บทที่ 375 : ผีเสื้อตัวนั้นกระพือปีก
กาลเวลา…
มันคือหนึ่งในกฎเกณฑ์สูงสุดที่มนุษย์ผู้เป็นสัตว์ประเสริฐเหนือสิ่งมีชีวิตใดไม่สามารถทำความเข้าใจหรือควบคุมได้ เพราะสิ่งมีชีวิตในมิติล่างนี้ไม่เคยได้เห็นมิติระดับสูงกว่า ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความเข้าใจดังกล่าวนี้ได้เลย
ดังนั้นการที่ตระกูลแอนดรูว์สามารถจับและควบคุมสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่อาศัยในธารแห่งเวลาอย่างหนอนเฟืองนาฬิกาซึ่งสามารถควบคุมเวลาได้ นี่ก็ทำให้พวกเขาได้รับพลังของกฎเกณฑ์แห่งเวลาทางอ้อม
แต่อานาเอลที่ปรากฏสู่โลกในฐานะ ‘ผีเสื้อแห่งธารเวลา’ ซึ่งโดดเด่นจากหมู่หนอนเฟืองนาฬิกานั้นถือสิทธิ์ในกาลเวลา และไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรเลย
การกระโดดข้ามมิติเป็นเรื่องที่เธอทำได้โดยสัญชาตญาณเหมือนกับการเดิน
ด้วยความสามารถเฉพาะตัวเช่นนี้ แม้จะอยู่ต่อหน้าตัวตนในระดับเดียวกัน เธอก็ยังสามารถดูแคลนทุกคนได้ เหมือนหลังจากที่เธอได้เข้าร่วมกับวิถีแห่งดาบอัคคี กระทั่งมิคาเอลยังไม่สั่งเธออย่างวางมาดเลย
แม้ว่าจากแก่นแท้แล้ว เธอจะเป็นแค่แมลงตัวน้อยในโลกมิติสูงกว่าก็ตาม
ทว่าสำหรับมนุษย์ เธอคือนายแห่งเวลาที่เหนือทุกสรรพสิ่ง
มันควรจะเป็นแบบนี้…
แต่ทั้งหมดนี้กลับถูกเปลี่ยนแปลงโดยชายหนุ่มผมดำผู้น่าหวาดกลัวจากแค่การพบกันในเวลาสั้น ๆ
เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะอยู่ในสภาพเละเทะขนาดนี้ได้ ไม่เพียงร่างของเธอถูกจับได้โดยตรง แต่ยังไม่มีช่องให้ขัดขืนได้เลย แถมยังเกือบถูกกินเกลี้ยง เหลือไว้เพียงร่างน้อย ๆ ที่หนีออกมาได้ตามสัญชาตญาณ
“พลัง…คืนพลังข้ามา…”
เธอโหยหวนอย่างแสนสาหัสพลางกระโดดข้ามกาลเวลาอย่างรวดเร็ว ตามสัญชาตญาณของเธอเพื่อหาต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ ด้วยความคิดเดียวว่าจะให้อีกฝ่ายคืนพลังของเธอมา
แค่หนีให้พ้นทำให้อานาเอลสิ้นพลังทุกอย่างที่เธอมีในชีวิต ร่างกายและพลังที่หายไปทำให้เธออยู่ในภาวะกึ่งเสียสติ ในตอนนี้เธอดูเหมือนกับไปเป็นแมลงไม่รู้ตาสีตาสาที่ทำตามสัญชาตญาณอย่างหน้ามือตามัวไปแล้ว
จู่ ๆ ความปั่นป่วนในดวงตาของเธอก็ทอประกาย และการฉุกคิดได้กะทันหันนี้ก็เหมือนเส้นแสงจาง ๆ ที่ดึงตัวเธอ…
ตรงนั้น!
ไม่เพียงแต่ตัวการที่กินพลังแทบทั้งหมดของเธอไป แต่ยังมีออร่าของสมาชิกเผ่าพันธุ์ที่เธออยากจะปกป้องมาตั้งแต่แรกด้วยที่ปรากฏขึ้นชัดยิ่งกว่าครั้งไหน!
ใช่ ใช่แล้ว!
ไม่ใช่ว่าเธอมาที่นี่เพื่อจะช่วยเพื่อนร่วมเผ่าของเธอเหรอ?
