บทที่ 362 : องค์กรอะไรเนี่ย?!
อาคารที่ใช้สำหรับเลี้ยงอาหารเที่ยงและให้แขกเข้ามอบของขวัญยังคงใหญ่โตจนน่าขำ ประตูถูกเปิดอ้า และห้องโถงชั้นแรกก็ถูกตกแต่งเป็นงานเลี้ยงเลิศหรูให้เหล่าแขกผู้มีเกียรติได้ดื่มด่ำสังสรรค์
แม้ว่าจะยังไม่ถึงวันดี หลินเจี๋ยก็คุ้นชินกับหลักการและเริ่มจะรู้สึกเบื่อขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
เพราะถึงอย่างไรก็มีเรื่องเดียวที่ต้องทำ นั่นก็คือการพบปะพูดคุย…คุย…แล้วก็…คุย
เป็นไปได้ที่เรื่องเดิม ๆ นี้จะเกิดซ้ำ ๆ ต่อไปในช่วงสามวันนี้
แม้ว่าปกติแล้วหลินเจี๋ยจะใช้ชีวิตด้วยการพูดคุย และมักจะมีความสุขที่ได้คุยกับคนอื่นก็ตาม แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาเต็มใจจะคุยซ้ำ ๆ ไปสามวันถ้วน
การพูดคุยส่วนใหญ่ที่นี่ไร้ประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยอารัมภบทมากมายที่ชวนให้หัวบวม…
และตัดสินจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว คงใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าคนเหล่านี้จะสามารถกำจัดเงาในใจจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้วเข้ามาหาเขาเองได้…
หลินเจี๋ยคิดไม่ออกเลยว่าต้องใช้เวลาแค่ไหน?
โชคดีที่อย่างน้อยที่นี่ก็มีอาหารอร่อย และลูกค้าใหม่สามคนที่ปลอบใจอันเหนื่อยหน่ายเล็กน้อยของเจ้าของร้านหลินได้
แต่เดิมหลินเจี๋ยคิดเช่นนั้น
และเมื่อเขาเดินเข้าประตูไป เขาก็เตรียมต้อนรับเสียงไร้ความหมายที่จะดังขึ้นอีกครั้ง รวมไปถึงอาหารเลิศรสที่เรียงรายจนตาพร่า
“คุณหลินที่เคารพ สวัสดีครับ รบกวนขอเวลาสักครู่นะครับ”
ชายชราผมขาวสวมเสื้อกั๊กสีน้ำตาล เสื้อเชิ้ตสีขาวและสวมแว่นกรอบทองที่ยืนอยู่ข้างประตูกำลังโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วยื่นมือออกมาขวางเขาไว้อย่างสุภาพนอบน้อม
หลินเจี๋ยชะงัก เขาคุ้นหน้าคน ๆ นี้แล้ว เพราะชายชราผู้นี้คือพ่อบ้านชราของคฤหาสน์ A16
ก่อนหน้านี้ในตอนที่เขาเดินอยู่บนถนน เขาก็มักจะเห็นคน ๆ นี้ออกคำสั่งกับคนรับใช้อยู่ทุกครั้งไป
หลินเจี๋ยจึงถามอย่างสุภาพเช่นกัน “คุณพ่อบ้านนี่เอง ต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือเปล่าครับ?”
