เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] – ตอนที่ 394 : ผู้ลี้ภัย

อิวาน แซคคารีเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา ๆ ผู้อาศัยอยู่ที่ซอย 67 ในนอร์ซินเขตบน

ก่อนที่เขาจะย้ายมาที่นี่ เขาเคยอาศัยในซอย 23 มาก่อน

งานหลักของเขาอยู่ที่โรงงานแปรรูปแร่ในเครือบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ เขาลุกขึ้นมาทำงานตั้งแต่ฟ้าสาง และจะไม่กลับบ้านจนกระทั่งดวงจันทร์แขวนอยู่กลางฟ้าราตรีอันเงียบสงบ…

เนื่องจากพื้นเพทางครอบครัวอันยากจน หลังจากแซคคารีเรียนจบจากมหาวิทยาลัย เขาจึงใช้ชีวิตเช่นนี้มาโดยตลอด แม้จะลำบากยากแค้นไปสักหน่อย แต่เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ได้

ชีวิตอันสงบสุขของเขาพังทลายลงอย่างสมบูรณ์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน เมื่อเกิดเหตุแก๊สรั่วในซอย 23

เมื่อเขากลับมาจากงาน เขาก็พบว่าบ้านของตนและอาคารต่าง ๆ รอบ ๆ ซอยต่างกลายเป็นซากไปแล้ว

บ้านของอิวาน แซคคารีถล่มลงกับพื้น และแม้ว่าเขาจะอยู่คนเดียวมาเนิ่นนาน เขาก็ยังรู้สึกเศร้าอย่างลึกล้ำในตอนนั้น

โชคดีที่คนใหญ่คนโตจากเขตกลางออกมาประกาศจ่ายเงินเยียวยา เขาจึงพอชักหน้าให้ถึงหลังได้

แค่ว่า…ชีวิตของเขายากเย็นขึ้นกว่าเก่า

เขาตัดสินใจใช้เงินเยียวยาย้ายมาอยู่ในบริเวณโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่นอร์ซินทางเหนือ เพราะเขาได้รับการจัดสรรจากบริษัทให้ทำงานในโรงงานซึ่งอยู่ห่างไกลขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน ทางเลือกที่ดีที่สุดของเขาจึงเป็นการเช่าบ้านแถว ๆ นั้น…

แซคคารีไม่ได้บ่น เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือทั้งหมดที่เขาทำได้

แต่งานของเขาก็ยากเย็นขึ้นจนได้เห็นแค่ดวงจันทร์ ไม่เห็นตะวันอีกเลย

หลังจากทำงานเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งชีวิต ชีวิตของเขาก็แย่ลงเรื่อย ๆ… นาน ๆ ที แซคคารีก็มีความคิดเช่นนี้ แต่เพราะความรู้สึกพอใจในสิ่งที่มีและแรงขับเคลื่อนในการกินอยู่ทำให้เขาไม่เคยคิดต่อต้าน

เขาถูกสอนมาแต่เด็กว่าชีวิตคนมีแค่การทำงานกับใช้ชีวิต

แต่การปรับโครงสร้างพนักงานกะทันหันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก เพื่อหารายได้ประทังชีพ เขาจึงเริ่มรับภารกิจของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด กลายเป็นสาวกผู้เคร่งครัดแห่งดวงจันทร์

คืนหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังภาวนาอยู่ เขามีโอกาสได้เห็นการมาถึงของอัครสาวกในตำนาน แต่ก่อนที่เขาจะได้แอบบอกข่าวดีนี้แก่สาวกคนอื่น ๆ วันต่อมาโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็ถูกเปิดโปงว่าเป็นลัทธิชั่วร้าย

เกิดเหตุแก๊สระเบิดขึ้นอีกครั้งในโบสถ์สาขาย่อยของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดใกล้ ๆ ที่อยู่ของเขา…