อานาเอลที่ไม่ต่างอะไรกับหนอนเสียพลังในการคิดไปแล้ว จากนั้นก็โถมเข้าใส่จุดหมายอันเย้ายวนราวกับแมลงวันไร้หัว
“พลังของข้า!” อานาเอลลิงโลด แล้วโถมร่างพัง ๆ ของเธอเข้าไปในกาลเวลานั้นทันที
—
ในห้องโถงด้านข้าง พ่อลูกตระกูลจี้และเกร็กที่พังประตูเข้ามาพลันเบิกตากว้างขึ้นพร้อม ๆ กัน พวกเขามองเข็มวินาทีในมือเจ้าของร้านหลินที่ถูกหมุนไปมากกว่าครึ่งแป้น
จี้จือซู่มีสีหน้าว่างเปล่า สมองที่น่าสงสารของเธอหยุดการทำงานไปแล้ว เธอจำได้ว่า…เจ้าเครื่องนี้ การย้อนเวลาจะเทียบกับนาฬิกาได้โดยสมบูรณ์ใช่ไหม?
สิ่งที่เกร็กอยากจะพูดอย่างกระวนกระวายจุกคาลำคอของเขา และเขาก็ตะลึงเมื่อจำได้ว่าวัตถุชิ้นนี้เป็นสมบัติลับที่ควบคุมเวลาได้ของตระกูลแอนดรูว์
หรือว่า…
ความคิดของเขายังไม่ทันก่อตัว แต่วินาทีต่อมา การไหลของเวลาก็ถูกย้อนกลับแล้ว
—
อานาเอลเพิ่งกระโดดข้ามเวลายังไม่ทันเสร็จ ยังติดคาอยู่ในช่องเวลาของเวลาในท่าเอื้อมแขนออกใกล้สัมผัสเพื่อนร่วมเผ่าที่ถูกกักขังของเธอ
แต่แล้ว…เธอก็สัมผัสได้ว่าธารแห่งเวลาอันยาวไกลเริ่มไหลย้อน!
ด้วยนิ้วของหลินเจี๋ยที่เขี่ยเข็มวินาทีย้อนกลับอย่างง่าย ๆ การไหลของเวลาตามปกติพลันจบลงดื้อ ๆ ราวกับถูกใครบางคนหั่นออก…
แล้วการไหลของกาลเวลารอบ ๆ ตัวเธอก็ม้วนตัวใส่เธอราวกับเป็นกำแพงที่ถูกปิด
อานาเอลไม่มีเวลาให้คิด ครั้งนี้เธอหนีไม่ได้แล้ว
ผีเสื้อที่ข้ามผ่านมิติเวลามากมายถูกอำนาจยิ่งใหญ่แห่งเวลากระแทกเข้าใส่ราวถูกโยนเข้าไปในถังซักผ้าที่ปั่นไม่หยุด
ร่างของเธอถูกกระชาก เส้นแสงนับไม่ถ้วนที่ก่อเป็นตัวเธอระเบิดกลายเป็นหนอนนับหมื่น ๆ ตัวกระจายไปทุกทิศทุกทาง อานาเอลเบิกตาอย่างไม่เต็มใจ
“อย่านะ…”
อานาเอลคำราม ดิ้นรนสุดชีวิตท่ามกลางการสลายตัวและรวมตัวใหม่กลับไปกลับมา
การย้อนเวลากลับไปมาในช่องว่างของกาลเวลานั้นเป็นเหมือนเครื่องบดเนื้อที่ฉีกปั่นร่างของเธอจนยุ่งเหยิงเหมือนก้อนขนสัตว์ที่ถูกแมวเล่น ร่างของเธอกระจายไปในช่วงเวลาเดียวกันที่จุดเวลาเดียวกัน แต่ในช่องว่างต่าง ๆ กัน
“ช่วยด้วย…ช่วยข้าที…ใครก็ได้…ข้าไม่อยากตาย…!”
อานาเอลแข็งทื่อด้วยความกลัวตาย ไขว่ขว้าทุกรอยแตกในมิติเวลาที่ปั่นป่วน พยายามหาหลักยึดเกาะให้ได้ ตอนนี้เธอดูราวกับคนจมน้ำในทะเลที่จะไม่ปล่อยมือแม้จะคว้าได้แค่เส้นฟาง
แต่ว่าอำนาจการย้อนมิติเวลานั้นหยุดไม่ได้ เหมือนกับน้ำที่ถูกเทลงมาจากมิติเวลาที่สมบูรณ์ที่สุด พัดเอาร่างที่แตกสลายของเธอออกไป
การม้วนตัวราวกับเป็นผ้าขนหนูของมิติเวลาม้วนเอาความจริงและห้วงนิมิตไปด้วยกัน สร้างเป็นเขตแดนพิศวงที่รวมตัวเข้ากับพื้นที่จำลองที่มีอยู่ก่อนแล้ว
ในขณะเดียวกัน ช่องว่างระหว่างมิติและเวลาก็ปิดลงโดยสมบูรณ์ แล้วกำแพงที่บิดเบี้ยวทั้งสองก็ขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ระหว่างพวกมันจนเป็นผง
อานาเอลระเบิดราวกับลูกโป่งน้ำที่ถูกแรงดันสูงสุดบีบ แล้วคลื่นพลังเหนือธรรมชาติที่จะซัดออกมาเมื่อมีระดับเหนือนภาตายลงก็พุ่งเข้าใส่รอยแตกมิติเวลาทั้งหมดที่อยู่ใกล้เคียง!