พ่อบ้านชรามองรอยยิ้มนั้น และเหงื่อก็เริ่มแตกซิกที่หน้าผากทันที “ไม่ครับ ผมไม่กล้ารบกวนหรอก แต่คุณหนูบอกผมก่อนหน้านี้ว่าถ้าพบคุณ ก็ขอให้เชิญคุณไปที่โถงด้านข้าง และหวังว่าคุณจะรับคำเชิญทานอาหารเที่ยงด้วยกันครับ”
“อ้อ…”
จู่ ๆ หลินเจี๋ยก็ตระหนักว่าเป็นคุณหนูจี้ที่ส่งคนมารอเขาโดยเฉพาะนี่เอง
เกรงว่าเธอคงคิดเอาไว้แล้วว่าเขาอาจจะรู้สึกเบื่อก็ได้…เอาใจเขาใส่ใจเราดีแท้ ต่างกับคุณหนูจี้ตามปกติที่ให้ความรู้สึกเหมือนจะไล่เชือดพวกเดนมนุษย์เลย
“ผมสนใจครับ” หลินเจี๋ยพยักหน้า “ในเมื่อมันคือคำเชิญของคุณหนูจี้ แน่นอนครับว่าผมต้องไปอยู่แล้ว”
พ่อบ้านชราผายมือเชื้อเชิญไปยังทางเดินที่ด้านข้าง “เชิญทางนี้ครับ ผมจะนำทางไปเอง…เอ่อ แต่สองสามคนที่มากับคุณ…”
หลินเจี๋ยเห็นพ่อบ้านชรามีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วก็คิดว่าคุณหนูจี้น่าจะอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว เช่นเรื่องแผลใจที่เธอได้รับจากเดนมนุษย์พวกนั้น มันไม่เหมาะสมจริง ๆ ถ้าจะมีคนอื่นมาฟังด้วย
ดังนั้นเขาจึงหันไปพูดว่า “พวกคุณสองคนอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวคุณชาร์ล็อตต์หาใครไม่เจอตอนเธอกลับมาแล้วจะสับสน คุณรอพบเธอที่นี่แล้วคุยกับเธอไปก่อนก็ได้นะครับ”
เกร็กกับเฟจมองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากทำ แต่หลินเจี๋ยก็เป็นคนพูดออกมาเอง ดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบรับ
“ทานมื้อเที่ยงให้อร่อยครับ อย่าลืมทักทายชาร์ล็อตต์เผื่อผมด้วยนะ”
หลินเจี๋ยยิ้มแล้วมองพวกเขาเข้าห้องโถงไปก่อน คิดว่ามันคงเป็นความคิดที่ดีถ้าจะปล่อยให้ทั้งคู่คุยกันไปก่อนเพื่อเพิ่มความกลมเกลียว จากนั้นก็หันไปพูดอย่างให้เกียรติ “ขอโทษด้วยครับ”
พ่อบ้านชราปาดเหงื่อแล้วรีบพูด “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไรเลย เป็นเกียรติของผมที่ได้รับใช้ครับ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ก้มหน้าก้มตานำทาง และเดินไปตามทางเดินพาหลินเจี๋ยไปที่ห้องโถงด้านข้างบนชั้นหนึ่งของอาคาร
—
หลังจากหลินเจี๋ยเดินคล้อยหลังไปไม่นาน
เกร็กและเฟจก็เข้าไปในห้องโถง แต่แทนที่ทั้งคู่จะเดินเข้าไปในฝูงชน พวกเขาก็หาที่นั่งแถว ๆ ประตูห้องโถง
เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่มีเจตนาจะคุยกับคนอื่นเลย เจ้าของร้านหลินให้พวกเขามารอชาร์ล็อตต์ที่นี่ พวกเขาก็ย่อมต้องหาจุดที่เหมาะสมที่สุดในการรอ เพื่อที่ชาร์ล็อตต์จะหาพวกเขาได้ทันที
ทว่าหลังจากที่พวกเขานั่งลง ทั้งสองก็ไม่ได้สนทนาอะไรกันเลย ข้อมูลที่ต้องการก็แลกเปลี่ยนกันเสร็จแล้วเมื่อเช้า ดังนั้นทั้งคู่จึงแค่นั่งมองกันเฉย ๆ
เกร็กกางเกราะเวทมนตร์กันเสียงขนาดเล็ก หยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมาแล้วเริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบันให้หอพิธีกรรมต้องห้าม…
“อะไรนะ! ระดับเหนือนภาที่ไม่ได้รับการบันทึก?! คุณแน่ใจนะว่าข้อมูลนี้เป็นจริง?! เราไม่ได้พบความผิดปกติแม้แต่นิดเดียว และเครือข่ายการตรวจจับอีเธอร์ของสมาคมแห่งสัจธรรมก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลย…”
ปฏิกิริยาของวินสตันนั้นตกใจเหมือนที่เกร็กคาดไว้
ใกล้ ๆ กับตัวเขาเองในตอนนั้นเลย
“ผมแน่ใจว่าเป็นความจริงครับ และคุณก็ทำได้แค่เชื่อ เพราะผมเห็นทุกอย่างที่ว่ามานี่ด้วยตาผมเอง แถมยังมีผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นอีกสองคนที่พิสูจน์ได้ว่าที่คุณไม่เห็นเธอก็เพราะเธอบรรลุกฏเกณฑ์ของเวลา และเวลาก็ถูกย้อนกลับสู่จุดเริ่มต้นในเสี้ยววินาทีเท่านั้น”
“นอกจากคนที่ประสบมันมากับตัว คนอื่น ๆ ต่างถูกรีเซ็ตและเสียความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปทั้งหมดครับ”
“นอกจากนั้น เฟจซึ่งเป็นหนูทดลองของวิถีแห่งดาบอัคคีที่ผมขอให้คุณตรวจสอบเมื่อคืนยังได้รับข้อมูลบางอย่างที่สำคัญมากภายใต้การแทรกแซงของเจ้าของร้านหลินด้วย…”
“เฟจ?”
