จากการเฝ้าสังเกตของหลินเจี๋ย ผักดองไม่มีอยู่ในนอร์ซิน
หลินเจี๋ยเคยอ่านบทความออนไลน์มาก่อน และตัวเอกชายส่วนใหญ่ในเรื่องราวเหล่านั้นต่างแบกข้าวของที่ไม่มีอยู่ในต่างโลก และหนังสือในร้านของหลินเจี๋ยก็ซุกซ่อนนวัตกรรมมากมายที่ไม่มีอยู่ในนอร์ซิน
แค่ว่าหลินเจี๋ยนั้นแสนขี้เกียจ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ก็คิดแค่อยากจะเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ไปวัน ๆ
พูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้ชายหนุ่มจะมีสูตรโกง เขาก็ไม่ได้อยากออกมาปฏิวัติโลก
แต่หากส่งหนังสือที่บรรจุนวัตกรรมแห่งโลกออกไป ไม่ใช่ว่ามันจะไปแทรกแซงแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีของโลกนี้หรือ?
ในฐานะนักเดินทางผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อม หลินเจี๋ยรู้สึกว่าตัวเองมีความรับผิดชอบที่ต้องตรากตรำไม่ให้สร้างผลกระทบต่อนอร์ซินเป็นวงกว้าง
อย่างที่เห็น นอร์ซินในตอนนี้เหมือนตอนที่เขาเพิ่งย้ายโลกมาเป๊ะ ๆ
พูดถึงเรื่องนี้ หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าเขาสร้างผลงานใหญ่หลวง
หนังสือ ‘วิธีดองผัก’ ตรงหน้าเขาเป็นหนังสือกลเม็ดเคล็ดลับ
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าการมอบหนังสือเคล็ดลับเล่มนี้ให้แซคคารีจะถือว่าให้นวัตกรรมเพื่อให้เขาพึ่งพาตนเองได้
อืม…ขอมอบภาระการเป็นบิดาแห่งผักดองของนอร์ซินให้คุณแล้วกัน
แซคคารีเห็นว่าหลินเจี๋ยค่อย ๆ เลื่อนหนังสือมาตรงหน้าเขาอย่างนุ่มนวล
ลมหายใจของเขาหยุดชะงัก พลังรุนแรงกวาดปะทะใบหน้า เขาพยายามสุดชีวิตในการอ่านชื่อหนังสือ และถ้อยคำบิดเบี้ยวก็แทงทะลวงเข้าไปในสมองของเขาราวกับบทเพลงอันน่าหวาดหวั่น
‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’
คำเหล่านี้ทะลวงแก้วหูสู่สมองของเขาราวถ้อยคำแหลมเสียด
เมื่อแซคคารีเห็นหนังสือเล่มนี้ ความกลัวของเขาต่อโจเซฟก็สลายหาย เหมือนถูกสัตว์ร้ายกลืนกินทั้งเป็น และก่อนจะทันได้ขัดขืนก็ร่วงลงไปในกระเพาะของมันแล้ว
ดูเหมือนจะมีเสียงกลืนน้ำลายในหูของเขาชัดเจน
แซคคารีรู้สึกราวกับตัวเองอยู่ในอุโมงค์ไม่รู้จบ และหนังสือเล่มนี้ก็กลายเป็นประตูที่ทำให้เขาฟังเสียงจากลึกสุดในอุโมงค์นั้นได้
ลึกเข้าไปในหลุมดำ เทพเจ้าโบราณอันยืนยงและไม่เป็นที่รู้จักกำลังรัวกลองยักษ์ล่องหน ในขณะเดียวกัน คนเป่าปี่ประหลาดก็กำลังเป่าปี่ทำเสียงอันน่าขยะแขยงอยู่ด้านข้างด้วยโทนเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
แซคคารียืนอยู่ในหลุมลึก ทุกเส้นประสาทในสมองเริ่มกรีดร้อง กระทั่งอวัยวะภายในยังสั่นคลอน ความเจ็บปวดโอบล้อมร่างของเขา แต่ใครสักคนตรึงวิญญาณของเขาไว้
ทำให้เขาหนีไม่ได้
ร่างที่แบกรับความเจ็บปวดหลั่งเหงื่อกาฬให้รินไหล ซึ่งทำให้ชุดที่เขาสวมอยู่เปียกชุ่ม…
แซคคารีอยากหยุดอ่านหนังสือ แต่หนังสือเล่มนี้มีมนตร์เสน่ห์น่าหลงไหล มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและความกระหายในความรู้จากตัวบุคคลออกมาจนหมด
