บทที่ 366 : ของขวัญวันเกิดของหลินเจี๋ย
จี้ป๋อหนงไม่อาจพูดอะไรไปมากกว่าขอบคุณได้แล้ว
แม้ว่าการดำเนินการจะเจ็บปวดเกินบรรยาย ความรู้สึกราวกับขุดช่องในร่างกายของเขาเจ็บแทบบ้า แต่ร่างกายของเขาในตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างจำแทบไม่ได้แล้ว…
ดวงตาที่เปี่ยมอีเธอร์ของเขาสามารถเห็นการไหลของอีเธอร์ในโลกนี้ได้แล้ว
ผิวหนังและกล้ามเนื้อได้รับอีเธอร์ไปหล่อเลี้ยง และแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ
ที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกแมลงวันที่ทรมานเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่ซุกซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าที่ไหนสักที่ในเบื้องหลังเขา กลายเป็นพลังที่ตัวเองสามารถควบคุมได้…
“คุณจี้สุภาพเกินไปแล้วครับ ได้ช่วยคุณก็ดีแล้ว ผมเลือกหนังสืออยู่นานเลยล่ะ”
หลินเจี๋ยละอาย แต่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับจี้ป๋อหนงที่จะมีปฏิกิริยาโอเวอร์แบบนี้ เพราะถึงอย่างไร อำนาจของหนังสือเล่มนี้ก็ยิ่งใหญ่แม้กระทั่งบนโลก อย่าว่าแต่โลกที่ล้าหลังหน่อย ๆ แบบนี้เลย
ชายหนุ่มนั่งตัวตรง มือประสานใต้คางตามความเคยชิน และสีหน้าของเขาก็จริงจัง “พลังที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้เพียงพอที่จะล้มล้างสังคมทั้งหมดได้เหมือนมือที่มองไม่เห็นที่สามารถเปลี่ยนความสมดุลของทั้งโลกได้ ผมหวังว่าคุณจี้จะใช้มันให้ดีนะครับ”
มือที่มองไม่เห็นคือข้อสรุปที่ชัดเจนที่สุดของ ‘ความมั่งคั่งของประชาชาติ’
ทฤษฎี ‘มือที่มองไม่เห็น’ นี้หมายถึงมือที่มองไม่เห็นในการทำธุรกรรมทางเศรษฐศาสตร์ที่จะปรับดุลไปมาโดยอัตโนมัติ แม้ว่าทุกคนจะเริ่มจากมุมมองของผลประโยชน์ส่วนตัว ผลที่ได้ก็จะหนุนเสริมผลประโยชน์โดยรวมของสังคมอยู่ดี
ทฤษฎีนี้ยังเป็นรากฐานของเศรษฐกิจเสรีทางตะวันตกด้วย แม้ว่าเศรษฐกิจเสรีนี้จะยังมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ในสังคมศตวรรษที่ 21 ของหลินเจี๋ย เนื้อหาส่วนใหญ่ของ ‘ความมั่งคั่งของประชาชาติ’ ก็ตกยุคไปแล้ว
แต่ในด้านของสถานการณ์ปัจจุบันของนอร์ซิน ‘ความมั่งคั่งของประชาชาติ’ ถือว่าล้ำหน้าเอาการ
ตัวหลินเจี๋ยเองไม่มีความทะเยอทะยานและไม่รู้จะใช้หนังสือพวกนี้ที่ไหน ดังนั้นให้ประธานจี้ไปคงสมเหตุสมผลกว่า
“มือที่มองไม่เห็น…”
จี้ป๋อหนงสงบความตื่นเต้นของเขาอย่างยากลำบาก พูดซ้ำคำเหล่านี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนมีมือข้างหนึ่งบงการแมลงวันที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าเมื่อครู่…หรือบางอย่างนอกเหนือจากนั้นอยู่จริง ๆ
“ใช่ครับ มือที่มองไม่เห็น” หลินเจี๋ยตอบรับแล้วพูดด้วยสีหน้าเข้มงวดที่หาได้ยาก “คุณจี้ครับ ถึงผมจะให้หนังสือเล่มนี้กับคุณเพราะเชื่อใจคุณหนูจี้ แต่ผมก็ยังมีคำถามหนึ่งอยากถามคุณ…ในโลกที่ผู้อ่อนแอมักถูกข่มเหง ส่วนผู้แข็งแกร่งลอยนวลนี้”
“คุณคิดว่าควรมีพระเจ้าผู้เที่ยงธรรมมอบความเป็นธรรมให้พวกเขาหรือเปล่าครับ?”
