บทที่ 292 : พ่อของหลินเจี๋ย
“จริงสิ”
จู่ ๆ หลินเจี๋ยก็เอ่ยเรียก หยุดมูเอนที่กำลังเตรียมจะออกจากประตูร้านเอาไว้
ชายหนุ่มมุดไปใต้เคาน์เตอร์แล้วหยิบผ้าพันคอขนสัตว์สีขาวออกมาผืนหนึ่ง
เขามองมูเอนแล้วพูดยิ้ม ๆ “ใกล้ฤดูหนาวแล้ว ผมเพิ่งจะเอาผ้าพันคอมาซักก่อนหน้านี้พอดี นี่เป็นผืนที่ผมใช้มาก่อน เธอเอาไปใช้ก่อนชั่วคราวแล้วกันนะครับ เดี๋ยวอีกสักวันสองวันผมจะพาเธอไปซื้อผืนใหม่ อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ในร้านยังไม่เป็นไร แต่ถ้าออกไปข้างนอกก็ต้องระวังเป็นหวัดไว้ครับ”
มูเอนเดินกลับมายืนตรงหน้าเคาน์เตอร์ เธอเอื้อมมือออกไปสัมผัสผ้าพันคอ แล้วก็ต้องตะลึงกับสัมผัสนุ่มนวลหรูหราในมือของเธอ
นี่คือ…ผ้าพันคอ มันคล้าย ๆ ขนของเจ้าขาว แต่นุ่มกว่า และอุ่นกว่า
เด็กสาวกุมผ้าไว้ในมืออย่างระมัดระวัง
หลินเจี๋ยมองมูเอนที่ยืนอยู่ที่เดิมแล้วตบหัวตัวเองพูดว่า “ผมลืมไปเลย เธอน่าจะไม่รู้วิธีใช้ผ้าพันคอ มานี่สิแล้วก้มหัวลง”
แล้วเขาก็หยิบผ้าพันคอคืนจากมูเอนแล้วเอนตัวข้ามเคาน์เตอร์มา จากนั้นก็ใช้มือโอบรอบคอมูเอน พันผ้าพันคอเป็นปมอย่างสวยงาม
“เอาล่ะ เสร็จแล้วครับ”
หลินเจี๋ยปรับผ้าพันคอจนพอใจแล้วมองเด็กสาวที่กลายเป็น ‘มูเอนรุ่นพิเศษ ผ้าพันคอฤดูหนาว’ ไปแล้วตรงหน้า ใบหน้าเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ของเธอถูกผ้าพันคอบดบังไปเกือบหมดแล้ว ทำให้เธอยิ่งดูตัวเล็กเข้าไปใหญ่ มูเอนหันหน้าไปด้านข้าง ใช้จมูกของเธอเขี่ยผ้าพันคออย่างสงสัย เธอรู้สึกถึงลมหายใจของเธอเองที่กระจุกกันอยู่ในผ้า และนั่นก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น
“ผ้าพันคอเป็นสิ่งที่ดี การเพิ่มผ้าพันคอในฤดูหนาวก็เท่ากับการเพิ่มเสื้อผ้าขึ้นอีกชิ้นครับ”
หลินเจี๋ยยกนิ้วขึ้นนิ้วหนึ่ง แล้วพูดอย่างมั่นใจ
มูเอนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
หลินเจี๋ยลูบหัวมูเอนแล้วพูดยิ้ม ๆ “เอาล่ะ ไปเถอะครับ เจ้าขาวเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ไม่สุข และง่ายมากที่มันจะถูกคนโลภมากหลอก ถ้ามันถูกลักพาตัวไปได้จะไม่คุ้มกับการสูญเสีย…และที่นี่ยังมีพวกจิตวิปริตเยอะแยะไปหมด ถ้าไม่ชอบแมวขึ้นมา บางทีพวกเขาอาจทำสิ่งที่โหดร้ายลงไปได้ ดังนั้นการที่เจ้าขาวไปข้างนอกจึงอันตรายมาก”
มูเอนส่งเสียงอืมเพื่อบอกว่าเข้าใจแล้ว เธอหันหลังเดินออกไปจากร้านหนังสือแล้วปิดประตู
หลินเจี๋ยโบกมือส่งเธอออกไป จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สีหน้าอารมณ์ดีของเขาค่อย ๆ หายไป ก่อนจะนั่งลงและหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเปิดอีกครั้ง
สายตาของเขาจดจ่อกับคำว่า ‘ศาสตราจารย์หลิน’ และ ‘ศาสตราจารย์จาง’ บนหน้ากระดาษที่เปื้อนเลือด
เพราะนามสกุลหลินเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นยังเห็นได้ชัดว่าศาสตราจารย์หลินเป็นผู้นำปฏิบัติการทางโบราณคดีนี้ หลินเจี๋ยจึงให้ความสนใจกับตัวละครนี้เป็นพิเศษมาตั้งแต่ต้น