เขาเปิดหนังสือด้วยมือสั่น ๆ และคำนำบทแรกก็เขียนไว้ว่า…
ศพมีชีวิต
แซคคารีเบิกตากว้าง เส้นเลือดในตาปริ เขาหอบหายใจราวกับปลาเกยตื้น
หลินเจี๋ยคิดว่าท่าทางการอ่านอย่างตั้งใจเกินเหตุของแซคคารีเป็นเรื่องปกติ เพราะผู้ที่ซื้อหนังสือจากเขาส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้
อันที่จริง มันก็เข้าใจได้ว่าการได้รับความรู้นั้นน่าอภิรมย์โดยแท้
ทว่าหนังสือส่วนใหญ่ที่เขาขายมักจะเป็นหนังสือปลอบประโลมจิตใจหรือมีพล็อตเรื่องอ่านง่าย แต่หนังสือที่เขาให้ไปครั้งนี้เป็นกลเม็ดเคล็ดลับที่แซคคารีอ่านแบบลืมกินลืมนอน จะบอกว่าคน ๆ นี้เป็นอัจฉริยะนักดองผักในรอบร้อยปีได้จริง ๆ หรือเปล่านะ?
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายน่าสงสารมาก หลินเจี๋ยคงไม่มอบหนังสือเล่มนี้ให้อย่างใจกว้างหรอก
สอนให้เขาตกปลาดีกว่าให้ปลาเขากิน…
“คุณคิดอย่างไรบ้างครับ?” หลินเจี๋ยโพล่งถามขึ้น ขัดจังหวะการอ่านอย่างแทบจะเอาเป็นเอาตายของแซคคารี
ปึ้ก!
ราวระฆังถูกสั่นดังลั่นในหัวแซคคารี
“อะ แฮ่ก…แฮ่ก” แซคคารีหอบหายใจหนัก เหงื่อแตกพลั่ก “หนังสือเล่มนี้…ปรากฏว่าหนังสือเล่มนี้เป็น…”
“ใช่แล้วครับ มันเป็นศาสตร์โบราณที่มุ่งเน้นไปที่การถนอมอาหารบางชนิด” หลินเจี๋ยประสานมือเข้าหาตัว เท้าแขนกับโต๊ะ มองหนังสือ ‘วิธีดองผัก’ บนโต๊ะ
“อาหาร?” แซคคารีพูดทวนคำด้วยเสียงที่สั่นพลางมอง ‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’ อย่างไม่อยากเชื่อ
“ใช่ครับ มันเป็นผัก ผักทั่วไปเก็บไว้นานไม่ได้ เน่าเปื่อยเสียตามเวลาง่าย ทำให้พวกมันกินไม่ได้” หลินเจี๋ยยิ้มอย่างเป็นมิตร
ผัก? เน่าเสีย? แซคคารีเบิกตากว้าง มองหนังสืออีกรอบหนึ่ง
หรือจะเป็นว่า…ผักที่ว่าคือ ‘ศพ’? วิธีทำตุ๊กตามัมมี่?
แซคคารีเคยเชื่อในโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ต่อมาโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็ถูกติดป้ายเป็นลัทธิชั่วร้าย ตำรวจมาหาเขาเพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิ หนึ่งในนั้นกล่าวว่าลัทธิตั้งพิธีกรรมชั่วร้ายทำให้ผู้บริสุทธิ์ฆ่าตัวตาย
แต่นับแต่แซคคารีได้เห็นเหตุการณ์ที่ซอย 67 เขาก็เชื่อสนิทใจว่าโลกนี้มีพระเจ้าอยู่ด้วย
และเจ้าของร้านหนังสือหนุ่มหล่อผู้มีกลิ่นหนังสือที่กำลังยกยิ้มอยู่ตรงหน้าก็อาจจะเป็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวบางอย่าง
เขาถือว่าศพของมนุษย์เป็นอาหาร…
“หนังสือเล่มนี้จะสอนวิธีถนอมพวกมัน ทำให้พวกมันอร่อยขึ้น” ว่าแล้ว หลินเจี๋ยก็อดเลียปากไม่ได้…
จะว่าไป นับแต่ที่มาอยู่นอร์ซิน เราก็ไม่ได้กินผักดองอีกเลย แค่พูดถึงมันก็เปรี้ยวปากน้ำลายสอหน่อย ๆ หลินเจี๋ยคิดเช่นนั้น
แซคคารีแทบลืมหายใจเมื่อเห็นชายผู้ยิ้มอย่างเมตตาพูดถึงการทำศพมีชีวิตและการดองมัมมี่อย่างตื่นเต้นพลางน้ำลายไหล…
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ค่อย ๆ พูดว่า “พอใช้วิธีถนอมแบบนี้ เราอาจจะให้ชีวิตใหม่กับพวกมันก็ได้ ว่าไหมครับ?”