จี้ป๋อหนงสะดุ้งน้อย ๆ หลังจากได้ยินเช่นนี้ จากนั้นหนังศีรษะของเขาก็ชายิบ
ด้วยมือที่มองไม่เห็นจาก ‘ฝ่ามือสัมผัสแห่งความว่างเปล่า’ แล้วเจ้าของร้านหลินก็ถามว่าเขาอยากทำอะไรกับมัน?
แก่นของคำถามนี้ดูเหมือนจะอยู่ที่…คำว่า ‘พระเจ้า’ เขาจะใช้มือที่มองไม่เห็นที่สามารถเปลี่ยนกฎได้นี้หาความเป็นธรรมให้ตัวเองหรือไม่
จี้ป๋อหนงเงียบไปอยู่นาน จากนั้นก็พูดเสียงสั่น ๆ “จากที่ผมคิด ก็น่าจะมี…”
“ไม่ ๆๆ”
หลินเจี๋ยยกนิ้วขึ้นส่าย จากนั้นก็พูดยิ้ม ๆ “มันไม่ควรมีครับ”
จี้ป๋อหนงสำลัก…
“ไม่มีพระเจ้าอะไรนั่นหรอก” หลินเจี๋ยพูดอย่างสุขุมและกางมือของเขาออก “ถ้ามีพระเจ้าอยู่จริง ๆ…พวกเขาก็คงเผยสัจธรรมแห่งโลกและปกครองโลกกันเองแล้ว การหวังพึ่งให้พระเจ้าจุติลงมาจากฟ้าเพื่อผดุงความยุติธรรมเป็นเพียงความฝันเฟื่องครับ…”
หลินเจี๋ยยังคิดอยู่ว่า จากหลักเหตุผลทั่วไปของศาสนาที่เฟื่องฟูในนอร์ซินแล้ว คำพูดของหลินเจี๋ยดูจะล้ำสมัยเกินไปสักหน่อย
“จุดอ่อนของสันดานมนุษย์คือการเสาะหาผลประโยชน์และเลี่ยงข้อเสียครับ” หลินเจี๋ยสรุปข้อความสำคัญของ ‘ความมั่งคั่งของประชาชาติ’ มาพูด “ไม่มีอะไรกระตุ้นคนได้ดีกว่าผลประโยชน์ และสิ่งใดก็ตามที่ละเมิดผลประโยชน์ของมนุษย์จะทำให้มนุษยชาติถูกกระตุ้นให้ทำสิ่งผิดมนุษยธรรม…”
“เพราะเหตุนี้ เมื่อมือที่มองไม่เห็นกระตุ้นกฎเกณฑ์ บ่อยครั้งมันจึงเสรีเกินไป ทำให้ผู้คนกอบโกยผลประโยชน์อย่างบ้าคลั่ง และสุดท้ายก็จบที่ถูกทำลาย”
จี้ป๋อหนงพลันนึกถึงคำพูดที่เขาแอบฟังมาก่อนหน้านี้ได้ ถึงจะบอกว่าเขาแอบฟัง แต่เมื่อคิดดูแล้ว เจ้าของร้านหลินก็คงจงใจพูดให้เขาได้ยิน
เขาบอกว่าชนชั้นสูงของนอร์ซินเต็มไปด้วยหนอนนับไม่ถ้วน และพลังที่เหลืออยู่ของผู้ดีเหล่านั้นก็กัดกินนอร์ซิน พวกเขาก็เป็นแค่พวกผู้แสวงหาผลประโยชน์
จี้ป๋อหนงก้มลงมองหนังสือ และดูจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าของร้านหลินจึงเลือกหนังสือเล่มนี้ให้เขาอย่างพิถีพิถัน…
“บริษัทโรลล์มีไว้เพื่อปลดปล่อยมนุษยชาติและช่วยเหลือผู้ที่ถูกกดขี่”
จี้ป๋อหนงพูดเสียงต่ำ แล้วดวงตาของเขาก็ส่องประกาย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “นี่คือจุดหมายที่แท้จริงของบริษัทโรลล์! ขอบคุณสำหรับคำสอนครับ!”
