บทที่ 306 : การสาธิตที่ล้มเหลวของนักคิดแห่งความว่างเปล่า
ภาพลาง ๆ ในดวงตาของครูฝึกคนนั้นโผล่ขึ้นมาแวบเดียว แล้วมันก็แวบหายลึกเข้าไปในรูม่านตาของเขาจนมองไม่เห็นอะไรอีก
ใบหน้าที่ยิ้มเยาะแปลก ๆ นั้นก็ปรากฏขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่มันจะละลายหายไปราวหิมะ กลายเป็นสีหน้าที่ค่อนข้างงุนงง
“หือ อะไรเนี่ย…? เรามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงหว่า? เรามาทำอะไรตรงนี้เนี่ย?”
ครูฝึกมองมือตัวเองแล้วพึมพำอย่างงุนงงราวกับจะสอบสวนชีวิตตัวเอง
ความมึนงงเล็กน้อยทำให้ตัวเขาเดินโซเซ
ครูฝึกส่ายหน้าช้า ๆ แล้วหยุดลงกลางทาง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น มองไปที่ห้องกักตัวที่ว่างเปล่า
ความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในใจเขา
ตัวเองได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้มาปล่อยตัวเมลิสซ่า…แล้วเขาก็ทำแบบนั้นแล้วจริง ๆ
แล้วก็บอกเมลิสซ่าให้ไปเดินพิธีการโดยเปลี่ยนจากหน่วยรบไปอยู่หน่วยข่าวกรองทันที และกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพ่อของเธอ…โจเซฟ
ถึงหน่วยรบย่อยที่เจ็ดจะกำลังทำภารกิจอยู่ แต่คำสั่งนี้ถูกส่งตรงมาจากสภาผู้อาวุโสและมีความสำคัญสูงสุด เขาจึงไม่สามารถเมินเฉยต่อคำสั่งได้
แต่ว่านี่ก็ดูเป็นเกียรติอย่างยิ่ง มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่านี่คือช่วงเวลามือขึ้นของโจเซฟ สภาผู้อาวุโสคงคิดจะปั้นเขาให้เป็นจุดศูนย์รวมในหอพิธีกรรมต้องห้ามอยู่แน่ ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การที่โจเซฟจะได้กลับมาเป็นหัวหน้าอัศวินแห่งแสงก็ไม่ได้ง่ายเลย โจเซฟเคยอยู่ในตำแหน่งนี้มาก่อนแล้ว และครั้งนี้เขาก็กลับมาที่เดิมของเขา…เกรงว่าสภาผู้อาวุโสคงตั้งใจจะสร้าง ‘กลุ่มคนของตัวเอง’ อีกแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว บวกกับเรื่องที่เมลิสซ่าเป็นลูกสาวคนเดียวของโจเซฟ การที่เธอจะได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้จึงไม่ถือว่าเกินไป
“แล้ว…เราแจ้งเรื่องเสร็จแล้วเหรอ…?”
ครูฝึกอดถามตัวเองไม่ได้
ในความทรงจำของเขาในตอนนี้ เขาพอจะจำได้ลาง ๆ ว่าเขาเหมือนจะแจ้งบางอย่างกับเมลิสซ่าจริง ๆ แล้วอีกฝ่ายก็พยักหน้าเห็นด้วย
แต่ด้วยเหตุบางประการ เขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง…แต่มันก็บอกไม่ได้ว่าคืออะไร?
“เอาล่ะ ในเมื่อคนก็เดินไปโน่นแล้ว ภารกิจก็น่าจะจบแล้วล่ะ และคิดยังไงก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรด้วย”
ครูฝึกส่ายหน้าแล้วพูดล้อเลียนตัวเอง “ยังจะทำอะไรผิดได้อีกล่ะ?”
