เสียงของจี้จือซู่ขาดห้วงเล็กน้อยจากสัญญาณของอุปกรณ์สื่อสาร แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังนอบน้อมไม่เปลี่ยนแปลง
ทันทีที่หลินเจี๋ยโทรมา เธอก็รับสายทันที เห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่กล้าปล่อยให้เขารอ
คำสั่ง…
ไม่ว่าก่อนหน้านี้หรือตอนนี้ หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าจี้จือซู่เคารพเขามากไปสักหน่อย แต่ก็อธิบายได้ว่าพฤติกรรมของเขาเหมือนกับการช่วยให้คุณหนูจี้รู้สึกพึ่งพาได้
แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนลงนามในสัญญากันหมดแล้ว มันก็ไม่ใช่การช่วยเหลือฝ่ายเดียวอีกต่อไป แถมจี้ป๋อหนงยังไม่ลังเลที่จะยอมลงนามให้เขาระหว่างการประชุมความร่วมมือด้วย…
ที่จริงแล้ว…หลินเจี๋ยมีความเคลือบแคลงบางอย่างในใจ แต่ผลประโยชน์ที่ได้เป็นของจริง
เมื่อคิดว่าจี้จือซู่ไม่ได้มีความแปรผันทางอารมณ์มากนักจากการล่มสลายของตระกูลเฟร็ดระหว่างงานเลี้ยง หลินเจี๋ยก็คาดเดาไว้บ้าง แต่ในเมื่อจี้จือซู่ไม่พูดถึงมัน ก็ปล่อยให้เป็นความเข้าใจที่ไม่ต้องออกเสียงแล้วกัน
“ไม่มีคำสั่งครับ”
เจ้าของร้านหลินพูดยิ้ม ๆ “ผมเห็นข่าวเกี่ยวกับสมาคมแห่งสัจธรรมทางโทรทัศน์เมื่อครู่นี้…เกิดแผ่นดินทรุดตัวเป็นระยะ ผมเลยสงสัยว่าทางคุณมีข่าวคราวอะไรบ้างไหม?”
ความเป็นมืออาชีพนี้ทำให้เขาอยากหัวเราะทุกครั้งที่อ่านมัน
ไม่ใช่ว่านี่คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญใช้หลอกคนทั่วไปเหรอ?
หรือสมาคมแห่งสัจธรรมกำลังวิจัยอาวุธลับร้ายแรงอะไรอยู่…
จี้จือซู่ได้ยินคำพูดที่เหมือนยิ้ม ๆ ของหลินเจี๋ย เจ้าของร้านหลินคงคิดว่าคำพูดของสมาคมแห่งสัจธรรมอุกอาจมากเกินไป
จะว่าไปแล้ว ในเมื่อเขากำลังถามสถานการณ์เกี่ยวกับสมาคมแห่งสัจธรรม และสมาคมแห่งสัจธรรมก็เป็น…หรือเคยเป็น…ลิ่วล้อที่ใหญ่ที่สุดของสำนักงานกลาง งั้นที่จริงแล้ว เขาน่าจะกังวลอยู่ว่าจะเกิดอันตรายอะไรกับเราหรือเปล่าหลังจากบริษัทโรลล์ประกาศหักหลังสำนักงานกลางอย่างเป็นทางการ
จี้จือซู่กระซิบ “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยค่ะ ตอนนี้พวกเรายังปลอดภัยอยู่ ไม่มีอันตรายอะไรมากนัก ปัญหาเดียวคือตอนนี้เรากำลังขาดบุคลากร แต่ฉันติดต่อสมาคมแห่งสัจธรรมแล้วค่ะ และเชื่อว่าเรื่องนี้จะแก้ไขได้ในไม่ช้า”
อืม…
แผนต่อไปของเธอเกี่ยวกับ ‘หนึ่งคนเท่ากับหนึ่งกลุ่ม’ ซึ่งต้องการ ‘คน’ จำนวนมาก และแผนงานมนุษย์ประดิษฐ์ของสมาคมแห่งสัจธรรมก็คือกุญแจ
“ดีแล้วล่ะครับ”
หลินเจี๋ยลูบคาง เหตุขาดคน แล้วไปติดต่อสมาคมแห่งสัจธรรม นี่เป็นเรื่องทางธรณีวิทยาจริง ๆ เหรอ เธอเลยต้องการนักวิชาการมืออาชีพมาหารือหาทางแก้ด้วยกัน?
“ความเป็นมืออาชีพของสมาคมแห่งสัจธรรมมีมากพอ เทคโนโลยีของพวกเขา…เรายังเชื่อได้”
เพราะถึงอย่างไร พวกเขามีกระทั่งเทคโนโลยีสร้างแขนขาเทียมและงอกแขนขาใหม่ได้ ถึงเทคโนโลยีของสมาคมแห่งสัจธรรมจะดูผิดแปลกไปสักหน่อย แต่พวกเขาต้องเป็นบุคคลชั้นแนวหน้าของนอร์ซิน หากพวกเขาทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ก็คงเป็นปัญหาแล้ว
“แค่ได้รับความเชื่อใจจากคุณก็พอแล้วล่ะค่ะ”
จี้จือซู่หรี่ตาลงยิ้ม “จะว่าไป เจ้าของร้านหลินคะ คฤหาสน์ที่เตรียมไว้ให้ สามารถโอนได้ทุกเมื่อแล้วนะคะ”
หลินเจี๋ยแปลกใจเล็กน้อย “ผมนึกไม่ถึงเลยว่าคุณจะยังเก็บมันไว้”
“แน่นอนสิคะ ฉันไม่กล้าผิดคำสั่งเจ้าของร้านหลินแม้แต่นิดเดียวค่ะ”
จี้จือซู่พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“เอ่อ…ดีแล้วล่ะครับ ผมมีความคิดอยู่ก่อนหน้านี้ว่าจะเปิดร้านสาขาในเขตกลางแล้วให้มูเอนเป็นผู้จัดการร้าน” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลินเจี๋ยก็พูดขึ้น นั่งกลับลงไปบนโซฟา “สามวันก่อนที่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่ มูเอนบริหารจัดการร้านหนังสือได้เป็นอย่างดี ผมคิดว่าเธอสามารถพอจะเปิดร้านของตัวเองได้แล้ว”
ใช่แล้ว…เหตุผลที่เขาออกจากร้านหนังสือไปสามวันนั้นก็เพื่อทดสอบความสามารถของมูเอนนั่นเอง
แน่นอน ส่วนใหญ่แล้วก็เพื่อกินดื่มฟรีนั่นแหละ…
หัวใจของจี้จือซู่เต้นกระตุก เจ้าของร้านหลินกำลังหมายความว่า เขาอยากจะเข้ามาในเขตกลางเหรอ?!
เพราะ ‘การทรยศ’ ของพวกเขาในตอนนี้ เขตกลางจะตกสู่ความยุ่งเหยิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วตอนนี้ ผู้ช่วยซึ่งเกี่ยวพันกับสมาคมแห่งสัจธรรมและศาสนาแห่งตะวันจะเปิดร้านสาขา ความหมายของมันก็ชัดเจนในตัว…
จี้จือซู่สูดหายใจลึก ๆ แล้วพูดอย่างจริงจัง “ได้ค่ะ ฉันจะโอนบ้านตระกูลเฟร็ดให้คุณเดี๋ยวนี้เลย ขอเพียงคุณต้องการ ก็สามารถส่งคนมารับมันได้ทุกเมื่อเลยค่ะ”
“ได้ครับ ขอบคุณนะครับคุณหนูจี้”
“ขอแค่ช่วยคุณได้แม้สักนิด ก็เป็นเกียรติของฉันแล้วค่ะ”
หลินเจี๋ยวางสายสื่อสาร รู้สึกดีใจพอตัว…จะไม่ดีใจได้อย่างไร?
นี่มันคฤหาสน์ในทำเลทองของเขตกลางที่ได้มาฟรี ๆ เลยด้วยนะ!
นี่คือคฤหาสน์หรูในเมืองหลวง ต่อให้ขายก็ย่อมได้กำไรงาม
หลังจากหลินเจี๋ยลุกขึ้นประสานมือ เขาก็เดินทอดน่องไปหามูเอนซึ่งกำลังชงชานมอยู่ร้านข้าง ๆ
สีหน้าของเด็กสาวไร้อารมณ์ ดวงตาสีดำสนิทดูราวห้วงน้ำลึกล้ำ ผิวของเธอขาว และภายใต้แสงโทนอุ่นในคาเฟ่หนังสือ เส้นขนอ่อน ๆ บนแขนของเธอก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เธอปิดฝาแก้ว เขย่ามันอย่างแรง วงแขนเหวี่ยงเป็นวงสวย
เธอเก่งและจริงจังกับงาน
“แค่ก ๆ”
หลินเจี๋ยกระแอม เรียกความสนใจของมูเอน และเธอก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เจ้าของร้าน…มีคำสั่งอะไรไหมคะ?”
เด็กสาวผู้เย็นชามีสีหน้าสดใสขึ้นมาทันที เธอรีบวางงานในมือแล้วยืนรอคำสั่งอย่างเชื่อฟังเหมือนเด็กประถมที่ถูกสั่งให้หยุดออกกำลังกาย
พอติดต่อใคร ก็เอาแต่ถามว่าเรามีคำสั่งไหมทั้งนั้นเลยแฮะ…หลินเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะเริ่มสงสัยว่าภาพลักษณ์ของเขาในใจคนพวกนี้ดูจะสูงไปหน่อยไหม
หลินเจี๋ยมองพินิจพิเคราะห์มูเอนไปมา
“คุณอยู่ในร้านหนังสือนี้มาหลายเดือนแล้ว จากการตรวจสอบของผม ผมคิดว่าคุณน่าจะมีความสามารถเปิดร้านเป็นของตัวเองได้แล้วล่ะ” หลินเจี๋ยยิ้ม พูดอย่างจริงจัง “ผมเลยตัดสินใจเปิดร้านสาขาในเขตกลาง และคุณจะเป็นผู้จัดการร้านที่นั่นนะ”
ม่านตาสีดำของมูเอนหดตัวเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่ปกติ เธอขมวดคิ้วน้อย ๆ “เจ้าของร้านหลินอยากเปิดสาขาใหม่เหรอคะ?”
“ใช่ครับ” หลินเจี๋ยพยักหน้า “ผมเพิ่งคุยกับคุณหนูจี้จากบริษัทโรลล์มา และได้คฤหาสน์ในเขตกลางมาหลังหนึ่ง พอดีกับตอนที่คิดจะเปิดสาขาพอดีเลย”
“เขตกลาง…”
สีหน้าของมูเอนวูบไหว จมในภวังค์ความคิด
“ใช่ครับ ในเขตกลาง คนรวย…อะ ไม่ใช่สิ คงมีคนที่ชอบอ่านหนังสือเหมือนเราเยอะกว่านี้แน่ ๆ เลยเนอะ?”
หลินเจี๋ยพูดอย่างจริงจัง
มูเอนกะพริบตา…
คนที่ชอบอ่านหนังสือ…มากกว่านี้? ที่เจ้าของหนังสือว่าคนชอบอ่านหนังสือนี่หมายถึงสาวกหรือเปล่า?!
หรือก็คือจะบอกให้เธอไปรับสาวกเพิ่มที่เขตกลาง หมายความชัดเจนว่าต้องการเผชิญหน้ากับสำนักงานกลางเพื่อปกครองนอร์ซิน เป็นการแข่งขันชิงอำนาจ?!
ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที พายุความคิดก็พัดกระหน่ำในใจมูเอน
“ฉันเข้าใจที่คุณสื่อแล้วค่ะ”
มูเอนพยักหน้า แววตาหนักแน่นฉายประกาย หมัดน้อย ๆ ทั้งสองกำแน่น ดูราวกับคิดทำการใหญ่บางอย่าง
หลินเจี๋ยนิ่งงัน
เขาเริ่มสงสัยแล้วว่ามันจะผิดมนุษยธรรมไปสักหน่อยหรือเปล่าหากจะปล่อยเด็กสาวน่ารักไร้เดียงสาแบบนี้เข้าเมืองหลวงไปทำธุรกิจตั้งแต่ยังเล็ก
“แน่นอนครับ ถ้าคุณมองว่าลำบากที่จะไป จะแค่ฝึกสักพักก็ได้นะ”
หลินเจี๋ยลังเล
มูเอนส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ค่ะ เจ้าของร้านสอนฉันมาเยอะแล้ว ถึงเวลาที่ฉันต้องเริ่มเผยแพร่เจตนารมณ์ของคุณได้แล้วค่ะ”
สีหน้าของหลินเจี๋ยซับซ้อนเล็กน้อย มูเอนเป็นเด็กสาวผู้งดงามเย็นชา คงเป็นไปไม่ได้ถ้าจะบรรยายเธอว่าสวยใสไร้สมอง แต่ในตอนนี้ เธอดูเลือดร้อนเป็นพิเศษ
เขาเลี้ยงเธอออกนอกลู่นอกทางหรือเปล่า?
“…ถ้าคุณเข้าใจ แน่นอนครับว่าดีแล้ว ตั้งใจทำงาน รักษาสถานการณ์ในตอนนี้ของคุณไว้ คุณก็จะดูแลร้านได้ดีมากครับ”
หลินเจี๋ยยื่นมือออกไปลูบหัวมูเอน
ช่างเถอะ เด็กคนนี้อารมณ์ดีก็ดีแล้ว
“อ่าฮะ”
มูเอนพยักหน้าหงึกหงักราวกับไก่จิกข้าว
หลังจากนั้น หลินเจี๋ยก็กลับไปยังร้านหนังสือซอมซ่อแล้วดำเนินกิจวัตรประจำวันของเขา หรือก็คืออ่านหนังสือต่อ
มูเอนใช้ศอกเท้ากับโต๊ะ วางแก้มลงบนสองมือ มองหลินเจี๋ยที่ร้านข้าง ๆ อ่านหนังสือจากประตูกระจกที่ทำขึ้นใหม่อยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่แดนนิมิตของวัลเพอร์กิส