห็นเศษหินที่หาได้ทั่วไป
อะไรเนี่ย?
ในกองสมบัติแบบนี้ ของชิ้นนี้ดูไม่มีค่าเลยจริง ๆ แต่ที่เขียนไว้บนนั้นก็ดูเหมือนอักษรรูนที่หาไม่ได้ทั่วไปด้วย จากประสบการณ์ของหลินเจี๋ยแล้ว สิ่งนี้น่าจะเป็นวัตถุโบราณที่นักโบราณคดีขุดขึ้นมาได้
หรือเป็นเพราะเธอได้ยินว่าเชอร์รี่ส่งฟอสซิลโบราณมาให้เขา ก็เลยไปหาของลักษณะเดียวกันมาให้เขาเป็นพิเศษ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นแค่ ‘เรื่องบังหน้า’ เท่านั้นเอง
หลินเจี๋ยเอื้อมมือไปหยิบแผ่นศิลาแล้วพูดอย่างจริงจัง “บางครั้ง ราคาของสิ่งของอาจไม่ได้ขึ้นกับรูปลักษณ์ที่ดูมีค่ามากน้อย แต่ขึ้นกับมูลค่าเพิ่มที่ติดอยู่กับมัน คนก็เช่นกัน พื้นหลังครอบครัวตัดสินโชคชะตาไม่ได้ มีแค่ตัวเราเองที่สามารถไขว่คว้าอนาคตของเราได้ ช่วยเหลือตนเองและขอให้คนอื่นช่วยเพื่อผลที่ดีที่สุด”
แต่ถึงจะพูดแบบนี้ ก็ยังมีพวกที่ใช้จิตวิทยาย้อนกลับกันอยู่บ้าง
พวกนั้นมักจะโผล่มาพูดอะไรคล้าย ๆ กับพวกลัทธิต้มตุ๋นว่า ‘กลางหน้าผากคุณคล้ำ ชะตาของคุณจะอยู่ต่อได้อีกไม่นานแล้ว เรามียาวิเศษที่จะช่วยคุณก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิตของคุณได้อยู่นะ’ ซึ่งเราก็ควรเดินหนีไปให้ไกล
หากเขาทำท่าทางประหลาดใจแล้วอุทานว่า “ชีวิตนั้นอนิจจัง โอ้ ช่วยไม่ได้แล้ว” แล้วหันเดินจากไป บางทีคนก็อาจจะกระวีกระวาดตามไปขอความช่วยเหลือจากเขาก็ได้
คำพูดของหลินเจี๋ยก็ใกล้เคียงกับคำพูดพวกนี้แหละ เขาบอกว่าให้แต่ละคนช่วยเหลือตนเอง แต่ก็แทรกไว้ด้วยว่าสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ นี่ทำให้พวกเขากังวลกันมากขึ้นแน่ ๆ
ลูกไม้พวกนี้ต้องไม่เป็นมิตรเกินไปหรือถือตัวเกินไปถึงจะดี…
จี้จือซู่พยักหน้าเร็ว ๆ แล้วฝืนยิ้มพูด “เข้าใจแล้วค่ะ คำขอนี้เป็นคำขอที่ไม่ประมาณตัวเองจริง ๆ แต่ฉันก็เต็มใจจะจ่ายทุกราคาเพื่อมันนะคะ…”
ในระหว่างที่เธอพูด สายตาของเธอก็มองไปที่แผ่นศิลาในมือหลินเจี๋ยแล้วอดมีความรู้สึกปนเปไม่ได้ สมกับที่เป็นเจ้าของร้านหลิน เขามองเห็นสิ่งที่ลึกลับและมีค่ามากที่สุดได้ทันทีเลย
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าสายตาของคุณหนูจี้ดูแปลกมาก เขาหยิบแผ่นศิลามาแท้ ๆ แต่เธอมองราวกับว่าเขาหยิบแอปเปิลทองคำขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
แต่เมื่อเขามองลงมา เขาก็พลันนึกขึ้นได้ จริงสิ เรายังถือทับทิมที่แอนดรูว์ให้มาอยู่เลยนี่นา
“เฮ้อ…เรื่องมีราคาหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญหรอกครับ เราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อกันเหมือนคนนอกสักหน่อย” หลินเจี๋ยแย้มยิ้มแล้วหยิบทับทิมขึ้นมาส่ายไปมา “ก่อนหน้านี้ แอนดรูว์ก็มาขอโทษผม เขาส่งของคล้ายนาฬิกาที่เป็นงานฝีมือมาให้ แล้วก็ทับทิมเม็ดนี้”
เขาเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน “คุณรู้จักเจโรมไหมครับ?”
จี้จือซู่จ้องมองแล้วพูดขึ้นว่า “รู้จักค่ะ รองหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรมของสมาคมแห่งสัจธรรมที่เพิ่งตายไปไม่นานนี้…”
หลินเจี๋ยยิ้มแล้วพูดต่อ “ครับ แอนดรูว์ก็เรียกทับทิมเม็ดนี้ว่าเจโรมเหมือนกัน คุณว่ามันตลกดีไหมครับ?”