บทที่ 365 : ฝ่ามือสัมผัสแห่งความว่างเปล่า
‘ฝ่ามือสัมผัสแห่งความว่างเปล่า’
ทันทีที่จี้ป๋อหนงจับจ้องไปที่ชื่อหนังสือ ความรู้ต้องห้ามนับไม่ถ้วนก็ไหลผ่านหนังสือหนา ๆ ราวกับแมลงวันที่กระพือปีกบินเข้ามาหาเขาทีละตัว
อะไร…?
เขาไม่ได้เตรียมใจรับเรื่องนี้ไว้เลย และอยากจะอุทาน โบกไม้โบกมือไล่มันไปอย่างไม่รู้ตัว
ทว่าวินาทีต่อมา เขาก็ถูกแมลงวันเหล่านี้ล้อมรอบ ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาจะถูกโอบล้อมเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ตัวเองยังสัมผัสได้ด้วยว่าแมลงวันเหล่านี้กำลังเจาะเข้าไปในตัวเขา โดยเฉพาะดวงตา
จี้ป๋อหนงตัวสั่น เขาขยับไม่ได้และสัมผัสถึงดวงตาของตัวเองที่เหมือนถูกขาบาง ๆ นับไม่ถ้วนของแมลงไต่ไปทั่วได้อย่างชัดเจน…
มันทวีคูณจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ!
ดวงตาของเขาถูกเติมเต็มมากขึ้นเรื่อย ๆ และการไต่ของแมลงเหล่านี้ก็ทำให้ดวงตาของเขาดูเหมือนน้ำเดือด
แมลงวันแต่ละตัวที่เห็นในคลองจักษุต่างถูกสลักอักษรโบราณที่ไม่รู้จักเอาไว้นับไม่ถ้วน
เขารู้สึกราวกับตัวเองตกลงไปในทะเลที่เต็มไปด้วยหนอนและหายใจไม่ออก ทำได้แต่เพียงดิ้นรนกระพือแขน ‘แหวกว่าย’ อย่างไร้หนทาง แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าในสายตาของคนอื่นในตอนนี้ เขาแค่ยกแขนขึ้นพลิกหน้าหนังสืออย่างทื่อ ๆ
ความผิดปกติเดียวก็คือหัวที่ตกลู่ของเขาซึ่งดูคล้ายหมดสติ
แต่หากมองอีกครั้ง มันก็ดูเหมือนเขาจดจ่อมากเกินไป!
หลินเจี๋ยมองท่าทีต้องมนตร์สะกดของจี้ป๋อหนงที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างจริงจังแล้วแอบรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง สมกับเป็นความสามารถเลือกหนังสือของเขา เขาไม่มีทางพลาด
แม้จะตกปลาทุกวันแล้วไร้ผลจนต้องไปหาอย่างอื่นกินก่อน แต่เมื่อเป็นเรื่องความสามารถในการขายหนังสือ มันก็ไม่เลวจริง ๆ!
เมื่อเห็นว่าจี้ป๋อหนงดูเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นรวบตัวเข้า เขาไม่สามารถจะขยับได้กระทั่งตา…ก็รู้แล้วว่าหนังสือเล่มนี้ตรงรสนิยมของตัวเองจริง ๆ
หลินเจี๋ยอดแสดงรอยยิ้มโล่งใจไม่ได้ เขาหันไปพูดเบา ๆ “ดูเหมือนคุณจี้จะชอบหนังสือเล่มนี้มาก ๆ เราอย่าไปกวนเขาเลยนะครับ เราทานอาหารกันก่อนไหม?”
