บทที่ 287 : ความเข้าใจที่ถูกบิดเบือนของหลินเจี๋ย
บันทึกประจำวันจบลงอย่างกะทันหันตรงนี้
เจ้าของสมุดบันทึกน่าจะกำลังใกล้ตาย
ส่วนที่เหลือ รวมทั้งหน้าอื่น ๆ ที่กระจายอยู่เต็มไปหมดล้วนเกี่ยวกับเจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้ หรือก็คือ ‘ฉัน’ ในบันทึกประจำวัน และ ‘ข้อความจากอารยธรรมที่ไม่รู้จัก’ และ ‘รหัสลับจากต่างโลก’ ที่เขาอ้างว่าวิจัยเสร็จแล้วบางส่วน
แม้ว่าจะดูเหมือนมีศัพท์เทคนิคที่คลุมเครืออยู่มากมาย แต่สำหรับหลินเจี๋ยผู้ซึ่งเคยขลุกอยู่ในแวดวงการภาษาศาสตร์มามากแล้ว มันก็ยังอยู่ในขอบเขตของความเป็นมืออาชีพ
สุดท้ายแล้ว การศึกษาคติชนก็ยังรวมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในขอบเขตกว้าง ๆ และไม่ยากเลยที่จะเข้าใจเรื่องที่คล้ายกันโดยการเปรียบเทียบ
สิ่งที่เข้าใจยากจริง ๆ คือ การที่จู่ ๆ ผู้บันทึกจะเขียนข้อความที่ยุ่งเหยิงและไม่ปะติดปะต่อกันออกมา ทำลายความสมบูรณ์ของบันทึกการวิจัยทั้งหมดไป
แต่เมื่อพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของจังหวะการเขียนและบันทึกประจำวันที่เกี่ยวข้องแล้ว ในตอนที่เขียนเนื้อหาเหล่านี้ เจ้าของบันทึกนี้ส่วนใหญ่จะรู้สึกตื่นเต้นและเต็มไปด้วยแรงใจที่สุด
จากที่เขาว่าไว้ว่า ‘มีแนวคิดใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ และ ‘เข้าใจในความหมายของคำเหล่านี้อย่างสมบูรณ์แล้ว’ แสดงให้เห็นว่าการวิจัยของเขาก้าวหน้าอย่างมาก
การแยกคำพูดที่เสียสติกับเนื้อหาการวิจัยจริง ๆ สิ่งที่ผู้ที่อ่านสมุดบันทึกนี้ต้องทำเพื่อแยกประเด็นหลักที่สำคัญและมีค่าที่สุดออกมา
ทว่า… ขอบเขตของมันก็อยู่ที่ว่าบันทึกนี้ต้องมีความหมายและน่าอ่านจริง ๆ
คน ๆ นี้ไม่ได้บ้าจริง ๆ ใช่ไหมนี่?
หลังจากอ่านจบแล้ว หลินเจี๋ยก็มีคำถามเช่นนี้ในใจ
แต่ที่จริง จากเนื้อหาที่อยู่ในสมุดบันทึกเล่มนี้ เขาก็ได้คำตอบแล้ว
ในตอนแรก เจ้าของสมุดโน้ตเล่มนี้ได้เกริ่นไว้แล้วว่า ‘เจ้าหวัง’ ในทีมของเขาเสียสติไปเพราะทนแรงกดดันไม่ได้
จากรายละเอียดพวกนี้ ก็อนุมานได้ไม่ยาก
นั่นคือเจ้าของสมุดบันทึกค่อย ๆ เสียสติขณะติดตามทีมโบราณคดีทั้งหมดเพื่อขุดค้นและค้นคว้างาน และเป็นบ้าตายไปเหมือนกันเจ้าหวังกับสมาชิกในทีมคนอื่น ๆ ที่เสียชีวิตไปกลางทาง
ในตอนแรก บันทึกไม่มีปัญหาอะไร และงานวิจัยที่แนบมาก็เป็นระเบียบเช่นกัน มันเริ่มมาผิดปกติจริง ๆ…ก็นับแต่ตอนที่ทีมวิศวกรขุดพบ ‘ประตู’ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม
หลินเจี๋ยพลิกสมุดบันทึกแล้ววิเคราะห์ในใจ ก่อนที่ประตูนี่จะโผล่มา สภาพอากาศในบันทึกนั้นแจ่มใสอยู่เสมอ แต่หลังจากนั้นก็มีฝนตกตลอดเลย และนั่นแหละสัญลักษณ์ผิดปกติที่แบ่งแยกช่วงก่อนกับช่วงหลัง
ถึงมันจะคล้ายกับพายุฝนต่อเนื่องในนอร์ซินก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่คงเป็นไปไม่ได้ถ้าพายุฝนจะเกิดต่อเนื่องกันไปเป็นเดือน ๆ ได้ และปัญหาก็คือ…จากนั้นพวกเขาก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกจากโคลนและหินถล่ม
ถ้าเป็นการรั่วไหลของน้ำบาดาลก็คงไม่เป็นไร น้ำบาดาลลึก ๆ คือน้ำอุ่นจริง ๆ นั่นแหละ และประสาทสัมผัสก็ทำงานได้ปกติจริง ๆ
แต่ในบันทึกเขียนย้ำคำว่า ‘ฝน’ ซ้ำ ๆ และในกลุ่มนักโบราณคดีร่วมสามสิบคนก็น่าจะมีนักธรณีวิทยาอยู่ด้วย ไม่มีเหตุผลที่จะเรียกมันว่าเป็นน้ำฝนเลย
ดังนั้น…ถ้ารวมเฒ่าอู๋ที่เคยทำให้เจ้าของสมุดบันทึกรู้สึกขุ่นเคืองและเสียลิ้นของเขาไปในตอนที่ปรากฏตัวในภายหลัง และเมื่อเขาแสดงผลการวิจัยของเขาให้คนอื่น ๆ ดูแต่ไม่ได้รับความเข้าใจที่ตรงกัน เขาเลยทะเลาะกัน แล้วหลังจากนั้นสามวัน สมุดบันทึกก็ถูก ‘ฝน’ ทำให้เปียกชื้นและสูญเสียเนื้อหาไป
‘ฝน’ ที่ว่านั่น ที่จริงแล้วน่าจะเป็นน้ำเลือดแล้วล่ะ
หลินเจี๋ยมองรอยเลือดบนสมุดบันทึกและนึกถึงข้อความที่เขียนว่า “เมื่อเช้ากินอะไรไปบ้าง ฉันยังจำไม่ได้เลย”
…
ดูเหมือนว่าบันทึกนี้จะมีเรื่องราวที่น่าสลดใจอยู่
หลินเจี๋ยถอนหายใจ แล้วในใจก็พอจะมีเค้าโครงการคาดเดาคร่าว ๆ แล้ว
ถ้าหากบังเอิญเดาถูก ทีมโบราณคดีนี้ก็น่าจะมาจากโลก พวกเขาน่าจะขุดทางผ่านโลกมายังอาซีร์ แล้วเข้าไปในซากปรักหักพังของเมืองนอร์ซินเขตล่าง
แล้วบางทีก็อาจเป็นเพราะสนามแม่เหล็กทั้งสองข้างเคลื่อนตัว หรือก็อาจมีปัญหาเกิดขึ้นในการข้ามจุดเชื่อมระหว่างโลก แล้วทั้งทีมก็ถูกกำจัดเกลี้ยง…เหลือเพียงบันทึกพวกนี้เท่านั้น
ด้วยเรื่องนี้ คำกล่าวของเจ้าของสมุดบันทึกที่ว่า ‘พวกเขาจะยิ่งใหญ่กว่าโคลัมบัส’ จึงเข้าใจได้ไม่ยาก
โคลัมบัสนั้นก็แค่ ‘ค้นพบ’ ทวีปใหม่ แต่คนเหล่านี้พบโลกใหม่อีกใบ!
ถ้าผลการวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ออกไปได้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนเหล่านี้จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์!
