บทที่ 36: มาสเตอร์คีย์
“แฮ่ก…แฮ่ก…”
เมลิสซ่ากอบโกยลมหายใจเข้าปอด รู้สึกคล้ายตนเพิ่งผ่านความตายมาอย่างไรอย่างนั้น
ร่องรอยความหวาดผวาเหล่านั้นยังคงคลอเคลียอยู่ในใจเด็กสาว และสิ่งที่เคยเข้าใจเมื่อก่อนหน้านี้ถูกยกเครื่องจนสิ้น วิญญาณของเธอเหมือนถูกบดขยี้ไม่เป็นชิ้นดีก่อนถูกประกอบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ราวกับแก่นแท้ซึ่งอยู่ลึกที่สุดของเธอถูกกระชากออกและรื้อถอนอย่างบ้าคลั่งก่อนที่ห้วงลึกนี้จะถูกยัดจนเต็มไปด้วยความว่างเปล่าอันแปลกใหม่ทว่าลึกลับ
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนก่อนเปิดหนังสือเล่มนี้ แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นในห้วงมิติเดียวกัน เด็กสาวกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่เมลิสซ่าคนเดิมอีกต่อไป
แม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมลิสซ่าก็แอบสัมผัสได้ว่ามีอะไรมาแทนที่แก่นแท้ของวิญญาณเธอและไหลเวียนอยู่ในร่างกายนี้ ‘หลักสำคัญแห่งสรรพสิ่ง’
หรือบางที…จะเรียกว่าเป็นมาสเตอร์คีย์ที่สามารถปลดล็อกประตูทุกบานก็ได้
เพียงแต่แก่นแท้ในร่างของเธอนั้นมีข้อจำกัดที่สามารถใช้ได้สำหรับลักษณะเฉพาะของ ‘อัศวิน’ เท่านั้น
นั่นหมายความว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตราบใดที่เธอยอม เมลิสซ่าจะสามารถครอบครองทุกคุณสมบัติที่เกี่ยวกับอัศวิน และแค่ต้องฝึกฝนต่อไปเพื่อลับทักษะเหล่านั้นให้คม
หากให้เปรียบเทียบ ‘หลักสำคัญแห่งสรรพสิ่ง’ นั้นทำให้โลกแห่งความเป็นจริงกลายเป็นวิดีโอเกม และทักษะทั้งหลายถูกแปลงเป็นแผงสกิล ดังนั้น สิ่งที่เธอต้องทำก็แค่แตะไอคอน สั่งสมประสบการณ์และอัปเลเวลไปเรื่อย ๆ ก็เท่านั้นเอง
ประสบการณ์คอขวดหรืออุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาฝีมือของเธอไม่มีอยู่อีกต่อไป นะ…นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นถึงจะให้ได้!
เด็กสาวเริ่มเข้าใจความหมายของระดับ S…จุดจบอารยธรรมในที่สุด
ใบหน้าของเมลิสซ่าซีดเผือดและเหงื่อแตกพลั่ก เธอชักจะเสียใจกับการกระทำหุนหันพลันแล่นของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว
นอกจากนี้ เมลิสซ่าไม่เคยออกจากนอร์ซินมาก่อนและไม่เคยพบศัตรูที่อยู่เหนือระดับสัตว์ประหลาดเลย เธอยังมองโจเซฟเป็นการอ้างอิงของระดับภัยพิบัติได้ แต่ไม่รู้คอนเซ็ปต์ของระดับจุดจบอารยธรรมมาก่อน
อีกอย่าง บันทึกเกี่ยวกับระดับจุดจบอารยธรรมนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย และตำนานเล่าขานซึ่งแพร่กระจายไปถือว่าคลุมเครือนัก ส่วนใหญ่จะพบได้ในหนังสือเทววิทยา แต่เรื่องราวส่วนใหญ่ไม่ได้ดูเป็นจริงอะไรขนาดนั้น
เมลิสซ่าคิดมาตลอดว่าระดับจุดจบอารยธรรมนั้นต้องแข็งแกร่งมาก แต่ไม่เคยคิดว่าจะแกร่งทะลุโลกได้แบบนี้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้ยืนยันแล้วว่าความคิดของเธอมันผิดมาโดยตลอด!