สิ่งที่พังทลายไม่ได้มีแค่ความเชื่อของเขาเท่านั้น…บ้านเช่าของเขาก็หายไปอีกแล้ว

และครั้งนี้ ไม่มีใครจ่ายเงินเขาอีกแล้ว เพราะแซคคารีเองก็เป็นสมาชิกลัทธิชั่วร้ายเช่นกัน

แต่โชคดี ขอเพียงเขายินยอมกลับใจ กรมตำรวจเขตกลางก็บอกว่าจะไม่มีผลกระทบอะไรเกิดขึ้น แซคคารีผู้เปี่ยมความหวังจึงรอผลของการ ‘ปรับพฤติกรรมโดยใช้แรงงาน’

เขาถูกส่งไปที่ซอย 67 กลับไปทำงานเก่าของเขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แม้แต่ดวงจันทร์เขาก็ไม่ได้เห็น เขาไม่มีแม้แต่บ้านด้วยซ้ำ มีแค่เตียงไม้เน่า ๆ หลังหนึ่ง

การทำงานทั้งวันทั้งคืนกินเวลาแทบทั้งชีวิตของเขา หลังจากจ่ายเงินพนันสู้หนู ความบันเทิงที่โรงงานจัดให้และจ่ายภาษีให้เขตกลางทุกเดือน เขาก็แทบไม่เหลือไว้กินไว้ใช้เลย

เงินเดือนไม่ถูกจ่ายมาสองสามวันแล้ว ทั้งหมดถูกส่งให้เจ้านายของเขาทุกวัน เขาถูกเร่งให้ตื่นไปทำงาน และหากไม่ระวัง เขาก็จะถูกตำหนิ

แต่ ‘วันคืนที่ดี’ เหล่านี้ไม่ได้คงอยู่นาน…

เมื่อสองวันก่อน ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวไปทำงาน เกิดแผ่นดินไหวซึ่งทำให้โรงงานถล่มลง โรงงานเหล็กขนาดยักษ์ซึ่งดูราวกับสัตว์ประหลาดสูบเลือดสูบเนื้อผู้คนกลายเป็นผุยผงไปในพริบตา

โชคดีที่อิวาน แซคคารีรอดตาย เขาคลานออกมาจากซากปรักหักพังได้…

ทว่าในขณะที่เขากำลังฝืนลืมตา เขาก็ได้เห็นสภาพศพอันน่าอนาถใจของเหล่าเพื่อนร่วมงาน และเจ้านายที่มักจะอยู่บนจุดสูงสุดตลอดเวลา รวมไปถึงภาพอันน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง…

เขาดูเหมือนจะอยู่ในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างความฝันและความจริง เสาเขตแดนความฝันพังทลายลงในพริบตา จากนั้นเขาก็เห็นอัศวินผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจากไกล ๆ ที่ลุกไหม้เป็นเพลิงโชติช่วง เปลวเพลิงแผดเผาสุดขีดราวกับพร้อมเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทะยานเข้าชนก้อนความมืดยักษ์อีกก้อนราวกับดวงอาทิตย์ที่ร่วงหล่นจากฟ้า

เห็นภาพนี้ แซคคารีก็รู้สึกราวกับร่างจะระเบิด ท้องของเขาเดือดพล่าน หัวปวดแทบระเบิด คนทั่วไปทนความเจ็บปวดระดับนี้ไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงสลบไปทันที

เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนนอนอยู่กับกองซากศพ

เขาปีนออกมาจากหลุมศพหมู่ คิดทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองพบเห็น รวมถึงฉากสุดท้ายก่อนหมดสติของตน แล้วเริ่มเคลือบแคลงในสัจธรรมของโลกใบนี้

“ไอ้ที่ว่าแผ่นดินทรุดตัวเป็นระยะอะไรนั่น โกหกทั้งเพ…”

อิวาน แซคคารีผู้หิวโหยอยู่หลายวันนั่งลงใต้สะพานลอย พูดคุยกับคนรอบ ๆ ตัวเขาซึ่งระหกระเหินจากการพังทลายของซอย 67 เหมือนกันกับเขา