แต่น่าเสียดายที่อย่างน้อย ก่อนที่หลินเจี๋ยจะย้ายโลกมา เขาก็ไม่ได้รับข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนเลย ‘สถาบันวิจัย’ ที่สนับสนุนกิจกรรมของพวกเขาอาจได้พบปัญหาบางอย่างหลังจากที่พวกเขาตายไปแล้ว ก็เลยไม่มีข่าว จนกระทั่งหลินเจี๋ยย้ายโลกมาแล้วได้รับสมุดโน้ตเล่มนี้
ก่อนหน้านี้เขาก็เคลือบแคลงในชื่อ ‘มิคาเอล’ ของเจ้าหนูไมค์เหมือนกัน รวมไปถึงที่มาของชื่อวิถีแห่งดาบอัคคีด้วย
ตอนนี้…เรื่องทุกอย่างก็น่าจะชัดแล้ว
บางทีคนที่ตั้งชื่อองค์กรว่าวิถีแห่งดาบอัคคีคงไปเจอคัมภีร์ไบเบิลที่เส้าอีเหวินทำหายเข้า แล้วจึงทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีบางจุดในบันทึกนี้ที่เข้าใจได้ยาก ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะยังสามารถอธิบายเรื่องได้โดยที่เสียสติและมีแทรกบทพูดไร้สาระ แต่เนื้อหาบางส่วนก็ทำให้ผู้คนกังวลได้อย่างมาก
เช่น ‘สิ่งนั้น’ ที่กัดเส้าอีเหวินไปครึ่งตัวคืออะไร?
เช่น เสียงร้องของทารกที่เจ้าของสมุดบันทึกได้ยินแล้วเขียนไว้ในช่วงสุดท้าย คืออะไรกันแน่?
และเช่นอีกครั้ง ชะตากรรมสุดท้ายของศาสตราจารย์หลิน ศาสตราจารย์จาง และศิษย์คนนั้นของศาสตราจารย์หลินเป็นอย่างไร?
แต่ทว่า สิ่งที่หลินเจี๋ยให้ความสนใจไม่ใช่เรื่องพวกนี้เลย
จุดที่สำคัญที่สุดคือข้อความที่บันทึกไว้ตลอดทั้งบันทึกนี้คือ ‘ข้อความจากอารยธรรมที่ไม่รู้จัก’ และ ‘รหัสลับจากต่างโลก’ ซึ่งเป็นภาษาทั่วไปของนอร์ซิน
ในสายตาหลินเจี๋ยแล้ว ภาษาทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นอักษรจีนธรรมดา ๆ…
ใช่แล้ว มันคืออักษรจีนชัด ๆ ความหมายแต่ละคำชัดเจนมาก
อย่างมากที่สุดก็แค่ถอดความหมายเพี้ยนนิดหน่อย
และเจ้าของบันทึกนี้ก็ปักหลักที่นั่นเพื่อศึกษาคำเหล่านี้อย่างจริงจัง เขาตีความหมายถูกบ้างคลาดบ้าง แล้วบางครั้งเขาก็พูดอะไรไร้สาระด้วย ดูตลกดีแปลก ๆ
ที่ตลกไปกว่านั้นคือผู้ชายคนนี้ก็ใช้ภาษาจีนในการเขียนบันทึก
เหมือนขี่ลาเพื่อหาลาไม่มีผิด
ดังนั้น ในสายตาของหลินเจี๋ยแล้ว สมุดบันทึกเล่มนี้ทั้งเล่มจึงไร้ความหมายเหมือนกับคนนอนละเมอ และยังทำให้ตัวเขาอยากจะหัวเราะขำอีกด้วย
แต่ตอนนี้เขายิ้มไม่ออกแล้ว
สถานการณ์แบบนี้ มีความเป็นไปได้อยู่แค่สองอย่าง
หลินเจี๋ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมลง หนึ่งก็คือเจ้าของบันทึกนี้บ้าไปแล้วตั้งแต่แรก กระทั่งก่อนที่ ‘ประตู’ จะโผล่มา หรือก็คือการวิจัยนี้ไม่มีอยู่จริง และเป็นเพียงแค่เขาประสาทหลอนไปเองเท่านั้น
และสอง…คือหลังจากที่เราย้ายโลกมา การรับรู้ของเราก็ถูกบิดเบือนให้เข้าใจอักษรของต่างโลกโดยอัตโนมัติ ในสายตาพวกเขา อักษรพวกนี้เป็นข้อความที่อ่านไม่ได้ของอารยธรรมที่ไม่รู้จัก แต่ในสายตาเรา อักษรเหล่านี้กลับเป็นอักษรจีนที่คุ้นเคย