บทที่ 289 : เขากำลังยิ้ม!
วาลลิสในร่างแปลงนกพิราบสั่นสะท้านอย่างรุนแรงไปทั้งตัว ภาพแปลก ๆ อันน่าสะพรึงกลัวที่ปรากฏต่อสายตาของเขาเมื่อครู่เกือบทำให้เขากระพือปีกแล้วร่วงลงไปในทันที
ลูอิสแอบเข้าไปในร้านหนังสือได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เลย ทำเพียงซุ่มรอโจมตีอยู่ในเงามืดที่ในชั้นหนังสืออย่างเงียบ ๆ ตามปกติ
ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องปกติมาก และไม่ได้มีอุปสรรคใด ๆ ระหว่างทาง
เจ้าของร้านหนังสือที่กำลังอ่านหนังสือเป้าหมายอยู่หลังเคาน์เตอร์ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาในร้านหนังสือของเขาเลย และเขายังคงเพ่งสายตาอย่างครุ่นคิดไปที่หน้าหนังสือ
สำหรับเรื่องนี้ การลอบโจมตีที่สำเร็จและสมบูรณ์แบบของ ‘มือสังหารเงา’ นั้นเป็นเรื่องปกติ
เพราะถึงอย่างไร ความเชี่ยวชาญของพวกเขาก็คือการลอบสังหารอยู่แล้ว
ขนาดร่างกายของพวกเขาเองก็ยังถูกดัดแปลงเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งภูตเงา คนระดับภัยพิบัติทั่วไปไม่สามารถตรวจจับการดำรงอยู่ของพวกเขาได้ และด้วยระดับอย่างลูอิส ขอแค่เขาไม่ทำอะไรกระโตกกระตาก แม้แต่ระดับเหนือนภาก็คงไม่รู้ตัวเช่นกัน
พวกเขาคือ ‘ด้วงเงา’ ที่วิถีแห่งดาบอัคคีเลี้ยงไว้ พวกเขาเป็นลิ่วล้อระดับสูงที่สุดในองค์กรนี้และรับผิดชอบงานทั้งหมดที่เชื่อมโยงกับสมาชิกระดับล่าง และพวกเขาก็ต้องอยู่หลังฉากเสมอ
รวมถึงการยอมรับและทดสอบสมาชิกใหม่ที่คาดหวังว่าจะเข้าร่วมกับองค์กร และการทำงานลอบสังหารให้กับองค์กร
การที่วาลลิสอยากเข้าร่วมองค์กรนี้ก็เนื่องมาจากเขาได้รับการแนะนำมา และบุคคลที่แนะนำเขาก็คือผู้เฒ่าคนปัจจุบันของตระกูลซาพีร์ ‘ราชาหมาป่า’ ฮอฟแมน
ใช่แล้ว ผู้เฒ่าของตระกูลซาพีร์ก็เป็นสมาชิกของวิถีแห่งดาบอัคคีเช่นกัน
วาลลิสเป็นลูกน้องที่ฮอฟแมนเชื่อใจ เขาย่อมเชื่อฟังผู้เฒ่าของตระกูลที่เขาให้ความภักดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงมาติดตามมือสังหารเงาคนนี้ชั่วคราวเพื่อบรรลุบททดสอบเพื่อคัดเลือกสมาชิกใหม่ภายใต้การจับตามอง
และเมื่อมีฮอฟแมนรับประกันให้เขา ภารกิจของวาลลิสก็พูดได้ว่าไม่มีความยากเลย
มันก็แค่การขโมยหนังสือที่ค่อนข้างพิเศษจากร้านหนังสือมือสองธรรมดา ๆ และคนที่เขาต้องให้ความสนใจก็มีแค่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนอื่น ๆ ที่ต้องการหนังสือเล่มนั้นด้วยเท่านั้นเอง
จากข้อมูลที่วาลลิสได้รับ ไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย อย่าว่าแต่มือสังหารฆ่าเงาผู้ลึกลับเกินหยั่งรู้อย่างลูอิสที่มากับเขาด้วย
นี่ก็แค่งานง่าย ๆ!