“อืม ประมาณนี้ครับ…” เกร็กเล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เฟจได้รับความทรงจำระดับเหนือนภาโดยบังเอิญ จากนั้นก็เล่าข้อมูลที่เขาได้รับจากเฟจซ้ำอีกครั้ง “วิถีแห่งดาบอัคคีมีผู้นำร่วมสิบคนในระดับเหนือนภา ทว่าแต่ละคนไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นต่อกัน และพวกเขาก็อาจจะไม่รู้ถึงตัวตนของคนอื่น ๆ เลยก็ได้ ดังนั้นจึงเกิดเหตุที่ไม่อาจทราบที่มาได้ พวกเขาเรียกกันด้วยโค้ดเนม และ…ดูเหมือนชื่อ ‘เทวดา’ เหล่านี้จะมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกพบในเมืองเขตล่าง และพวกเขาก็ควบคุมพื้นที่มากกว่าที่พวกเราสืบได้อีกด้วยครับ…”
วินสตันพูดเสียงขรึม “พูดต่อเลย”
เกร็กพูดต่อ “สิ่งที่เรายังค้นไม่พบก็คือ องค์กรที่ให้ยากับเฟจคือผู้อาวุโสเอลฟ์ดำที่ควบคุมหอการค้าแอชครับ”
วินสตันโพล่งออกมาแบบไม่ได้ยั้งคิด “เป็นไปไม่ได้! ดูจากศึกภายในระหว่างเชอร์รี่กับคอนกรีฟก็รู้ว่าหอการค้าแอชก็เป็นเหยื่อของวิถีแห่งดาบอัคคีเหมือนกัน ถ้าผู้อาวุโสของพวกเขาถูกวิถีแห่งดาบอัคคีควบคุม มันจะจำเป็นด้วยเหรอถ้าจะหาไส้ศึกมาใส่?”
เกร็กส่ายหน้า “ผู้บัญชาการอัศวินครับ คุณลืมเรื่องที่ผมเพิ่งพูดไปนะ ผู้นำของวิถีแห่งดาบอัคคีแต่ละคนไม่ได้มีความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกับคนอื่น ๆ อย่างแน่นแฟ้น และอาจไม่รู้ถึงการมีอยู่ของคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ”
วินสตันคิดแล้วรู้สึกว่าไร้สาระสิ้นดี “คุณหมายความว่า… วิถีแห่งดาบอัคคีที่ควบคุมหอการค้าแอชเป็นหนึ่งใน ‘เทวดา’ พวกนั้น ส่วนคนที่พยายามแทรกซึมมันและเปลี่ยนคอนกรีฟเป็นหนอนบ่อนไส้ก็คือ ‘เทวดา’ อีกคนเหรอ? บ้าเอ๊ย นี่มันบ้าอะไรเนี่ย…!”
‘องค์กร’ พรรค์นี้มันมีอยู่ในโลกด้วยเหรอ?