ประโยคท้ายที่ชายหนุ่มพูดนั้น ก็คือการพูดกับจี้จือซู่ที่ข้างตัว
จี้จือซู่หน้าซีดและกระสับกระส่าย เธอละสายตาจากพ่อของเธออย่างแข็งทื่อแล้วฝืนยิ้ม “เจ้าของร้านหลินพูดถูก…กินก่อนเถอะค่ะ กิน ๆ”
ในตอนนี้ เธอกลัวสุด ๆ และตื่นเต้นมาก ๆ ในเวลาเดียวกัน
เจ้าของร้านหลินเต็มใจจะให้หนังสือกับเขา ซึ่งหมายความว่าจี้ป๋อหนงได้รับการยอมรับแล้ว
ในฐานะคนธรรมดา เขาจะได้รับโอกาสเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ!
นี่ก็ยังเป็นโอกาสใหญ่หลวงที่สุดสำหรับบริษัทโรลล์ด้วย!
มันสมควรแล้วที่เธอจะตื่นเต้น
แต่ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าเธอทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความหวาดหวั่นแบบเดียวกันกับที่ถูกเสือโคร่งจ้องมองด้วย
เพราะในสายตาของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างเธอ หนังสืออยู่ไหนล่ะ? เธอเห็นมือข้างหนึ่งเอื้อมออกมาจากหลุมดำ คว้าตัวจี้ป๋อหนงแล้วปกคลุมเขาไว้ทั้งตัว
และมือสีดำข้างนั้นก็เห็นได้ชัดว่าประกอบไปด้วยแมลงที่คล้ายตั๊กแตนและแมลงวันจำนวนนับไม่ถ้วนที่ส่งเสียงหึ่งไปรอบ ๆ จี้ป๋อหนงและกัดกินเขา
พวกมัน…พวกมันกินพ่อฉันอยู่!
การตระหนักนี้ทำให้จี้จือซู่เหงื่อแตกพลั่ก ฟันของเธอกระทบกันอย่างประหม่า และหัวใจของเธอก็เต้นรัวอย่างกระวนกระวาย
เธอรู้ว่าคนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถใด ๆ ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เพียงพอเพื่อเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ และทุกอย่างบนโลกล้วนเท่าเทียมกัน…
แต่ภาพที่เห็นก็ยังเกินจินตนาการของเธออยู่ดี
ในขณะที่จี้ป๋อหนงถูกฝูงแมลงกลืนเข้าไป บรรยากาศรอบ ๆ ก็เริ่มมีกลิ่นตะกอนเหม็นเน่า และจี้จือซู่ก็รู้สึกราวกับชุ่มไปด้วยน้ำมัน
ตอนนี้ผู้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นดูราวกับร่างมนุษย์ที่เกิดจากการก่อตัวกันของสสารที่ไม่รู้จัก
ในห้องโถงด้านข้างที่สว่างไสวนี้ดูแปลกอย่างยิ่ง
คนรับใช้เริ่มเสิร์ฟอาหาร…แต่ไม่มีใครตั้งคำถามกับสภาพนายของพวกเขาเลย ไม่มีใครคิดว่ามีอะไรผิดปกติ พวกเขาเข้ามาอย่างได้รับการอบรมมาดี แล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ
ดูเหมือนพวกเขามองไม่เห็นอะไรเลย…
จี้จือซู่หยิบมีดและส้อมในมืออย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเหลือบมองเจ้าของร้านหลินเงียบ ๆ
หลินเจี๋ยไม่สะท้านสะเทือนใด ๆ เลย เขาหันไปขอบคุณคนรับใช้ด้วยรอยยิ้มอย่างสุภาพแล้วจึงสังเกตเห็นสายตาของจี้จือซู่ เขาพูดโดยรักษารอยยิ้มไว้ “คุณหนูจี้มีคำถามอะไรหรือเปล่าครับ?”