…แต่เดิมแล้ว มันก็ควรเป็นแบบนี้แหละ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นทำให้วาลลิสไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต
เรื่องมันเกิดขึ้นในพริบตาเดียว
ลูอิสเพิ่งได้ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดระหว่างชั้นหนังสือ และปีกนกพิราบของวาลลิสก็ยังไม่หยุดกระพือ กรงเล็บของตัวเองเพิ่งได้แตะชายคาร้านด้วยซ้ำ
ในเงาที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของนกพิราบ จู่ ๆ มันก็ดูเหมือนจะมีความมืดมิดลึกล้ำขึ้นอีก
มันดูราวกับแมงมุมที่กำลังรอเหยื่ออันโอชะให้มาติดกับดักที่ถักทอรอไว้อย่างเงียบ ๆ แล้วก็จับกินทันที
เงาร่างมนุษย์ที่คลุมเครือพยายามดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในเงามืด พื้นผิวเงาเดือดพล่านอย่างรุนแรง
นั่นคือลูอิส และเขาก็กำลังพยายามหนี
ในใจของวาลลิสตระหนักอย่างชัดเจน
สิ่งที่จะสร้างความเสียหายให้สิ่งมีชีวิตในเงาได้ ก็มีเพียงสิ่งมีชีวิตในเงาเท่านั้น
เขาคงรู้สึกว่า ตราบเท่าที่เขาสามารถหลบหนีจากเงามืดและกลับไปเป็นคนที่มีเลือดเนื้อตามปกติได้ เขาก็จะสามารถหนีจากสถานการณ์อันตรายนี้ได้แน่ ๆ
แต่ไม่ว่ามือสังหารเงาผู้ยิ่งใหญ่จะดิ้นรนตะเกียกตะกายสุดกำลังอย่างไร หรือแม้กระทั่งจะทำให้เงาที่แต่เดิมราบเรียบนูนขึ้นได้เล็กน้อยก็ตาม เขาก็ยังปีนออกจากเงาที่ลึกเหมือนบึงโคลนไม่ได้อยู่ดี
เงารอบ ๆ พลันปรากฏเส้นหนวดที่ดูเหมือนกับแขนขาจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาเกี่ยวรัดเงาร่างมนุษย์นั้นไว้ บิดให้เบี้ยวแล้วกลืนกิน…
อย่างเงียบ ๆ
เงากลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง ดูราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เว้นแต่ว่าเงานั้นจะขยายพื้นที่ออกมาอีกนิดหน่อย
ความรู้สึกที่มากับความเปลี่ยนแปลงนั้นแรงเกินไป และตอนนี้ วาลลิสก็สัมผัสถึงความสิ้นหวังของลูอิสได้
แล้วตอนนั้นเอง เจ้าของร้านหนังสือที่กำลังจดจ่ออยู่กับบันทึกการวิจัย จู่ ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูเงาในชั้นหนังสือ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มมีเลศนัยที่น่าสะพรึงกลัว
ด้วยดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้น มันช่างน่ากลัวราวกับขุมนรกที่กำลังเล็งหาผู้คนมาเป็นเหยื่อ
เขาค้นพบมันมาแต่แรกแล้ว!!!
ทั้งร่องรอยและแผนการที่ลูอิสแอบเข้าไปในร้าน เป้าหมายทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาหมดแล้ว และเขากำลังรอให้เราเดินเข้ามาตกหลุมพรางด้วยตัวเอง!!!
เขายิ้ม เขากำลังยิ้ม! เขากำลังเยาะเย้ยเราที่ไขว่คว้าสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม!
น่ากลัวเกินไปแล้ว เจ้าของร้านหนังสือในข่าวลือก็น่ากลัวพอ ๆ กันเลย จะสุขหรือทุกข์ก็ไม่แสดงออก เขาฆ่าคนระดับเหนือนภาเหมือนตัดหญ้า ไม่ดีแล้ว ไม่ดีแล้ว เราต้องเผ่นให้ไว ไม่งั้นจะไม่ทันกาล!
วิถีแห่งดาบอัคคีอะไร มือสังหารเงาอะไร ของปลอมทั้งนั้น! ของปลอม!