แต่ว่า…
ข้อมูลในสมุดเล่มนี้ยังน้อยเกินไป จากบันทึกเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าของสมุดบันทึกไม่ได้ใกล้ชิดกับศาสตราจารย์หลินคนนี้เท่าไหร่นัก หรือแม้แต่จะมีปฏิสัมพันธ์กันก็ยังแค่เพียงเล็กน้อย
เขาเป็นสมาชิกธรรมดาคนเดียวในหมู่ทีมโบราณคดีและรับผิดชอบงานของตัวเองเท่านั้น เขาค่อนข้างโชคดีที่อยู่รอดมาได้นาน แต่เพราะไม่รู้แก่นแท้ของการกระทำนี้เลย จึงไม่อาจรู้ว่าเป้าหมายของปฏิบัติการนี้คืออะไร
การที่หลินเจี๋ยไม่เคยได้ยินข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับโครงการนี้เลยก่อนที่จะข้ามโลกมาก็เป็นการพิสูจน์ได้ว่าผลลัพธ์ของมันนั้นล้มเหลว…ลองคิดดูสิ ทีมโบราณคดีทั้งทีมตายไปแล้ว และทีมงานวิศวกรรมและสถาบันวิจัยที่ยังอยู่บนพื้นดินก็อาจประสบภัยด้วยก็ได้ แล้วใครล่ะจะกล้าสานต่อโครงการ?
แต่ก่อนหน้านั้น ใครกันที่เป็นผู้สนับสนุนให้ทีมโบราณคดีนี้?
สถานวิจัยที่เขียนไว้ในสมุดบันทึกเล่มนั้นหรือเปล่า?
เรื่องพวกนี้ สมุดบันทึกไม่สามารถบอกอะไรได้เลย
‘ศาสตราจารย์หลิน’ และ ‘ศาสตราจารย์จาง’ สองคนนี้มีบทบาทในการขับเคลื่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อทั้งทีมมากกว่าครึ่งหนึ่งต่างบาดเจ็บและล้มตายโดยไม่พบตัวการที่ไม่รู้จัก แต่พวกเขาก็ยังคงเลือกที่จะเดินหน้าต่อ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ส่งใครไปขอความช่วยเหลือเลย
มันยากมากถ้าจะบอกว่าไม่มีปัญหาภายในเกิดขึ้น
หลินเจี๋ยลูบไปบนหน้ากระดาษหยาบ ๆ อย่างลังเล ศาสตราจารย์หลิน…อายุสามสิบเศษ ๆ แต่ทำงานด้านโบราณคดีมาเจ็ดถึงแปดปีแล้ว ถ้าเขาไม่ได้ตายลงในตอนนั้น…
ในใจเขามีการคาดเดาที่เลือนรางออกมาแล้ว
ในหมู่ผู้คนที่หลินเจี๋ยรู้จัก ที่จริงแล้วมีศาสตราจารย์อาวุโสแซ่หลินอยู่ และเขาตรงกับเงื่อนไขเหล่านี้โดยสมบูรณ์แบบ
ชื่อของศาสตราจารย์อาวุโสหลิน คือ หลินหมิงไห่ เขาจบการศึกษาจากแผนกโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศแล้วกลับมาทำงาน ชื่อของเขาถูกรวมอยู่ในการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญมากมาย เขามีประวัติส่วนตัวยาวเหยียด อีกทั้งยังกลายเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงเมื่ออายุสามสิบเจ็ดปี และมีลูกศิษย์อยู่ทุกที่
นอกเหนือจากประวัติย่อที่มีเสน่ห์เหล่านี้ ศาสตราจารย์หลินยังมีสถานะที่ค่อนข้างไม่สำคัญอีกอย่าง
นั่นคือเป็นบิดาของคน ๆ หนึ่งที่ชื่อหลินเจี๋ย
หลิยเจี๋ยมองสมุดบันทึกในมือของเขาแล้วพึมพำเสียงต่ำ “อายุสามสิบเศษ ๆ… ฉันจำได้ว่าอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นตอนเขาอายุประมาณสี่สิบปีได้”
หลินหมิงไห่ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมในวัยหนุ่มของเขา ทว่าเมื่อถึงช่วงวัยสี่สิบปี เขากลับไม่แตะต้องงานเกี่ยวกับโบราณคดีอีกเลย