ฝ่ายหลินเจี๋ยนั้นรู้สึกเข้าใจถึงจิตใจเด็กนักเรียนที่เกลียดกลัวคณิตศาสตร์ถึงที่สุด ประสบการณ์สุดรวดร้าวแสนทรมานไม่รู้จบแต่กลับแก้โจทย์ไม่ได้เลยสักข้อนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนไปได้เลยแม้ในยามหลับใหล
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กสาวตรงหน้าเขาดูจะเว่อร์วังไปหน่อย ร่างกายของเธอสั่นระริกพลางหอบแฮก และสีหน้าก็ซีดเสียจนเห็นได้ชัด
ดูจะเป็นความหลังฝังใจขั้นหนักแฮะ ฮึ่ม… แสดงว่าเลขเป็นจุดอ่อนสินะ หลินเจี๋ยจดข้อมูลไว้ในใจก่อนถามออกไป “ไหวไหมครับ อยากให้ผมช่วยตอบคำถามบางข้อไหม ดูเหมือนคุณจะไม่เข้าใจหนังสือเล่มนี้สักเท่าไรเลย”
เด็กสาวเงยหน้ามองด้วยความลนลานพร้อมจ้องมองเขาด้วยความระมัดระวัง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นราวกับมองปีศาจ
ปีศาจ…ใช่แล้วล่ะ ปีศาจชัด ๆ!
การเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของคนอื่นโดยไร้ซุ่มเสียงแถมยังสร้างความทรมานกับจิตใต้สำนึกที่ถูกแยกออกจากกันอีก แบบนี้จะไม่เรียกว่าเป็นปีศาจได้อย่างไร?
และข้างหลังเขา…
เมลิสซ่าขนลุกซู่ขึ้นมาเมื่อคิดถึงสถานที่นี้ เธอควรจะหยุดคิดเรื่องนี้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเด็กสาวอาจเป็นบ้าไปเสียก่อน
แต่ปีศาจตนนี้ทำให้ความปรารถนาของเธอเป็นจริง มากมายถึงขั้นอยู่เหนือความคาดหวังของเธอ และปูเส้นทางใหม่ให้ก้าวเดินเลยทีเดียว
เมลิสซ่าแอบสัมผัสได้ว่านี่เป็นทางเดินที่ไม่มีทางหวนกลับ
หนังสือเหล่านี้ดูจะเป็นการตีแผ่เรื่องราวของสิ่งมีชีวิตนอกโลกอันทรงพลัง และเจ้าของร้านหนังสือเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าดูเหมือนเธอเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ทางหลินเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจกับสีหน้าของเด็กสาวคนนี้นัก
ไหงจ้องเหมือนกับว่าฉันไปก่อเรื่องแย่ ๆ เข้าให้ล่ะนั่น? หลินเจี๋ยรู้สึกขำ ชายหนุ่มแค่ต้องการมอบหลักสูตรเพิ่มเติมให้ลูกค้าท่านใหม่และช่วยคลายปัญหาระหว่างครอบครัวในเวลาเดียวกันให้ก็เท่านั้นเอง
แม้จะลอบคิดว่าต้องโดนกลอกตาใส่เพราะให้หนังสือเก็งข้อสอบแน่ แต่หลินเจี๋ยนั้นตั้งใจจะช่วยเธอจริง ๆ
มีหลายคนที่ไม่รู้ซึ้งถึงความสำคัญของการเรียนรู้ กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้วด้วยซ้ำ
เฮ้อ…ดูท่าจะต้องจับเข่าคุยกับโจเซฟเรื่องปัญหาการเรียนของเด็กคนนี้ตอนเขามาที่นี่อีกครั้งแล้วสิ
ถ้าหนังสือเก็งข้อสอบฯ ไม่พอย่อมสามารถเอาจำนวนไปทดแทนได้
หากเธอทำทั้งหมดนี่แล้วผลลัพธ์ยังไม่ดีพอละก็ เธออาจจะต้องพยายามมากกว่านี้ ดังนั้น ถ้าจะเอาข้อสอบเก่าไปทำเพิ่มก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก!
และหากผลลัพธ์ออกมาดีแล้ว เธอยังต้องไต่เต้าระดับตัวเองและทำข้อสอบให้ได้ทุกวัน จะเอาข้อสอบเก่าไปทำเพิ่มก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรเหมือนกัน!
