บทที่ 4 : ความกังวลของชายชราผู้โดดเดี่ยว
จี้จือซู่ยืนนิ่งอยู่กลางสายฝนขณะที่ชายชราปริศนากำลังเดินใกล้เข้ามาหา นักล่าสาวไม่สามารถตอบสนองหรือกระตุ้นกลไกใด ๆ ในไม้เท้าสีดำได้เลย จนกระทั่งเขาเดินผ่านเธอไป
นี่ไม่ใช่ความต้องการหรือเจตจำนงของจี้จือซู่ แต่พลังที่มองไม่เห็นได้ห่อหุ้มเธอไว้ ทำให้ร่างกายแข็งทื่อจนขยับไม่ได้ จนเหงื่อเย็นไหลลงมาตามหลัง
ชายชราสวมชุดสูทสไตล์ตะวันตกย้อนยุค และสวมหมวกเหมือนสุภาพบุรุษในอดีต สายตาของเขามองไปที่หนังสือในมือจี้จือซู่อย่างน่าประหลาด
“หนังสือเล่มนี้งั้นเหรอ? เป็นสาวน้อยที่โชคดีจริง ๆ”
เขาพึมพำด้วยเสียงแหบแห้ง
ลอดผ่านการปกปิดของร่ม จี้จือซู่มองเห็นหน้ากากเหล็กสีดำโบราณที่ปกคลุมใบหน้าของชายชราได้อย่างชัดเจน ดวงตาคล้ายงูของเขากำลังมองออกมาจากหน้ากากจ้องมองอย่างคมกริบมาที่เธอ ดูไม่เข้ากันกับรูปลักษณ์อันประณีตของเขาเลยแม้แต่น้อย
จี้จือซู่ทำได้เพียงแค่มองกลับไปแวบหนึ่ง เห็นคำสีแดงบนปกหนังสือสีดำของชายชราที่กำลังเดินผ่านไป ‘จุดดับสูญของความว่างเปล่า’
วินาทีนั้นความรู้สึกหนาวเหน็บอันน่าขนลุกแผ่ซ่านไปทั่วผิวของเธอ
“ฟู่…”
จี้จือซู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ หันศีรษะกลับไปทางร้านหนังสือ
เสียงอู้อี้ดังขึ้นพร้อมประตูที่เริ่มปิดลงอย่างช้า ๆ
“ยินดีต้อนรับ…อ๊ะ? เฒ่าไวลด์ เป็นคุณนี่เอง! กลับมาคืนหนังสือแล้วสินะครับ?”
“… ฟังดูแปลกจริง ๆ ถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่า ชื่อเล่นเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพระหว่างเราก็เถอะ แต่คุณหลิน ช่วยเรียกฉันแบบปกติด้วยเถอะ”
“แน่นอน คุณไวลด์”
“ฟู่…ฟังดูสบายหูกว่าเยอะเลย คุณมีลูกค้าใหม่อีกคนแล้วงั้นเหรอ คุณหลิน?”
“ครับ เฒ่าไวลด์”
“ชื่อของฉัน… ช่างมันไปเถอะ คุณมักจะมอบหนังสือที่เหมาะกับลูกค้าใหม่ ราวกับอ่านใจพวกเขาออกอยู่เสมอ ๆ ครั้งนี้คุณต้องถูกใจเธอมากแน่ ๆ ส่วนนี่หนังสือที่ฉันยืมมา”
“ต่อให้เป็นหนังสือที่ถูกอ่านมาบ่อยแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกคน หนังสือเล่มนั้นผมรู้สึกได้เลยว่ามันเหมาะสำหรับเธอ แต่ถ้าผมจำไม่ผิด เดิมพันของเราคือ 30 วัน แต่นี่คุณกลับมาภายใน 20 วัน หรือก็คือนี่เป็นชัยชนะของผม คุณน่าจะเชื่อตอนที่ผมบอกว่าหนังสือเล่มนี้ซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้สูงอายุ”
“…ฉันขอโทษที่สงสัยในคำพูดของคุณ ฉันขอยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี หนังสือเล่มนี้ลึกซึ้งเกินไป มันเหมือนกับโลกขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยสิ่งลึกลับ และเวทมนตร์ที่อยู่เหนือขอบเขตของอวกาศ เวลา การเกิด ชีวิต และความตาย จนแม้แต่ความรู้ของฉันก็ยังไม่เพียงพอ ฉันสามารถจินตนาการได้เลยว่าผู้ที่เขียนงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จะต้องเป็นคนที่เยี่ยมยอดมากแน่ ๆ”
“แน่นอนสิครับ! เขาเป็นยักษ์ใหญ่แห่งโลกวรรณกรรมที่ล่วงลับไปแล้วเลยนะ”
“ยักษ์? ฉันไม่แปลกใจเลย…”
เสียงของเฒ่าไวลด์เบาลง
—
ความสนใจของจี้จือซู่ กลับมาที่หนังสือและร่มในมือ
บทสนทนาระหว่างเจ้าของร้านและลูกค้าประจำนั้นธรรมดาเป็นกันเองมาก ซึ่งก็น่าจะเป็นผลมาจากมิตรภาพอันลึกซึ้งที่ก่อตัวขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามจี้จือซู่ก็ยังคงสั่นกลัวอยู่ เมื่อหวนนึกถึงการเผชิญหน้าครั้งก่อนของตนกับชายชราคนนั้น
‘บุรุษหน้ากากดำ’ แฟรงก์ ไวลด์ ผู้ใช้มนตร์ดำระดับทำลายล้าง
นัยน์ตาคล้ายงูสีเขียวเข้มที่ได้มาจากสายเลือดมนุษย์งู และหน้ากากเหล็กสีดำคือลักษณะเด่นของเขา
แม้จะมีรูปลักษณ์ที่สุขุมสง่างาม แต่ชายชราคนนี้ก็มีชื่อเสียงอันน่าเกรงขาม และเป็นที่รู้จักในฐานะฆาตกรมือเปื้อนเลือดที่เคยสังหารคนนับพัน
ครั้งหนึ่งเขาได้ปะทะกับสิบอัศวินแห่งแสงของหอพิธีกรรมต้องห้าม ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นพื้นที่กว้างที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายพันกิโลเมตร จนเป็นที่จดจำในฐานะผู้ใช้มนตร์ดำระดับทำลายล้าง
ทว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ไวลด์ก็หายตัวไปจากสายตาของสาธารณชนโดยไม่ทราบสาเหตุ
ตามที่หอพิธีกรรมต้องห้ามได้กำหนดไว้ในปี 1788 ตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งหมดจะถูกจำแนกออกเป็นสี่ระดับ โดยการจำแนกนี้ถูกเรียกว่า ‘กฎหมายการจำแนก APDS’ ตั้งแต่นั้นมาหอพิธีกรรมต้องห้ามก็ได้เผยแพร่ทะเบียนของตัวตนเหนือธรรมชาติทั้งหมด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอันดับของพวกเขาในแต่ละปี
การจำแนกประเภท APDS มีดังนี้
ผิดปกติ
สัตว์ประหลาด
ทำลายล้าง
จุดจบอารยธรรม
ชื่อของไวลด์ในทะเบียนถูกระบุไว้ด้วยคำว่า ‘ไม่ทราบที่อยู่’ และ ‘หอพิธีกรรมต้องห้าม มีรางวัลสำหรับข้อมูลที่อยู่ของเขา’ อีกทั้งสถานะระดับ ‘ทำลายล้าง’ ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
ว่ากันว่าในเมืองหลวงนอร์ซิน มีคนที่ไปถึงระดับทำลายล้างน้อยกว่าสิบคน อันที่จริงแล้วทั่วทั้งอาซีร์ทั้งหมดยังมีกันไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำ!
ทำไมผู้ใช้มนตร์ดำสุดเหี้ยมโหดที่หายสาบสูญไปนานถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่กัน! ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นมิตรกับเจ้าของร้านเสียด้วย!
จี้จือซู่สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงรีบหนีไป
หรือว่าบางทีเจ้าของร้านจะเป็นจอมเวทลึกลับที่ทรงพลังสุด ๆ! ไม่แน่เขาเองก็อาจจะเป็นระดับทำลายล้างเหมือนกับไวลด์ก็ได้! ดูเหมือนว่าเราจะได้ผู้สนับสนุนทรงอิทธิพลมาซะแล้วสิ…
—
หลินเจี๋ยนำหนังสือหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวไปเก็บในชั้นวาง
“ผู้เฒ่าไวลด์ วันนี้คุณดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะครับ”
ไวลด์ถือได้ว่าเป็นขาประจำของที่นี่ ร้านหนังสือเก่า ๆ ของหลินเจี๋ยแทบจะไม่มีลูกค้าเลย จำนวนลูกค้าประจำเรียกได้ว่าสามารถนับได้ง่าย ๆ ด้วยนิ้วมือของเขา อย่างไรก็ตามหลินเจี๋ยได้สร้างสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับคนเหล่านี้ ผ่านการพูดคุยอย่างจริงใจ กระตุ้นให้ทุกคนกลับมาเยี่ยมเยียนจนติดเป็นนิสัย
ครั้งแรกที่ไวลด์ก้าวเท้าเข้ามาในร้านหนังสือแห่งนี้คือเมื่อสองปีก่อน ตั้งแต่นั้นมาชายชราก็ได้แวะกลับมาทั้งหมดห้าครั้ง เพื่อยืมหนังสือเล่มใหม่ ในแวบแรกมันอาจจะดูเหมือนไม่บ่อยนัก แต่ระยะเวลาการยืมตามปกติของไวลด์คือหนึ่งเดือน หรือก็คือเขาได้อุทิศเวลา 4 ใน 24 เดือนตลอดสองปีเพื่อแวะมาที่นี่ หรือก็คือราว ๆ หนึ่งในหกของเวลาทั้งหมดของเขา!
นี่แหละคือความจริงใจของลูกค้า!
ตลอดสามปีที่หลินเจี๋ยเป็นผู้บริหารร้านหนังสือแห่งนี้ เขาแทบไม่เห็นวี่แววธุรกิจอะไรเลย ดังนั้นไวลด์จึงถูกมองว่าเป็นทหารผ่านศึกคนสำคัญในสถานที่อันต่ำต้อยนี้
ขณะเดียวกัน ไวลด์เองก็เข้ามาปรึกษาหลินเจี๋ยอยู่บ่อย ๆ
เฮ้อ คนชราที่โดดเดี่ยว ดูเหมือนว่าจะมีความอ่อนไหวต่อปัญหาทางจิตใจจริง ๆ
ใช่แล้ว เฒ่าไวลด์เป็นคนแก่ที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว
ก่อนหน้านี้หลินเจี๋ยเคยได้ยินมาว่า คนรักของเฒ่าไวลด์นั้นเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงลูกสองคนที่เหินห่างกันมานาน อีกทั้งยังถูกเพื่อนร่วมงานกีดกันและหวาดกลัว เพราะรูปร่างหน้าตา ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในเมืองหลวงนอร์ซิน
ผู้เฒ่าไวลด์ไม่ได้ขาดแคลนอาหารหรือเสื้อผ้า ปัญหาของเขาคือช่องโหว่ของความโดดเดี่ยวในใจ
ความบกพร่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะขาดความอบอุ่นห่วงใยจากเพื่อนและครอบครัวอย่างเดียว ที่สำคัญที่สุดก็คือ ชายชรานั้นขาดซึ่งการยอมรับจากคนรอบข้าง
เฒ่าไวลด์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอักขระ และนักวิชาการที่สนใจในการค้นคว้าอักขระ ภาษาแปลก ๆ หายากทุกประเภท คนที่มีความสนใจด้านนี้ไม่นานก็คงจะชินกับการอยู่ตัวคนเดียว อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดจากการที่ไม่มีใครเข้าใจเลยก็เป็นเรื่องที่ยากเกินจะทน
ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงริเริ่มให้คำปรึกษาจากปัญหานี้!
ในการพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ หลินเจี๋ยได้ปฏิบัติต่อเฒ่าไวลด์ด้วยความเคารพ เพื่อที่จะได้รับความปรารถนาดีจากอีกฝ่าย นอกจากนี้หนังสือที่ชายชรานำมาขายกับทางร้านก็ช่วยให้ชายหนุ่มคาดเดาข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับเขาได้
หลังจากนั้นหลินเจี๋ยก็ได้แนะนำหนังสือเล่มหนึ่งให้กับชายชรา ‘หนังสือภาษาเหวินโจว’
ภาษาเหวินโจวได้รับการขนานนามว่า ‘ภาษาปีศาจ’ มันคือภาษาที่ยากที่สุดในประเทศจีน ในจังหวัดเหวินโจว ภาษานี้มีวิธีใช้แยกย่อยมากกว่าสิบสองภาษา อีกทั้งในช่วงสงคราม ภาษาเหวินโจวยังถูกใช้เป็นรหัสลับที่ศัตรูไม่มีทางถอดรหัสได้อีกด้วย!
สีหน้าของเฒ่าไวลด์เปลี่ยนจากความเบื่อหน่าย กลายเป็นความสงสัยและหวาดกลัว ก่อนจะกลายเป็นความปีติยินดีในที่สุด เขาอุทานออกมาว่า “ภาษาปีศาจ นี่มันช่างซับซ้อนราวกับเป็นภาษาของปีศาจจริง ๆ!”
ฉากดังกล่าวทำให้หลินเจี๋ยรู้สึกได้ถึงความสำคัญในคำแนะนำของตน
ความสุขของที่ปรึกษา บางทีก็เรียบง่ายกว่าที่คิด
และเนื่องจากไม่มีจังหวัดเหวินโจว หรือประเทศจีน ในดินแดนที่รู้จักกันในชื่ออาซีร์แห่งนี้ หลินเจี๋ยจึงทำได้เพียงแค่อธิบายว่ามันเป็นหนังสือที่มาจากอารยธรรมที่สาบสูญไปแล้วในอดีตเท่านั้น