เหตุผลไม่ใช่อื่นใด นั่นเป็นเพราะเขาโชคไม่ดีแล้วประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่ออายุได้สี่สิบปี ไม่เพียงแต่เขาต้องตัดขาทั้งสองข้างทิ้งเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนรถเข็นอีกด้วย
หลังจากแต่งงานได้ไม่ถึงสองปี ภรรยาของเขาที่ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนก็เสียชีวิตไปหลังจากที่เพิ่งคลอดลูกในห้องผ่าตัด
เรื่องสะเทือนใจประดังประเดเข้ามาอย่างหนักหน่วง ทำให้เขาซึมเศร้าลงอย่างรวดเร็ว แล้วสภาพจิตใจของพ่อเขาก็แย่ลงทุกที
ในช่วงแรกหลินหมิงไห่ยังพอจะรักษาความมีชีวิตชีวาได้ตามปกติ ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เสียสติ และในตอนที่หลินเจี๋ยอายุสิบหกปี เขาก็ตัดสินใจกินยานอนหลับแล้วรมแก๊สเพื่อฆ่าตัวตาย
ความเฉยเมยของหลินเจี๋ยเมื่อข้ามโลกมานั้น หลินหมิงไห่มีบทบาทสูงมาก
เขาเลือกวิชาคติชนเป็นวิชาเอก และชายหนุ่มก็สะสมประสบการณ์เชิงปฏิบัติมากมายมาตั้งแต่ยังเด็ก และการทิ้งเอกสารและผลงานไว้ก็นับว่าเป็นผลจาก ‘พื้นฐานการศึกษาที่แข็งแรงจากคนในครอบครัว’ ด้วยก็เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัญหาทางจิตของหลินหมิงไห่ หลินเจี๋ยจึงมักได้เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ในอดีตของเขาจากเหล่าลูกศิษย์ซึ่งไม่ครอบคลุม และตอนนี้เขาจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว
“ศาสตราจารย์อาวุโสมีปัญหาใหญ่ทางจิต และศาสตราจารย์จางก็เป็นจิตแพทย์ที่ดูแลเขาในเวลานั้น แล้วต่อมาพวกเขาก็แต่งงานกัน…”
นี่คือคำพูดของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่สร้างชื่อเสียงให้ตนเองได้แล้วกลับมาเยี่ยม พวกเขามักจะปลอบใจหลินเจี๋ยแบบนี้
เมื่อหลินเจี๋ยย้อนนึกมาถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ
ศาสตราจารย์จาง ใช่แล้ว ในปีที่สองหลังจากหลินหมิงไห่ได้เป็นศาสตราจารย์ เขาก็แต่งงานกับจิตแพทย์หญิงที่ดูแลปัญหาสุขภาพจิตของเขามานาน จิตแพทย์หญิงคนนี้มีชื่อว่าจางไฉ่ยง
ศาสตราจารย์หลิน ศาสตราจารย์จาง…ทุกอย่างชัดเจน
หลินเจี๋ยประสานมือรองใต้คางอย่างที่ทำประจำแล้วจ้องสมุดบันทึกตรงหน้าเขา “ปัญหาก็คือ พวกเขาบอกทุกคนเป็นเสียงเดียวกันว่าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เราเองก็เคยสืบเรื่องนี้อย่างลับ ๆ เหมือนกัน มันมีอุบัติเหตุทางรถยนต์นี้เกิดขึ้นจริง ๆ และมีบันทึกการรักษาที่โรงพยาบาลรวมไปถึงการติดตามอาการด้วย…ถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ ก็คงมีใครสักคนปกปิดความจริงอยู่”
“เบาะแสเดียวก็คือมีบุคคลอื่นเพียงคนเดียวที่มีชื่อเต็มปรากฏในสมุดเล่มนี้”
“…ลูกศิษย์ของศาสตราจารย์หลิน ต้วนเสวหมิ่น!”
หลินเจี๋ยหลับตาลง เขาเคยเห็นบรรดาศิษย์เก่ามากมายที่บ้าน มีคนนามสกุลต้วนอยู่ราวสามถึงสี่คน แต่ชื่อของพวกเขา เขาจำได้ไม่แน่ชัด
“ต้วนเสวหมิ่น…สถาบันวิจัย…สมุดบันทึก…”
“สมุดบันทึก…”
หลินเจี๋ยปิดสมุดในมือแล้วพลิกไปที่ปก
เขานึกออกแล้วว่าเขาเคยเห็นสมุดบันทึกแบบนี้ที่ไหน?!
—