“ใช่เลย!” หลินเจี๋ยไม่ใช่เพียงประหลาดใจเมื่อได้ยินแซคคารีพูดเปรียบเปรยเช่นนี้
จริงสิ การดองผักก็เหมือนให้ชีวิตใหม่กับพืชผักสดทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น หลินเจี๋ยไม่ค่อยชอบกินกะหล่ำปลีเท่าไร แต่กะหล่ำปลีดองเป็นของที่ต้องมีถ้าจะกินข้าวผัด
การผสมผสานของกะหล่ำปลีดองเผ็ด ๆ เค็ม ๆ และข้าวผัดแฮมไข่นี่คือที่สุดในโลก
“คุณพูดถูกครับ” หลินเจี๋ยพบว่าน้ำลายยืดดูไม่งาม จึงรีบสวมหน้ากากยิ้มแย้มกล่าวว่า “นอกจากจะถนอมอาหาร มันยังสามารถช่วยเพิ่มความอร่อยและการใช้งานให้หลากหลายมากขึ้นได้ด้วยนะครับ”
นอกจากใช้เป็นเครื่องสังเวย ศพมนุษย์และมัมมี่ยังใช้ทำอาหารสำหรับผู้ปลุกศพได้อีกเหรอ? กินกันสด ๆ เลยเหรอ?
“อย่าดูถูกความเรียบง่ายของเคล็ดนี้เชียวนะครับ มันเป็นความรู้มากมายเลยล่ะ” หลินเจี๋ยสรุปอย่างเฉยเมย
“ทำไมถึงเป็นผมล่ะ?” แซคคารีถามเสียงสั่น ๆ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ชอบช่วยเหลือบุคคลที่กำลังสับสน” หลินเจี๋ยพูดราวผู้เจนจัดทางโลก “คุณเปลี่ยนตัวเองด้วยหนังสือเล่มนี้ได้นะ”
แซคคารีตะลึงอึ้ง…
“แต่ว่า พูดไปแล้ว คุณในตอนนี้ก็ไม่มีอันจะกิน หลังจากให้หนังสือเล่มนี้ไป คุณคงเริ่มทำไม่ได้จริง ๆ หรอก” หลินเจี๋ยครุ่นคิดสักพัก
จริง ต่อให้เราอยากฆ่าคนมาสังเวยสร้างศพมีชีวิตจริง ๆ เราก็ไม่มีทั้งความกล้าและความสามารถ…แซคคารีคิดอย่างค่อนข้างกระวนกระวาย
“จะว่าไป มูเอนครับ” หลินเจี๋ยครุ่นคิดสักพักแล้วตัดสินใจช่วยคนจนถึงที่สุด เขาจึงกล่าวว่า “ผมจำได้ว่าศาสนาแห่งตะวันของคุณพ่อวินเซนต์มักช่วยเหลือผู้ยากไร้…”
ดวงตาของมูเอนหรี่ลง ในฐานะบุคคลที่ระดับสูงสุดรองจากเจ้าของร้านหลินในห้องนี้ เธอเห็นหนังสือในมือของแซคคารีได้อย่างชัดเจน ซึ่งเขียนหน้าปกว่า ‘เศษซากวิญญาณวายชนม์’
“ใช่ค่ะ เจ้าของร้านหลิน” มูเอนพยักหน้า
“เยี่ยมเลยครับ” หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ “ผมจำได้ว่ามีโบสถ์ของศาสนาแห่งตะวันอยู่ในซอย 23 คุณควรไปหาเขาก่อน อย่างน้อยที่นั่นก็เป็นที่ตั้งหลักให้คุณได้นะ”