รอยยิ้มนี้ทำให้จี้จือซู่หุบปากโดยพลัน
ใช่แล้ว! นี่คือบททดสอบ
เธออยากพูดแทนพ่อของเธอ แต่ก็ไม่กล้า
ในขณะที่เธอกำลังกังวลเพราะการตัดสินใจไม่ถูกของเธอ เจ้าของร้านหลินก็จะโทษความล้มเหลวของพ่อของเธอว่าไม่สามารถผ่านบททดสอบของเขาได้ แต่เธอก็กลัวด้วยว่าพ่อของเธอจะไม่มีวันกลับมาหลังจากนี้… นี่เป็นความเป็นห่วงใยจากลูกสาวคนหนึ่ง แต่ในเมื่อนี่คือเจตจำนงของเจ้าของร้านหลิน เธอจึงไม่สามารถขัดได้
จี้จือซู่กัดริมฝีปาก มองเจ้าของร้านหลินอีกครั้ง สูดหายใจลึก ๆ แล้วส่ายหน้าอย่างมั่นคง จากนั้นก็พูดลดเสียง “ไม่หรอกค่ะ แค่คิดไปเรื่อยว่าอาหารพวกนี้จะถูกปากคุณหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
“อ้อ…”
อย่างนี้นี่เอง เขาก็คิดอยู่ว่าจู่ ๆ จี้จือซู่ดูจะกระวนกระวายสุด ๆ ขึ้นมา
หลินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จิปากแล้วคิดครู่หนึ่ง…คิด ๆ แล้วเขาก็ไม่ค่อยสนใจอาหารพื้นเมืองนอร์ซินที่ดูเหมือนอาหารตะวันตกพวกนี้เท่าไรจริง ๆ
เขายิ้มแล้วพูดหยอก “ผมชอบมันมากเลยครับ ตามจริงแล้ว การเปิดร้านหนังสือในหลืบมุมห่างไกลแบบนี้ ผมจะไม่สามารถกินอาหารอร่อย ๆ แบบนี้ได้เลย ผมต้องขอบคุณคุณหนูจี้ที่ให้โอกาสผมได้กินดื่มของดี ๆ นะครับนี่”
จี้จือซู่โบกมือแล้วกล่าวว่า “ไม่หรอกค่ะ ไม่เป็นไรเลย เราต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณที่มา ตราบใดที่คุณชอบมันก็ดีแล้วล่ะค่ะ”
หลินเจี๋ยลูบคาง “แต่ว่า ผมก็มีอาหารที่ผมชอบอยู่นะ…อย่างเช่นเค้กน้ำผึ้งที่คุณชาร์ล็อตต์แนะนำมาเมื่อเช้า รสชาติของมันลืมไม่ลงจริง ๆ ครับ”
“!” จี้จือซู่มือสั่น เธอเกือบทำแก้วไวน์ล้มแล้ว
หลินเจี๋ยงุนงง “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
“…”
จี้จือซู่ส่ายหน้าราวกลองป๋องแป๋ง พยายามลบภาพเจ้าของร้านหลินที่กินคนระดับเหนือนภาสด ๆ ออกไปจากใจ
หลินเจี๋ยกังวลเล็กน้อย…
ทำไมรู้สึกเหมือนคุณหนูจี้กระวนกระวายเป็นพิเศษมาแต่แรกเลยล่ะ?
เจ้าของร้านหลินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพลันตระหนักได้ว่าจี้ป๋อหนงยังติดลมกับการอ่านหนังสืออยู่เลย
ใช่แล้ว เพราะพ่อของเธอนั่งอยู่ข้าง ๆ นี่เอง…พ่อของเธอดันมาได้ยินเธอสารภาพรักคนอื่นเข้าจัง ๆ ดังนั้นไม่ว่าใครก็กระวนกระวายกันทั้งนั้น และยังเป็นภาพที่เทียบได้กับความตายทางสังคมด้วย
คุณหนูจี้ผู้น่าสงสาร!
จี้จือซู่พลันตระหนักถึงการเสียมารยาทของเธอ วินาทีต่อมาเธอก็มองหลินเจี๋ยอย่างทึ่งและเคารพ แต่ก็พบว่าเจ้าของร้านหนังสือกลับเฉยเมยต่อเธอ แล้วยิ้มให้เธอด้วยความเห็นอกเห็นใจในแววตา
มันเป็นความเห็นใจจากคนระดับสูงเหรอ? ความเห็นใจในความไม่รู้และอ่อนแอของเธอ…หรือพวกเธอ?