—
เมลิสซ่าเบิกตาสีฟ้าของเธอออกกว้างเหมือนเพิ่งผ่านการเดินทางที่ยาวนานและลึกลับ มองโลกที่หมุนย้อนกลับอย่างรวดเร็วตรงหน้าเธอ
ในสนามรบไม่ห่างออกไปนัก ร่างชั่วร้ายขนาดมหึมากำลังอาละวาด และกองเพลิงเล็กจ้อยสีขาวก็โอบล้อมร่างของอัศวินร่างกำยำไว้
“เกิดอะไรขึ้น…?”
เมลิสซ่าพึมพำ แล้วความคิดของเธอก็ถูกขัดโดยความเจ็บปวดจากทั่วสรรพางค์
จะว่าไป เธออยาก…จะส่งความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของเธอให้พ่อของเธอนี่นา…
เมลิสซ่ามองเพลิงที่ลุกโชนทั่วตัวแล้วมีปฏิกิริยาทันที แต่เธอก็รู้สึกตะหงิด ๆ ว่ามีบางอย่างผิดไป ไม่ใช่ว่าเธอควรไปถึงข้างกายพ่อของเธอแล้วเหรอ?
มันเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากความหมกหมุ่นเหรอ…?
ไม่สิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องพวกนั้น ตอนนี้เรามีแต่ต้องเดินหน้า!
เมลิสซ่าทิ้งความคิดแล้วก้าวต่อไปด้วยรอยยิ้มโล่งใจ
แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็สัมผัสได้ด้วยว่าร่างกายของเธอไม่สามารถค้ำจุนเธอได้อีกต่อไปแล้ว และเธอก็กำลังจะตาย
ไม่ไกลนัก โจเซฟลุกขึ้นหลังถูกดีดกระเด็นไปอีกครั้ง สีหน้าของเขาว่างเปล่า แต่จากนั้น เขาก็ได้เห็นเค้าร่างคุ้นตาของเด็กสาวที่ถูกห่อหุ้มในเปลวเพลิงสีแดงฉาน แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ตอนนี้ แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สัญชาตญาณของคนเป็นพ่อก็ทำให้เขาวิ่งไปหาเมลิสซ่าโดยไม่ลังเล
“เมลิสซ่า…เมลิสซ่า!!!”
โจเซฟคำรามแล้ววิ่งไปหาลูกสาวของเขาอย่างสุดกำลัง
ไวลด์เบิกตากว้างอย่างเดือดดาล แล้วสัมผัสถึงมิติและเวลาที่ผันผวนรอบ ๆ ตัวเขาได้ทันที
ทำไมล่ะ?!!!
ร่างยักษ์เหมือนภูเขาส่งเสียงคำรามผิดมนุษย์ ส่ายเส้นหนวดแล้วส่งสสารแห่งจุดจบไปโจมตีทั้งคู่อีกครั้ง
ไม่เป็นไรหรอก เขาพูดในใจ อย่างไรเราก็ชนะอยู่แล้ว ต่อให้เวลาถูกย้อนก็จะไม่ส่งผลใด ๆ กับเรา ชัยชนะของเราถูกกำหนดไว้แล้ว! ไม่มีใครเปลี่ยนจุดจบได้!
เส้นผมสีแดงของเมลิสซ่าปลิวไสวในเปลวเพลิง ทั้งร่างของเธอละลายไปกับเปลวไฟ เธอยืนท่ามกลางสสารแห่งจุดจบรอบ ๆ ตัวราวกับดอกบัวสีแดงที่เบ่งบานในขุมนรก
“สายไปแล้ว!” ไวลด์เย้ยหยัน ควบคุมกระแสสีดำให้พุ่งเข้าใส่เมลิสซ่า “จุดจบของพวกนายถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว และครั้งนี้ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!”
ใช่แล้ว เมลิสซ่าไม่ลังเลที่จะเผาไหม้ชีวิตของเธอเพื่อทำให้ความมืดรอบตัวเธอถอยไปอีกครั้ง ขอแค่เธอยังขยับไปข้างหน้าต่อ เธอก็จะตายก่อนทันถึงที่หมายอยู่ดี
แต่สำหรับเมลิสซ่า การเลือกความตายไม่เคยเป็นสิ่งที่เธอกลัว ตราบใดที่เธอช่วยชีวิตพ่อได้ ทุกอย่างก็ไม่เลวร้าย…
ตัวเลือกของเธอจะไม่เปลี่ยนแปลง ต่อให้กาลเวลาถูกย้อนกลับอีกครั้ง
โจเซฟคำรามอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าครั้งก่อน แล้วใช้พลังทั้งหมดของเขาแยกสสารที่ขวางทาง พุ่งตรงไปหาลูกสาวของเขา
อย่านะ!