เขตกลางมีทัศนคติที่เฉยเมยสุด ๆ สำหรับหายนะนี้ พวกเขาแค่ปิดข่าวโดยไม่แม้แต่จะพูดถึงการสร้างใหม่ แน่นอนว่าผู้เหลือรอดมากมายทำได้เพียงกลายเป็นคนเร่ร่อน

ด้วยความไร้บ้าน แซคคารีและคนไร้บ้านอื่น ๆ ที่มีเครือข่ายคนรู้จักดีจึงย้ายกลับสู่ซอย 23 ซึ่งเป็นบ้านเกิด

“ไม่ว่าการทรุดตัวเป็นระยะนั่นจะจริงหรือเปล่า…เรื่องสำคัญก็คือ ครั้งนี้พวกเขาจะให้เงินชดเชยเราไหม?”

แจ็คซึ่งอยู่ใกล้แซคคารีที่สุดพูดสิ่งที่คิดขึ้นลอย ๆ

แต่ที่จริง เขารู้อยู่แล้วว่าคงไม่เกิดขึ้น

ถ้าเป็นเหตุแก๊สระเบิด มันก็พูดได้ว่าเป็นหายนะฝีมือมนุษย์ และเขตกลางต้องออกมาจ่ายเงินเยียวยา แต่เหตุผลที่กล่าวอ้างในครั้งนี้คือการทรุดตัวเป็นระยะของเมืองชั้นล่าง ซึ่งเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผู้ประสบภัยจะถูกมองว่าเป็นเพียงผู้โชคร้าย

“นี่มันไม่ใช่การทรุดตัวอะไรนั่นสักกระผีก!”

แซคคารีนึกถึงภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนสลบไป ไม่กล้าเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ และตัวเขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เห็นเป็นความจริงหรือเปล่า เขากำหมัดพลางพูดอย่างระมัดระวัง

“นาย…นายเคยเห็นพระเจ้าไหม?”

แจ็คเงียบไป

ผู้ลี้ภัยสี่ห้าคนใกล้ ๆ เขาต่างหันมามอง ราวกับมองคนปัญญาอ่อนอย่างเห็นใจ “ฉันได้ยินว่านายเคยถูกหลอกเป็นสาวกโบสถ์แห่งจุดสูงสุดมาก่อน เรารู้ว่าคนมากมายถูกล้างสมอง นายไม่ผิดหรอกนะ”

“เปล่า…อึ้ก!”

แซคคารีกำหมัดแน่นขึ้น พยายามจะเถียง แต่สุดท้ายก็ล้มเลิก

เขารู้ว่าไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาเห็นแน่ แต่ยิ่งเขาบรรยายสิ่งที่เห็น ก็ยิ่งจำได้มากขึ้น ยิ่งเชื่อว่าเขาถูกแล้ว

“เป็นแบบนี้ต่อไป เราได้อดตายแน่ เรื่องนี้ถูกต้องเสมอ”

คำพูดนี้ยากที่จะไม่ยอมรับจากเสียงคำรามในท้องของเพื่อน ๆ ร่วมชะตา

“ตามนั้น” แซคคารีลุกพรวดขึ้นจากพื้น ปัดธุลีที่ก้นทิ้ง “ถ้ามัวแต่นั่งรอเงินเยียวยาที่ไม่มีวันมาถึงที่นี่ เราจะอดตายกันหมด และถ้าทำตัวงี่เง่าก็อาจโดนยิงทิ้ง…”

“อย่างไรเสียเราก็ตายกันหมดอยู่ดี” ดวงตาที่หิวโหยของเขาฉายประกายไม่ยินยอมพร้อมใจดุเดือดราวเปลวเพลิง กัดฟันพูด “อย่างไรก็ตาย งั้นฉันขอตายเป็นผีที่อิ่มแล้วกัน!”

แซคคารีมองคนอื่น ๆ “งานสุจริตรังแต่จะถูกทำลายซ้ำ ๆ…ยิ่งทำงานหนัก ยิ่งพบขีดจำกัดของปุถุชน”

“อิวาน…” แจ็คตกตะลึง “นายพูดอะไรอยู่?”