เอาเป็นว่า ฉันแค่ต้องให้ข้อสอบเก่าเธอไปทำเรื่อย ๆ นั่นแหละ
หลินเจี๋ยจัดการคิดเรียบร้อยแล้วว่าควรจะมอบข้อสอบชุดไหนให้เด็กตรงหน้าในอนาคต และถึงขั้นวางแผนตารางงานพร้อมตารางพักเรียบร้อยเสร็จสรรพโดยไม่ได้ถามเจ้าตัวเลยสักนิด
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ พร้อมถาม “อะไรเหรอครับ กลัวว่าจะรับมือไม่ได้เลยไม่ต้องการมันเหรอครับ ผมเข้าใจนะถ้าคุณคิดจะยอมแพ้”
“แต่ว่าผมเองยังรู้สึกว่าคุณเป็นเด็กมีพรสวรรค์ที่ควรได้รับอนาคตที่ดีกว่านี้นี่สิ ตราบใดที่คุณพยายาม คุณก็จะได้รับพลังเพื่อเปลี่ยนปัจจุบันนี้ได้แน่นอน และนั่นจะทำให้พ่อของคุณภูมิใจด้วยนะครับ”
หลินเจี๋ยพูดด้วยความเสียใจและสัตย์จริง
แม้แต่เด็กเปรตยังต้องการคำชม ความจริงแล้วพวกเขาอยากได้รับคำชมมากกว่าเด็กทั่วไปด้วยซ้ำ อีกทั้งเท่าที่หลินเจี๋ยรู้มา โจเซฟดูจะไม่เคยชมเธอเลยสักครั้ง หากปล่อยไปแบบนี้จะปลูกฝังให้เด็กไม่มีความมั่นใจในตัวเองมากกว่า
การกระทำของเมลิสซ่าเช่นการหนีออกจากบ้านหรือการงัดข้อถือว่าเป็นหนทางค้นหาการได้รับความสนใจที่เธอขาดหายไป
นิสัยแบบนี้แปลว่าเด็กสาวถูกปั่นหัวได้ง่ายด้วย…
เมลิสซ่าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อกอบกู้ความกล้าแล้วเอ่ยเสียงเล็ก “ไม่ค่ะ ฉันไม่ใช่คนขี้ขลาด ขอบคุณนะคะที่เข้าใจและชี้แนะ จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่ค่ะ ฉัน…ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะที่เมื่อกี้ทำตัวหยาบคายไป!”
เธอก้มหัวลงด้วยความละอายใจต่อความโง่เง่าแสนอวดดีของเธอ
เมื่อเห็นเมลิสซ่าโค้งหัวให้ หลินเจี๋ยจึงยิ่งมองว่าหนังสือเก็งข้อสอบเป็นตัวปราบพยศชั้นดี เมลิสซ่าได้กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายไปแล้ว ทั้งที่เธอเป็นแค่เด็กโข่งแสนกระตือรือร้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
ทว่าการก้าวข้ามความกลัวการเรียนและเลือกจะเผชิญหน้ากับมันนั้นถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ความคิดแบบนี้ก็ไม่ได้แย่เท่าไร ตราบใดที่ยังคงความอยากรู้อยากเห็นและถ่อมตัวเอาไว้ได้ ประตูสู่ปัญญาจะยังเปิดเพื่อคุณเสมอครับ”
หลินเจี๋ยเอากระเป๋าออกมาและจัดเรียงหนังสือใส่เข้าไป “ขอบคุณที่อุดหนุนครับ รวมทั้งหมดนี้ราคาหนึ่งร้อยดอลลาร์นะครับ”
เมลิสซ่าจ่ายค่าหนังสือด้วยความงงงวยและเดินโซเซออกจากร้านหนังสือ ก่อนจะนึกสิ่งสำคัญขึ้นมาได้
ฉันมายืมหนังสือไม่ใช่เหรอ?
แล้วไหงกลายเป็นซื้อหนังสือเป็นกองงี้แทนได้ล่ะ?
—
จี้จือซู่ได้สติกลับคืนมาจากความมืดมิด หญิงสาวเปิดตาเล็กน้อย เมื่อพบที่มาของแสงแล้วต้องการตั้งท่าต่อสู้ต่อ
ร่างทั้งร่างของเธอเหมือนจะแตกสลายไม่มีชิ้นดี และหัวกำลังปวดตุบ ๆ บางทีอาจเป็นผลของเลือดอสูรในกายซึ่งยังเดือดพล่านในระดับที่เธอทนต่อมันได้ยาก
ความทรงจำสุดท้ายคือการหนีไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็หมดสติลง
“อย่าขยับเลยเจ้าค่ะ ท่านบาดเจ็บมากมายนัก”
เอลฟ์เหรอ?