อย่าทำแบบนั้น!
อย่าให้เมลิสซ่าตายต่อหน้าฉันอีกเลย!!
ไม่เอา!!
ระยะห่างระหว่างโจเซฟและเมลิสซ่าใกล้กันเข้าไปทุกที แต่เขาก็สิ้นหวังมากขึ้นทุกขณะ พลังแห่งกฎเกณฑ์ถูกเสริมขึ้นอีกครั้ง เด็กสาวยกยิ้มให้เขา แต่ระยะห่างสองสามเมตรที่ก้าวข้ามไม่ได้นี้ก็ดูเหมือนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย
แขนที่อ้ากว้างของเขาจะไม่มีวันได้โอบกอดลูกสาวของเขาอีก
“ฮ่า ๆๆๆ…เปล่าประโยชน์น่า เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์! เปล่าประโยชน์น่าโจเซฟ ต่อให้เวลาถูกย้อน จุดจบก็จะเหมือนเดิม!”
ไวลด์หัวเราะเยาะเย้ยการกระทำที่เสียเปล่าของพวกเขา
จู่ ๆ…
พลังมหาศาลพลันกระฉอกออกมาจากรอยแตกแดนนิมิตนับไม่ถ้วนรอบด้าน นั่นคืออานาเอลที่ถูกคลื่นกาลเวลาฉีกกระชาก
ตู้ม!!
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับเหนือนภาผู้บงการเวลาถูกบี้ระเบิดในทันที และพลังแห่งกฎเกณฑ์นับไม่ถ้วนก็คลี่กระจายออกไปเหมือนมวลน้ำหลาก ขยี้เขตแดนจำลองนิมิตของเครื่องจำลองนิมิตที่เปราะบางอยู่แล้วจนแหลกไหลสู่รอยแตกแดนนิมิตที่ใหญ่ที่สุด แล้วมิติและเวลาทั้งหมดก็บิดเบี้ยว เสากั้นเขตพังลง!
ในขณะเดียวกัน นอร์ซินที่ถูกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับเหนือนภาสองคนประทุษร้ายมาหลายครั้งจนใกล้แตกสลายก็ถูกโจมตีเข้าที่กรอบเหล็กซึ่งค้ำยันเมืองทั้งเมืองไว้อีกครั้ง
เปรี๊ยะ…! เอี๊ยด!
เหล็กที่ถูกเขตแดนแห่งจุดจบกร่อนอย่างรวดเร็วหมดความสามารถในการค้ำยัน และหักลงที่ตรงกลางทันที!
กรอบใต้ดินที่พยุงเมืองฝีมือมนุษย์พังทลายลง ทำให้เมืองเขตบนทั้งเมืองร่วงลงมาสู่ชั้นเบื้องใต้หลายร้อยเมตรและชนกันเต็ม ๆ
ตู้ม…!
พื้นโคลงเอียงและสั่นสะเทือน พลังมหาศาลที่มองไม่เห็นผลักเมลิสซ่าให้กระเด็นไปข้างหน้ากะทันหัน
เด็กสาวลืมตาขึ้นอย่างแปลกใจ แล้ววินาทีต่อมา…
เธอก็หล่นลงในอ้อมกอดที่อบอุ่น คุ้นเคย และชวนให้สบายใจ
กฎเกณฑ์ถูกสร้าง และการเผาไหม้ก็สิ้นสุดลง
ใบหน้าอันแข็งแกร่งของอัศวินเต็มไปด้วยน้ำตา เขาโอบกอดลูกสาวที่ควรจะตายไปแล้วของเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เมลิสซ่า เมลิสซ่า…นั่นลูกเหรอ?” ผู้เป็นพ่อโอบกอดเมลิสซ่าไว้ด้วยมือที่สั่นเทาราวกับได้กอดลูกตัวเองเป็นครั้งแรก และเกือบพูดไม่ออกด้วยความตื่นเต้น “ลูกไม่เป็นไร ดีมาก…!”
“พ่อ…จะเป็นใครไปได้นอกจากหนูล่ะคะ ลูกสาวที่เลิศที่สุดของพ่อมาช่วยแล้ว!”
เมลิสซ่าแลบลิ้น แย้มรอยยิ้มน่ารัก แล้วยกแขนขึ้นกอดเขาตอบ