“เอาล่ะ” หลินเจี๋ยทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ ปมของคุณหนูจี้…ไม่สิ ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธเธอซ้ำสองอย่างไร้เยื่อใยต่อหน้าพ่อของเธอได้แน่ ๆ อย่างน้อยก็ควรรอพูดหลังจบงานเลี้ยง
“คุณหนูจี้ เราชนแก้วกันไหมครับ? เพื่อความร่วมมือระหว่างร้านหนังสือกับบริษัทโรลล์”
หลินเจี๋ยยกแก้วไวน์ในมือแล้วบอกใบ้จี้จือซู่อย่างใจดีว่ามีเพียงธุรกิจที่สามารถก้าวข้ามความเก้อเขินเมื่อครู่ได้ “ผมเลือกหนังสือทดลองขายอย่างพิถีพิถันออกมาได้ห้าเล่มในครั้งนี้ และหวังว่าบริษัทโรลล์จะสามารถใช้ประโยชน์จากพวกมันได้ครับ”
จี้จือซู่ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจของเธอพลันตื่นเต้น การพูดถึงความร่วมมือในตอนนี้หมายความว่า…
เธอรีบยกแก้วของเธอขึ้น “เพื่อความร่วมมือค่ะ! บริษัทโรลล์ ไม่สิ คุณจะได้เห็นความจริงใจของตระกูลจี้ของเราแน่นอนค่ะ!”
กิ๊ง!
แก้วไวน์ส่งเสียงกังวานราวกับกรวดก้อนสวยที่ถูกโยนลงทะเลสาบที่นิ่งสงบจนเกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมสีดำมืด
จี้จือซู่ตกสู่ภวังค์ รู้สึกราวกับว่าสิ่งที่ถือแก้วไวน์ตรงหน้าเธอจะดูไม่เหมือนมือสีขาว ๆ ของมนุษย์ผู้ชายผู้มีรูปลักษณ์หล่อเหลา แต่กลับเป็นมือสีดำที่คลุมเครือ
หัวใจของเธอบีบตัว แล้วความคิดเล็ก ๆ ก็ทำให้เธอหันไปมองพ่อของเธอ
มือที่มองไม่เห็นที่จับวิญญาณของจี้ป๋อหนงอยู่ถอยร่นออกไปทันทีราวกับแตะถูกเหล็กร้อนเมื่อแก้วไวน์ทั้งสองสัมผัสกัน
“อะไร…”
จี้ป๋อหนงเงยหน้าขึ้นในฉับพลันราวกับว่าในที่สุด หลังจากหนีสัตว์ประหลาดร้ายกาจบางอย่างอยู่นาน เขาก็หนีจากกระเพาะของมันได้สำเร็จและได้ชีวิตใหม่ เหมือนปลาเกยตื้นที่ได้กลับสู่ทะเล
เขาออกมาจากหล่มของหนังสือ…
หลินเจี๋ยกะพริบตาแล้วนั่งกลับลงไป “คุณจี้ครับ คุณว่าหนังสือเล่มนี้มีประโยชน์ต่อคุณไหมครับ?”
จี้ป๋อหนงทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ จากนั้นก็กำมือแน่นแล้วพูดอย่างปีติยินดีแทบถึงขีดสุด “ครับ! สุด ๆ ไปเลย! ข…ขอบคุณ! ขอบคุณครับ…!”
เขาเกือบพูดไม่ได้ศัพท์…
เพราะจากนี้ไป โลกในสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แมลงวันที่ทะลวงเข้าไปในร่างของเขาได้สร้างทางเชื่อมขึ้นมาจากความไม่มี แล้วเติมเต็มเขาด้วยอีเธอร์
เขา…จี้ป๋อหนง ได้กลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแล้ว!
นี่คือปาฏิหาริย์!