เขาตรวจสอบห้องกักบริเวณเหมือนทุกทีแล้วปิดประตู หันกลับไปแล้วกระซิบ “ต้องเป็นเพราะช่วงนี้เราทำภารกิจถี่เกินไป ทำให้สภาพจิตใจสั่นคลอนแล้วเป็นแบบนี้…ท่าทางเราควรจะหาเวลาเพื่อลาพักร้อนไปนอนพักสักสองถึงสามวันซะแล้ว”
ร่างของเขาเดินหายลับไป แล้วความเงียบสงบก็กลับคืนสู่บริเวณทางเข้าห้องกักบริเวณ…
ที่ไหนสักที่…
ท่ามกลางความมืดดำ ร่างคล้ายมนุษย์ในชุดคลุมหนาที่ซ่อนใบหน้าไว้ในฮู้ดซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ก็พลันหัวเราะเย้ยหยัน
เสียงหัวเราะนี้แพร่ไปไกล มีทั้งเสียงผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กปะปนกัน มีทั้งอ่อนโยนและเย็นชา ดังก้องไปทั่วพื้นที่อันว่างเปล่าราวกับระฆังมรณะ
ถ้าใครได้ยินเข้า บางทีอาจจะเสียสมาธิได้ในพริบตา
ที่ใจกลางเงานั้นมีตราดาบยาวในเปลวเพลิงเรืองขึ้นมาจาง ๆ แล้วไม่นานก็ดับไป
ทันใดนั้นชุดคลุมหนาก็พลันบิดตัว เส้นหนวดมันเยิ้มน่าขยะแขยงที่เปรอะไปด้วยเมือกเหนียวและของเหลวสีสนิมยืดออกมา มันบิดหมุนตัวแล้วดึงจดหมายออกมาจากความว่างเปล่าหนึ่งฉบับ
จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาหาเขาจากแดนแห่งเงาถึงมือเขาโดย ‘มารดาแห่งแมงมุม’ ซานดัลฟอน และผู้รับก็คือ ‘นักคิดแห่งความว่างเปล่า’ แซดคิเอล เมื่อไม่นานนี้เอง
นี่คือวิธีการที่วิถีแห่งดาบอัคคีใช้เพื่อส่งข้อความถึงกันระหว่างผู้นำทั้งสิบ
แน่นอนว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่ถูกส่งมาล้วนถูกแซดคิเอลมองว่าเป็นขยะ…เขาเป็นพวกเก็บตัวที่เปลี่ยนตัวเองเป็นความว่างเปล่าเป็นส่วนใหญ่ ด้วยนิสัยพิลึกและเย่อหยิ่งสุดขั้วทำให้เขาเลือกที่จะเดินตามทางของตัวเองเท่านั้น และภาษาที่เขาใช้ก็ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้ทั่วไป
เขาพ่นลมหายใจอย่างเยาะเย้ยให้กับเรื่องราวในวิถีแห่งดาบอัคคี ปกติแล้ว เขาไม่แม้แต่จะเปิดซองจดหมายออกอ่านด้วยซ้ำ และทุกอย่างก็ขึ้นกับอารมณ์ส่วนตัว
แม้พวกเขาจะอยู่ในระดับเหนือนภาทั้งคู่ แต่แซดคิเอลยังคงรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า
เขาเป็นนักเวทที่เก่าแก่โบราณที่สุด และเป็นราชาผู้ครองความว่างเปล่าเป็นอาณาเขต…
ในอาณาจักรที่มีเขาเพียงคนเดียวนี้ เขาก็จะได้ดื่มด่ำกับอิสรภาพที่แท้จริง และนี่คือความสมบูรณ์ที่เขาใฝ่หา
ส่วนวิถีแห่งดาบอัคคีล่ะ? ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ
แต่เพราะก่อนหน้านี้เขาถูกมิคาเอลหลอกให้ลงนามในสัญญาผูกมัดตัวเอง ทำให้เขายังต้องรับผิดชอบ
เขาไม่สนใจเรื่องอื่นหรอก แต่ในเมื่อครั้งนี้เป็นคำขอของมิคาเอล เขาจึงต้องตอบ…
“ร่วมมือกัน? เฮอะ ๆ…”
แซดคิเอลยิ้มเยาะให้กับจดหมายในมือ เส้นหนวดของเขาขดเป็นก้อน “เรื่องนี้จะอีกกี่ปีก็ทำไม่ได้ แล้วก็ยังทำเป็นจดหมายมาอีก น่าเบื่อแท้…จริง ๆ เลย นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว สมองของเจ้าพวกนี้ก็โง่ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ช่างกลวงพอ ๆ กันเลย”