หา?
เราเหรอ? มั้ง…!
หลินเจี๋ยคิดอย่างเขิน ๆ ในใจ เขาแค่อยากให้จี้ป๋อหนงตื่นตัว ไม่ให้กลายเป็นนายทุนที่สนแต่กำไร แต่ดูเหมือนเขาจะทำให้อีกฝ่ายตระหนักถึงเรื่องเหลือเชื่อบางอย่างเข้าแล้ว
เขากระแอมสองทีแล้วกล่าวว่า “สั้น ๆ ก็คือ สิ่งสำคัญที่สุดที่จริงก็คือความพยายามของตัวบุคคลเอง ทั้งการเป็นทาสและการกดขี่ต่างไม่ใช่เรื่องที่พึงประสงค์ครับ”
ใช่แล้ว ผู้กดขี่ผู้อื่นต่างผิดหลักมนุษยธรรม พวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นองค์กรศาสนาต่างก็ปฏิเสธว่าตนเองกดขี่มนุษย์อยู่โดยสันดาน โบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้ยืนยันเรื่องนี้แก่เจ้าของร้านหลินแล้ว…
จี้ป๋อหนงคิดในใจ เจ้าของร้านหลินและระดับเหนือนภาพวกนั้นดูจะเป็นปรปักษ์กัน และเป้าหมายของเขาก็คือการปลดปล่อยมนุษยชาติ
และอีกมากมาย! จี้ป๋อหนงพลันนึกบางอย่างได้ ถ้าเจ้าของร้านหลินเป็นตัวตนที่เหนือชั้นกว่าระดับเหนือนภา และเขารู้สึกเห็นอกเห็นใจอยากช่วยชาวประชา และเขาก็เปลี่ยนกฎต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ
ช่างเมตตาและทรงพลัง
จะเป็นไปได้ไหมว่าเขา…คือผู้สร้าง?
จี้ป๋อหนงสะกดความคิดที่บ้าคลั่งของเขา สูดหายใจลึก ๆ แล้วจับหนังสือในมือให้มั่น “ผมเข้าใจสิ่งที่เจ้าของร้านหลินสื่ออย่างเต็มที่เลยครับ และผมจะจดจำคำพูดของคุณไว้ในใจ ยึดติดกับเส้นทางนี้ และนำบริษัทโรลล์ไปสู่อนาคตที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอนครับ…”
“เข้าใจก็ดีแล้วครับ”
ถ้าคุณเข้าใจจริง ๆ ไม่ตีความเป็นอะไรแปลก ๆ น่ะนะ…
หลินเจี๋ยกะพริบตาแล้วย้ำแนวคิดหลักด้วยใบหน้าจริงจัง “สั้น ๆ ก็คือ ผมคิดว่าทางออกของบริษัทโรลล์ไม่ได้อยู่ที่ชนชั้นสูง แต่เป็นการกระจายเกียรติแห่งมนุษยธรรมไปให้ทั่วนอร์ซิน ทำเพื่อประโยชน์ของผู้คนส่วนใหญ่ และทำงานอย่างหนัก…ความรักและการยอมรับของคนเหล่านี้จะทำให้บริษัทโรลล์กลายเป็นความชอบธรรมครับ”
“ใช่แล้ว…” จี้ป๋อหนงพยักหน้าหงึกหงัก “สำหรับคนทั่วไปอย่างผม สักวัน ผมจะออกจากการกดขี่ให้ได้!”
หลินเจี๋ยมุมปากกระตุก
คนทั่วไป?