เหมือนว่านกพิราบที่ชายคาร้านหนังสือจะเท้าลื่น มันกระทืบเท้าอย่างแรงแล้วกางปีกออกดังพรึ่บ แล้วบินออกไปอย่างบ้าคลั่งโดยไม่หันกลับมาอีก…
—
ธีโอดอร์นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์อย่างกระวนกระวาย รอคอยเจ้าของร้านหนังสือพูดถึงหนังสือที่นำหายนะมาให้เขาอย่างไม่รู้จบอย่างใจจดใจจ่อเพื่อชี้ขาดครั้งสุดท้าย
ถ้าแม้แต่ฟางเส้นสุดท้ายนี้ก็ยังช่วยเขาไม่ได้…เกรงว่าเขาก็คงทำได้เพียงพบกับจุดจบที่น่าเศร้าเท่านั้น
ในตอนที่หมดหวังและหวาดวิตกมากที่สุด เขาก็เคยคิดที่จะมอบหนังสือในมือให้กับคนเหล่านั้น
แต่ก็มีเหตุผลที่เขาเลือกไม่ทำเช่นนั้น
ธีโอดอร์ไม่ได้โง่…จากประสบการณ์การทำอาชีพเจ้าของร้านหนังสือมือสองมาหลายปี นั่นทำให้ตัวเองต้องรับมือกับผู้มีอำนาจมากมาย
พวกที่อยู่เหนือคนธรรมดาไม่ว่าระดับใด พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยคนธรรมดาที่รู้ความลับของตัวเองให้รอดไปทั้ง ๆ ที่มีผลประโยชน์ของพวกเขามาเกี่ยวข้องหรอก
ถ้าเขากล้าเปิดเผยตัวเองและมอบหนังสือให้คนเหล่านั้น ธีโอดอร์จะไม่มีวันได้เห็นแสงตะวันพรุ่งนี้แน่ ๆ
ดังนั้น การส่งหนังสือให้ชายหนุ่มตรงหน้าผู้เกือบมองไม่ออกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานอ่านจึงเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายอย่างสิ้นหวังของธีโอดอร์ที่เดิมพันทุกอย่างด้วยการโยนลูกเต๋าครั้งเดียว
เขารออยู่เงียบ ๆ เป็นเวลาราว ๆ ยี่สิบนาที
ความกังวลในใจทำให้เขากระสับกระส่ายในตอนแรก แต่ต่อมาการพลิกหน้ากระดาษที่ช้าและอ่อนโยนของหลินเจี๋ยทำให้ธีโอดอร์ค่อย ๆ สงบใจลงได้อย่างน่าประหลาด
อย่างน้อย…เพื่อนร่วมสายงานหนุ่มคนนี้ก็จริงจังกับคำขอของฉัน ต่อให้เขาจะช่วยฉันไม่ได้ เราก็นับว่าได้เจอคนดี ๆ และไม่เสียใจเลย
ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าคุณหลินคนนี้ก็คงเข้าใจอักษรเหล่านี้จริง ๆ… บางทีเขาอาจอ่านมันได้จริง ๆ ก็ได้มั้ง?
ธีโอดอร์ตั้งตารอ แล้วเขาก็เห็นหลินเจี๋ยก็เงยหน้าขึ้นและมองมาที่เขา… ไม่สิ ข้างหลังเขา จากนั้น รอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏขึ้น
“เอ๋ คุณหลิน…มีอะไรเหรอครับ?”
ธีโอดอร์หันไปมองข้างหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ก็มองไม่เห็นอะไรผิดแปลกเลย
หลินเจี๋ยส่ายหัวแล้วตอบว่า “เปล่าครับ ผมแค่นึกอะไรตลก ๆ ได้…จริงสิ หนังสือของคุณ ผมคงต้องศึกษามันอีกสักพัก ผมขอรับไว้ก่อนได้ไหมครับ? อีกสองสามวันจากนี้เดี๋ยวผมจะคืนให้นะ”
ธีโอดอร์ลิงโลด การทิ้งหนังสือไว้ที่นี่หมายความว่าเขาตอบตกลงช่วยแล้ว!
เขารีบพยักหน้า “แน่นอนครับ หากต้องการ ผมขอมอบหนังสือเล่มนี้ให้คุณเลยก็ได้นะครับ”
หลินเจี๋ยยิ้ม มีอะไรดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เหรอ… เอ๋?
เขาชะงักไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเจ้าขาวที่ตัวเองกอดอยู่ในอ้อมแขนเกิดกระสับกระส่ายขึ้นมาเล็กน้อย เขาก้มลงมอง แล้วเห็นว่าการแสดงออกของแมวอ้วนตัวน้อยนี้ดูเหมือนจะกระตือรือร้นที่จะล่า
หลินเจี๋ยมองตามสายตาของเจ้าขาว แล้วพบว่ามีนกพิราบสีเทาบินออกไปที่นอกหน้าต่าง
เขาแปลกใจเล็กน้อยแล้วลูบหัวเจ้าขาว “นายอยากกินนั่นเหรอ?”