แล้วจดหมายก็ถูกความว่างเปล่ากลืนเข้าไปจนลับสายตาทันที
แต่ที่จริงแล้ว…จดหมายฉบับนี้ก็น่าสนใจนิดหน่อย
“ระดับเหนือนภาที่จู่ ๆ ก็โผล่มา แม้แต่ความว่างเปล่าก็จับไม่ได้ ดูเหมือนจะมีฝีมือจริง ๆ อยู่บ้าง”
แซดคิเอลสนใจเกี่ยวกับเจ้าของร้านหนังสือที่บรรยายอยู่ในจดหมายนิดหน่อย
เขาไม่ได้ถามไถ่เรื่องของมนุษย์มาหลายต่อหลายปี แต่ทุกครั้งที่มีระดับเหนือนภาเกิดหรือตาย ความว่างเปล่าจะตรวจจับได้เสมอ
แต่เขากลับไม่ได้รับรู้ถึงระดับเหนือนภาที่จู่ ๆ ก็โผล่มาเช่นนี้เลย
กระทั่งการตายของกาเบรียลก็ถูกซ่อนเงียบ
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในมิติและเวลานี้เลย แล้วในตอนที่กาเบรียลตาย เขาก็ถูกลากเข้าไปในมิติ รวมถึงเวลาที่ไม่มีอยู่จริงนั้นด้วย
แซดคิเอลไม่เชื่อใคร แต่เชื่อในความว่างเปล่า…
เพราะความว่างเปล่าไม่มีวันโกหก
ดังนั้นเขาจึงสนใจในระดับเหนือนภาคนนี้ และมีความรู้สึกชั่ววูบที่จะอยากเจออีกฝ่ายอย่างหาได้ยาก
ทว่าครั้งนี้ เขาไม่ได้วางแผนจะไปเจอพวกระดับเหนือนภาสมองกลวงเพื่อวางแผนร่วมมือกันแต่อย่างใด เขาใช้เวลาอยู่คนเดียวสักพักเพื่อทำความเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของร้านหนังสือคนนั้น
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้รับคือความชอบของเจ้าของร้านหนังสือ สวมบทบาทเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ แล้วขายหนังสือที่บรรจุความรู้ต้องห้ามมากมายเพื่อฝึกฝนผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
มีบุคคลสำคัญปรากฏขึ้นหลายชื่อ แต่ชื่อที่สะดุดตาที่สุดก็ย่อมเป็นไวลด์และโจเซฟ
สองคนนี้เป็นเหมือนตัวหมากที่แข็งแกร่งที่สุดสองตัวในกระดานของเจ้าของร้านหนังสือ และคาดเดาได้ว่า…ในอนาคตพวกเขาจะสามารถขึ้นเป็นระดับเหนือนภาได้ด้วย
ดังนั้น แซดคิเอลจึงตัดสินใจเริ่มจากสองคนนี้ก่อน เพื่อ ‘กล่าวทักทาย’ เจ้าของร้านหนังสือคนนั้น
ในเมื่อเจ้าพิถีพิถันกับความคิดและหาทางป้องกันความขัดแย้งเอาไว้อย่างเห็นได้ชัดแล้ว งั้นข้าก็จะจุดชนวนความขัดแย้งให้ระเบิดตู้ม!! พังแผนเจ้าซะเลย!
นี่จะเป็นสัญญาณเริ่มศึก และเป็นการสาธิต
“ฮ่า ๆ…เรื่องมันก็ง่ายแค่นี้ ตราบใดที่แม่สาวน้อยนั่นปรากฏตัวในสนามรบ ข้อพิพาทระหว่างทั้งคู่ก็จะสายเกินแก้ เรซิเอลเอ๋ย ขอบใจเจ้ามากที่เปิดโอกาสนี้แก่ข้า”
“แต่ก็น่าจะบอกซานดัลฟอนไว้ จะได้รู้กันให้ทั่วว่าไม่มีสิ่งใดต้องกังวล!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แซดคิเอลก็ส่งความคิดของเขาไปหามารดาแห่งแมงมุมในความว่างเปล่าเพื่ออวดความสำเร็จของเขา
“หือ? เกิดอันใดขึ้นกัน?”
จู่ ๆ แซดคิเอลก็ตะลึงไป
เพราะไม่ว่าความว่างเปล่าจะเลี้ยวไปไหน รังของซานดัลฟอนก็ว่างเปล่า ไร้ร่องรอยของเธอ
เกิดความเงียบขึ้น เงียบเสียจนชวนให้หนาวเยือก!
—