“ฉันไม่ใช่คนดีอีกต่อไปแล้วเฟ้ย! แจ็ค!”

ดวงตาของแซคคารีหนักแน่น ราวไม่เคยตัดสินใจอะไรเด็ดขาดขนาดนี้มาก่อน “ยอมเถอะ เงินเยียวยาไม่มีวันมาหรอก เขตกลางไม่มาสนใจชีวิตพวกเราเลย! ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ทุกคนอยู่ในอันตราย นอร์ซินจะถล่มวันนี้วันพรุ่งได้ทุกเมื่อ เวลาผู้ลี้ภัยก่ออาชญากรรม คงไม่มีใครสนใจถ้ามีคดีเพิ่มสักสองสามคดีหรอก เราทำได้แค่พึ่งพาตัวเองแล้ว…”

ดวงตาของเขาทอดมองร้านหนังสือที่ถนนฝั่งตรงข้าม สูดหายใจลึก ๆ…

“ปล้นร้านหนังสือนี่กัน!”

ช่วงสองสามวันนี้สภาพอากาศย่ำแย่มาก แต่อย่างน้อย วันนี้ก็ฝนไม่ตก

แต่ด้วยความอากาศไม่ดี เราจึงมักรู้สึกเสมอว่าเหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น…

หลินเจี๋ยเท้าแก้มนั่งว่างอยู่ในร้าน อ่านหนังสือในมือพลางครุ่นคิด

สำหรับหลินเจี๋ย เขาไม่สนใจหรอกว่าร้านหนังสือจะมีคนไหม ขอแค่มีลูกค้าแบบจี้จือซู่ที่ให้คฤหาสน์ในเขตกลางกับเขาเยอะ ๆ เขาก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลแล้ว

สิ่งที่เราต้องการคือลูกค้าคุณภาพเยี่ยมที่มีใจให้ผลตอบรับ ขอแค่มีลูกค้าแบบนั้น เราก็จะเปิดร้านสามปีสลับปิดร้านสามปีได้

แต่ว่าก็ยังต้องมีลูกค้าปกติ ๆ เหมือนกัน อย่างเช่น…

แขกสี่ห้าคนข้างหน้านั่นที่ดูจ๊นจน

หลินเจี๋ยมองขึ้นมาเห็นกลุ่มลูกค้าสภาพซอมซ่อที่จู่ ๆ ก็เดินเข้ามาในร้านหนังสือ

“สวัสดีครับ ผมมา…”

“ปล้น”

แซคคารีควักมีดพับออกมาจากกระเป๋า คมมีดคมกริบเล็งไปที่เจ้าของร้านหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์

“อะไรเนี่ย?”

รอยยิ้มของหลินเจี๋ยค้างบนหน้า เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเลยจริง ๆ

นอกจากผู้ลี้ภัยที่ชี้มีดมาหาเขาคนนี้ ยังมีคนอีกสองคนซึ่งปีนข้ามเคาเตอร์มาล้อมมูเอนซึ่งกำลังรินชาไว้ ความหิวโหยดุร้ายในแววตาของพวกเขาชัดเจน

มูเอนมองขึ้นมาอย่างเฉยเมย เธอไม่หยุดมือจากงานที่ทำอยู่ด้วยซ้ำ

ในการเผชิญหน้าอันตึงเครียดนี้ เสียงน้ำรินจากกาน้ำชาในมือของเธอดังเป็นพิเศษ

“ไม่สิ คุณไม่ได้ยินเหรอ? ส่งของมีค่าทั้งหมดมาซะ!”