กล้าพูดได้อย่างไรว่า…คนที่รวยที่สุดในนอร์ซินเป็นคนทั่วไป? บ้านที่ดูเหมือนพระราชวังแวร์ซายนี่ไม่ธรรมดาหรอกเฟ้ย!
แต่สรุปแล้ว ประเด็นหลักคือเราไม่ได้เข้าใจผิด ด้วยสถานะผูกขาดสิ้นเชิงของบริษัทโรลล์ ผลเชิงลบของ ‘ความมั่งคั่งของประชาชาติ’ ก็น่าจะลดลงมาก
หลินเจี๋ยกระแอมไอสองครั้ง “ผมพูดออกทะเลไปแล้ว เกือบลืมเลยว่าผมไม่ได้อยู่ในร้านหนังสือตอนนี้ เราหยุดเรื่องหนังสือไว้ก่อนนะครับ ผมมาที่นี่เพื่อให้ของขวัญต่างหาก”
เขามองจี้จือซู่แล้วพูดอย่างจริงใจ “ผมพบคุณหนูจี้ในพายุฝนเมื่อสองสามเดือนก่อน แล้วเราก็เป็นเพื่อนกันได้ด้วยหนังสือ รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปนานแล้ว ในความคิดผม เราควรจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนซี้กันได้แล้วนะครับ”
หลินเจี๋ยเพิ่มคำว่า ‘เพื่อน’ เพื่อให้จี้จือซู่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
“สุขสันต์วันเกิดครับคุณหนูจี้”
หลินเจี๋ยหยิบกล่องไม้เรียบ ๆ กล่องหนึ่งมาจากด้านหลังราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เปิดดูสิครับ”
หลินเจี๋ยผลักกล่องไปอยู่ตรงหน้าจี้จือซู่
จี้จือซู่มองกล่องที่เรียบง่ายกล่องนี้ สูดหายใจลึก ๆ เหลือบมองพ่อของเธอ แล้วทำใจกล้าเปิดกล่องอย่างนุ่มนวล
ภาพที่ปรากฏช้า ๆ ต่อหน้าจี้ป๋อหนงและจี้จือซู่คือนาฬิกากลตั้งโต๊ะที่มีโครงสร้างอย่างประณีต
จี้จือซู่ตะลึงงัน…
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของจี้จือซู่ หลินเจี๋ยก็อดกระแอมสองสามครั้งไม่ได้
…ที่จริงแล้วนี่คือหนอนเฟืองนาฬิกาที่แอนดรูว์ให้หลินเจี๋ยไว้ในครั้งก่อน และถูกหลินเจี๋ยนำมาใช้เป็นการยืมดอกไม้ถวายพระ
เพราะร้านหนังสือจน ๆ ของชายหนุ่มไม่มีของมีค่าอะไร และจี้จือซู่ก็มีความสนิทสนมกับเขา ดังนั้นเขาจะให้หนังสือกับเธอทุกครั้งคงไม่ได้…
ดังนั้นหลินเจี๋ยย่อมคิดถึงนาฬิกาที่สร้างขึ้นอย่างงดงามเรือนนี้
แม้ว่าครั้งก่อนเขาจะแอบบ่นจากก้นบึ้งหัวใจว่า ของอย่างนาฬิกาจะให้เป็นของขวัญได้อย่างไรก็เถอะ ของแบบนี้ให้คนอื่นได้ด้วยเหรอ?
แต่เมื่อคิดว่าคนในนอร์ซินคงไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ และเขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นจริง ๆ หลินเจี๋ยก็เลยนำมันมา
แต่เดิมแล้วมันถูกเก็บไว้ในกล่องขัดเงาอย่างหรูหรา แต่น่าเสียดายที่มันถูกเจ้าของร้านหลินผู้พ่ายแพ้แก่สันดานมนุษย์แย่งกล่องไป เพราะกล่องนี้ดูเหมือนจะขายได้หลายตังค์อยู่
“อย่าคิดว่ามันเป็นแค่นาฬิกาธรรมดาเชียวนะครับ” หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ หยิบนาฬิกาออกจากกล่องแล้วชี้เจ้าหนอนน้อยในนั้น “พลังของมันไม่ธรรมดาเลยล่ะ”