แซคคารีเคาะเคาน์เตอร์เบา ๆ ด้วยมีดพลางพูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำตัวไม่ดี ดังนั้นเขาย่อมรู้สึกประหม่าน้อย ๆ แต่เขาตัดสินใจเป็นคนเลวแล้ว ไม่ใช่คนงานสุจริตผู้ขยันขันแข็งและซื่อตรงอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามทำให้ดีที่สุด

หลินเจี๋ยมุมปากกระตุกมองโจรตรงหน้าที่ดูจะประหม่าหนักกว่าเขาอีก จากนั้นก็ถอนหายใจ

ร้านหนังสือซอมซ่อของเขาดูจะเป็นที่รักของเหล่ากลุ่มโจรจริง ๆ

พวกเด็กเกเรนำโดยฮู้ดก็จะมาขโมยหนังสือ แล้วรอบนี้ยังจะมาโดนปล้นอีก…

แต่ผู้ลี้ภัยตรงหน้าเขาพวกนี้มองอย่างไรก็ไม่ได้มาแค่ขโมยหนังสืออย่างฮู้ด คนพวกนี้มีความหิวโหยอย่างแท้จริงในแววตา

แม้ว่านอร์ซินจะมีเขตสลัม แต่พวกเขาก็ไม่ได้หิวโหยจนต้องปล้นใครแบบนี้

หลินเจี๋ยใช้มือลูบคางถามอย่างสุขุม “พวกคุณลี้ภัยมาจากไหน?”

“หุบปาก…”

“ตอบคำถามเจ้าของร้านหลินซะ”

จู่ ๆ เสียงทุ้มลึกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น กลุ่มผู้ลี้ภัยหันไปมอง ก่อนจะรู้สึกว่าคอของพวกเขาเจ็บแปลบ ดวงตามืดดำ และหมดสติไปทันที

หลินเจี๋ยอึ้งไปครู่หนึ่ง มองไปด้านข้าง และพบว่าโจเซฟออกมาจากห้องใต้ดินตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาแบกผู้ลี้ภัยคนหนึ่งด้วยมือเดียว โยนไปด้านข้างอย่างสบาย ๆ แค่นเสียงอย่างเย็นชา ร่างสูงใหญ่ของเขาเปี่ยมพลกำลัง

มูเอนชงชามาเสิร์ฟให้หลินเจี๋ย…

หลินเจี๋ยรับน้ำชามาอย่างใจลอย จากนั้นก็เริ่มสงสัยว่าบาดแผลสาหัสบนตัวโจเซฟทำไมหายไวจัง?

แจ็คกลืนน้ำลายเอื๊อก และชูมือขึ้น “ขอโทษ ขอโทษครับ…พวกเรา…พวกเรา…”

เขาเตะแซคคารีข้าง ๆ ตัวและบุ้ยใบ้ให้หนี แต่แซคคารีดูหน้าตาเหมือนเห็นผี

“ค…คุณ…” มีดในมืออิวานร่วงลงพื้นดังเคร้ง ก้นของเขากระแทกพื้น ชี้นิ้วสั่น ๆ ไปหาโจเซฟ

เขาระลึกถึงภาพสุดท้ายก่อนหมดสติด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]

เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]

IRNDGL, I’m Really Not the Evil God's Lackey, 我真不是邪神走狗
Score 9
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2020 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗]Lin Jie เป็นเจ้าของร้านหนังสือในอีกโลกหนึ่ง เขาเป็นคนใจดีและอบอุ่น มักจะแนะนำหนังสือการรักษาให้กับลูกค้าที่กำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในบางครั้งเขาแอบโปรโมตงานของเขาเองด้วย เมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าเหล่านี้เริ่มให้ความเคารพเขาอย่างมาก บางคนถึงกับนำอาหารพิเศษประจำท้องถิ่นมาตอบแทนบุญคุณของเขาบ่อยๆ พวกเขามักจะขอความเห็นจากมืออาชีพเมื่อต้องเลือกหนังสือ และแบ่งปันประสบการณ์กับเจ้าของร้านหนังสือธรรมดาๆ คนนี้ให้คนรอบข้างฟัง พวกเขาเรียกเขาด้วยความเคารพและสนิทสนมโดยใช้ชื่อต่างๆ เช่น “ลูกสมุนของเทพปีศาจ”, “ผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งเนื้อและเลือด”, “'ผู้แต่งพิธีกรรมและศุลกากรแห่งนิกายกินศพ” และ “ผู้เลี้ยงแกะแห่งดวงดาว”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset