บทที่ 424 : พี่จี้จือซู่
บทที่ 424 : พี่จี้จือซู่
ติ๊ก…ติ๊ก…
มูเอนติดตั้งนาฬิกาลูกตุ้มไว้ในร้านหนังสือใหม่เป็นการพิเศษ ซึ่งนั่นทำให้เธอสัมผัสการผันผ่านของเวลาได้อย่างมีสติ
เสียงกังวาลใสก้องในร้านหนังสือ ทำให้มันดูว่างเปล่า ให้ความรู้สึกเย็นอย่างไม่อาจอธิบายได้ แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลว่าทำไมร้านหนังสือจึงไร้ลูกค้า
สาขาเขตกลางเปิดมามากกว่าสิบวันแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันว่างเกินไป
สถานการณ์แตกต่างจากการคาดเดาของมูเอนและวินเซนต์ที่หารือร่วมกันมาก่อน
แต่เดิม พวกเขาคิดว่าแขกที่มาเยือนน่าจะมีจำนวนมาก และจะคัดเลือกสาวกระดับสูงของเจ้าของร้านหลินด้วยการเผยแพร่หนังสือในร้าน
น่าเสียดายที่ไม่มีแขกมาเลยสักคน!
มูเอนผู้ถือครองอำนาจแห่งดวงจันทร์ย่อมรู้ว่าทำไม
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เป้าหมายของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกระดับสูงของนอร์ซินที่แท้จริงฝังความลับบางอย่างไว้ พวกเขาก็แค่รอให้ทุกสิ่งเปิดฉากเท่านั้น
“จี้จือซู่ ดูเหมือนเธอจะกลายเป็นสาวกของเจ้าของร้านหลินโดยแท้จริงแล้วสินะ” มูเอนกระซิบ เสียงของเธอสะท้อนไปในร้านหนังสืออันเงียบสงัด
ในฐานะแม่มดแห่งรัตติกาล ไม่มีสิ่งใดทั่วนอร์ซินคลาดจาก ‘เนตรจันทรา’ ของเธอไปได้แน่นอน รวมถึงการกระทำของจี้จือซู่ด้วย
“มีคนกลุ่มนึง ผมเคยคิดว่าเธอคงจะเพิ่มจำนวนสาวกของเจ้าของร้านหลินโดยตีพิมพ์หนังสือที่เจ้าของร้านเขียน แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะรวมผู้คนในรูปแบบการประมูลสินค้า เลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุด และฉวยโอกาสฝังปรสิตควบคุมพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้นและรอการฟักตัวระยะต่อไปด้วยครับ”
เสียงอันดังและคุ้นเคยดังขึ้นกะทันหันในร้านหนังสือ บอกเล่าความคิดของเขาให้มูเอนฟังโดยตรง เธอไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
วินเซนต์ผู้มีผมสีบลอนด์และหนวดเคราเต็มหน้ามีภาพลักษณ์ของนักบวชผู้เมตตา
“จากมุมมองบางจุด ไม่เพียงจี้จือซู่คัดเลือกผู้ได้รับความโปรดปรานที่เหมาะสมและมีคุณสมบัติครบถ้วนที่สุดให้เจ้าของร้านหลิน เธอยังหาร่างแยกให้ตนเองได้มากพอด้วย นั่นเป็นการกระทำที่ฉลาดจริง ๆ”
“แน่นอนค่ะ” มูเอนยกมุมปากของเธอขึ้นเล็กน้อยแทบมองไม่เห็น กล่าวว่า “เธอเป็นคนที่เจ้าของร้านหลินเลือกนี่นา…”
“ผู้ดีส่วนใหญ่กลายเป็นจี้จือซู่กันไปหมดแล้ว มิน่าล่ะ คุณถึงไม่มีแขก”
วินเซนต์กล่าวยิ้ม ๆ จากนั้นก็เดินไปนั่งลงตรงข้ามกับมูเอน “ในกรณีนี้ จี้ป๋อหนงและลูกสาวของเขาก็นับเป็นสาวกของเจ้าของร้านหลินอย่างเต็มตัวนะครับ”
“เป็นเกียรติของพวกเขาค่ะ” มูเอนกล่าวอย่างมั่นใจ
ในความเห็นของมูเอน การเป็นข้ารับใช้ให้เจ้าของร้านหลินคงจะเป็นวาสนาที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับพ่อลูกตระกูลจี้
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หากไม่มีเจ้าของร้านหลิน จี้จือซู่คงตายไปนานแล้ว
“ในเมื่อจี้จือซู่ทำได้ดี เราก็ลงมือกันเถอะค่ะ” มูเอนออกคำสั่ง…ในฐานะผู้จัดการสาขา จากแง่มุมหนึ่ง เธอก็นับได้ว่าเป็นตัวแทนเจตจำนงของเจ้าของร้านหลิน
“สำนักงานกลางเหรอครับ…?” วินเซนต์ถามอย่างลังเลเล็กน้อย
“ก็แค่แม่มดแห่งพฤกษา ฟราซินัสเองค่ะ ไม่มีอะไรน่ากลัว” มูเอนมองกลับไปที่หน้าต่าง มีนกกระเต็นน้อยสวยสดตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง
“แม่มดแห่งพฤกษา…เป็นแม่มดแห่งพฤกษาเหรอครับ?” วินเซนต์พึมพำกับตนเองอย่างประหลาดใจ
นกกระเต็นน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วสองครั้ง ก่อนจะหายไปจากขอบหน้าต่าง
จี้จือซู่ผู้อยู่ห่างออกไปในซอย 67 วางปากกาลง ความทรงจำของร่างแยกจากตัวนกกระเต็นน้อยถูกส่งมายังสมองของเธออย่างครบถ้วน
“แม่มดแห่งพฤกษา…” จี้จือซู่สูดหายใจลึก หันหลังกลับไปพูดกับจี้ป๋อหนง “งั้นลงมือกันเถอะค่ะ นี่คือคำสั่งจากคุณมูเอน และเจตจำนงของคุณมูเอนก็เหมือนกับเจตจำนงของเจ้าของร้านหลิน”
จี้ป๋อหนงเลิกคิ้ว เขาได้รับพลังเหนือธรรมชาติจากหนังสือ ‘ฝ่ามือสัมผัสแห่งความว่างเปล่า’ และสามารถบิดเบือนเศรษฐกิจและธุรกิจต่าง ๆ ได้จริง ๆ ตอนนี้ขอเพียงจี้ป๋อหนงคิด การทำให้ค่าเงินและเศรษฐกิจพังทลายก็ง่ายแสนง่าย
—
สโปน่า พาลัค เป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลพาลัค ตระกูลผู้สูงศักดิ์ในเขตกลาง
ขอเพียงกะประมาณให้พอเหมาะพอควร การแสดงความเย่อหยิ่งเล็กน้อยก็จะสามารถทำให้ผู้คนทราบได้ด้วยว่าพวกเขาไม่ควรล้อเล่นด้วย ทำให้ผู้ที่ชอบกดคนอื่นให้ต่ำอยู่ห่างจากพวกเขาไว้
เพราะเหตุนี้ เธอจึงเป็นคนเย่อหยิ่งเพื่อนน้อย…แต่จี้จือซู่ คุณหนูใหญ่จากเครือบริษัทโรลล์คือหนึ่งในเพื่อนเหล่านั้น
ในสายตาของเธอ แม้จี้จือซู่จะเกิดมาเป็นคนธรรมดา แต่เธอก็เป็นเด็กสาวยุคใหม่ผู้มีความรู้ทันสมัย พื้นเพลึกลับและมีสายตาเฉียบคม
โชคไม่ดี นับแต่ที่พ่อแม่ของเธอให้เธอไปเรียนเต้นรำ เธอก็ถูกแยกให้ห่างเหินจากจี้จือซู่ไปเรื่อย ๆ
แม่บ้านของสโปน่ามักจะเตือนเธอว่า ตระกูลจี้ของเครือบริษัทโรลล์เป็นนักธุรกิจจากสายเลือดชนชั้นล่าง พวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น
แต่สโปน่าไม่ใส่ใจ เธอคิดแค่ว่าจี้จือซู่ฉลาดมาก ดีกว่าพวกสตรีสูงศักดิ์ทั่วไปที่มีแต่แป้งรองพื้นอัดอยู่เต็มหัวเยอะเลย
การนับเพื่อนกับจี้จือซู่ทำให้เธอรู้สึกราวกับเป็นผู้เหนือกว่าได้
จี้จือซู่เป็นเหมือนไอดอลของเธอมานานแล้ว ไม่สิ จนถึงวันนี้
สโปน่าไม่สนใจการเต้นรำเลย ความฝันที่แท้จริงของเธอคือการกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ไม่ใช่เครื่องมือเพื่อการแต่งงานทางการเมือง
จากการสืบเสาะของเธอ ในช่วงสองสามปีมานี้ พี่จี้จือซู่ของเธอดูจะกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งไปแล้ว บางทีถ้าเธอแอบติดต่อกัน เธออาจจะมีโอกาสได้เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วยก็ได้
นี่ทำให้เธอนับถือจี้จือซู่มากยิ่งขึ้นอีก และกระทั่งแอบสลักชื่อของเธอไว้ที่มุมโต๊ะเพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเอง
หลังจากเรียนในโรงเรียนฝึกเต้นรำที่ชานเมืองเขตกลางอยู่หลายวัน ในที่สุดสโปน่าก็ได้กลับบ้าน
“คุณพ่อ! คุณแม่คะ!”
สโปน่าถือกระเป๋าหนังลูกวัวของเธอ ผลักประตูเปิดออก และยืนนิ่งค้างอย่างประหลาดใจ
พ่อ แม่ พี่ชาย และพี่สาวของเธอกำลังนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่รอบโต๊ะกลมทานอาหาร แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอาหารสักหน่อย
“คุณพ่อคะ คุณแม่คะ หนูกลับมาแล้วค่ะ” สโปน่ากระซิบ แต่ไม่มีใครในห้องที่เงียบสงัดนั้นตอบเธอกลับมาเลย
เธอหันกลับไปเห็นสารถีจอดรถราวกับเป็นเครื่องจักร และนั่งนิ่งค้างอยู่ในรถ ไม่มีความคิดจะเปิดประตูออกมา เหมือนที่ครอบครัวของเธอทำแค่นั่งล้อมโต๊ะโดยไม่เคลื่อนไหว
สโปน่าขมวดคิ้วอย่างเคลือบแคลง เธอเลื่อนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหารและนั่งลงอย่างระมัดระวัง
พ่อ แม่ พี่ชาย และพี่สาวต่างมีรอยยิ้มสว่างไสวบนใบหน้าเหมือนกันหมด และดวงตาของพวกเขาก็ทอประกายอยู่ในเบ้าอย่างเงียบ ๆ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา
“แม่คะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“พวกเราไม่เป็นไรจ้ะ สโปน่าที่รัก” พ่อและแม่ของเธอพูดพร้อม ๆ กันด้วยน้ำเสียงเดียวกัน
สโปน่านิ่งงัน
ความรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อยเอ่อท่วมร่างของสโปน่า เธอมองไปรอบ ๆ อย่างสุ่ม ๆ และพบว่าทั้งสาวใช้ สารถี และกระทั่งสุนัขกับแมวดำแถวนั้นดูจะมีสีหน้าแบบเดียวกันหมดเลย
มุมปากของพวกเขาต่างยกโค้งเหมือน ๆ กัน…กระทั่งแมวดำตัวนั้นด้วย
สโปน่าสูดหายใจลึก ๆ แทบร่วงจากเก้าอี้ เธอลุกขึ้นอย่างกระวนกระวายและก้าวเดินฉับ ๆ ไปทางประตู…
…พลังเหนือธรรมชาติ! มีใครบางคนควบคุมพ่อแม่เราด้วยพลังเหนือธรรมชาติ!
สโปน่าไม่เคยเข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาก่อนเลยนับตั้งแต่เด็ก เธอเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งโดยสมบูรณ์ และตอนนี้ เธอสาวเท้าไว ๆ ไปที่ประตูอยากจะออกจากที่นี่
“สโปน่าที่รัก เธอจะไปไหนเหรอ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นทั่วคฤหาสน์กะทันหัน มันออกมาจากปากของทุกชีวิตในบ้านหลังนั้นเป็นเสียงเดียว
“อ๊า!!” สโปน่ากรีดร้อง สะดุดพรมล้มลง
“สโปน่าที่รัก เธอจะไปไหนเหรอ?” แม่ของเธอเดินมาหา มุมปากที่ขดม้วนของเธอดูจะสามารถวัดได้ด้วยไม้บรรทัด และใบหน้าแม่ของเธอ จู่ ๆ ก็ดูราวดอกไม้ผลิบาน กลีบที่ทำจากเนื้อมากมายแย้มผลิ เปลี่ยนเป็นดอกไม้เลือดเนื้ออันโหดร้าย
ก่อนที่สโปน่าจะทันได้กรีดร้อง เกสรก็ค่อย ๆ ผุดออกมาที่ใจกลางดอกไม้…
“บอกหน่อยสิว่าจะไปไหน? น้องสาวที่รัก” พี่สาวของเธอซึ่งยืนอยู่ข้างหลังแม่ถามด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน
“น…น…น…หนูจะไปหาพี่จี้จือซู่ค่ะ!” สโปน่าแข้งขาอ่อน ล้มแผละนั่งลงกับพื้น ความคิดในใจแล่นไปหาผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนเดียวที่เธอรู้จัก
ตรงข้ามกับความคาดหวังของสโปน่า หลังจากศีรษะทั้งหัวแม่ของเธอเปลี่ยนเป็นดอกทานตะวันและได้ยินชื่อจี้จือซู่ เลือดเนื้อที่บานออกก็ค่อย ๆ หุบลง เปลี่ยนเป็นสีหน้าแข็งค้างเหมือนเดิม
ทันใดนั้น ใบหน้าของเธอก็เริ่มเผยอหลวมอีกครั้ง และมันก็เริ่มเกิดชีวิตชีวาราวกับเศษฝุ่นร่วงจากผนังซีเมนต์ และประโยคแรกที่เธอพูดก็คือ…
“หาฉันทำไมเหรอสโปน่า?” จี้จือซู่พูดผ่านปากแม่ของเธอด้วยรอยยิ้ม
“จี้…จี้… อ๊าา!!!”
ดวงตาของสโปน่าเบิกกว้างอย่างตกใจ เธอปากอ้ากว้าง เธอกรีดร้องและลุกจากพื้น พุ่งหนีออกนอกบ้าน
จี้จือซู่ผู้สวมคราบแม่ของสโปน่ามองไล่หลังเด็กสาวผู้กระเสือกกระสนหนีและเอียงคออย่างงุนงง
—
สโปน่าพุ่งออกนอกประตู ในฐานะสตรีสูงศักดิ์ เท้าของเธอจึงแทบไม่ค่อยได้ใช้บนพื้นดินทราย เธอเดินโซเซสองสามก้าวและล้มลงหลายครั้ง เลือดของเธออาบเต็มเข่าและศอก แต่ความกลัวทำให้เธอไม่รู้สึกเจ็บปวด
ไปสถานีตำรวจในเขตกลาง ที่ทำงานของพ่อเรา ตระกูลพาลัคเป็นราชันย์ไร้มงกุฎของกรมตำรวจเขตกลาง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ!!” เธอวิ่งพลางตะโกน
เธอหนีออกมาไกลจากบ้านแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก และจากนั้นจึงเริ่มร้องไห้เสียงดังอย่างอับจนหนทาง
“พ่อกับแม่!!” เธอยืนจนปัญญาอยู่บนถนน แต่ภาพที่เธอเห็นยิ่งทำให้เธอไม่อยากเชื่อ…
เหล่าคนงานที่ปกติทำงานงก ๆ อย่างเชื่อฟังกำลังไล่ทุบโรงงานร้านรวงต่าง ๆ ราวถูกปีศาจเข้าสิง พวกเขาถือธงของพวกตนขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่ง และไกลออกไปก็มีการระเบิดเกิดขึ้นเป็นสิบ ๆ หน
เขตกลางที่แต่เดิมเป็นระเบียบเรียบร้อย ขณะนี้วุ่นวายราวเป็นนรก
สโปน่ากุมหัว เรื่องเหล่านี้ดูจะทำลายภาพจำทั้งหมดของเธอในพริบตา
“เกิดอะไรขึ้น…?” เธอพึมพำกับตนเองขณะมองผู้นำคนงานลากตัวสตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งและฟาดเธอลงกับพื้นอย่างสุดแรง
สโปน่าเบิกตากว้างมองสตรีสูงศักดิ์ที่ค่อนข้างคุ้นหน้าคนนั้น เธออยากหยุดเรื่องนี้ แต่ผู้นำคนงานก็เงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มบาง ๆ เหมือนที่เธอเคยเห็นที่บ้านไม่มีผิด
จี้จือซู่…
“อ๊าาา!!!” เธอกรีดร้องและวิ่งหนีไป
สโปน่าวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่รอยยิ้มนั่นดูจะมีอยู่ทั่วทุกที่ มันปรากฏบนใบหน้าของทุกคน
ปุ…!
สโปน่าผู้ลนลานราวแมลงวันไร้หัวชนเข้ากับชายร่างกำยำผู้หนึ่ง
เธอเงยหน้าขึ้น และใบหน้าของนักบวชผู้เมตตาคนหนึ่งก็สะท้อนในแววตา รอยยิ้มของนักบวชผู้นี้สุภาพอ่อนโยน ต่างจากจี้จือซู่โดยสมบูรณ์ และเขาถือหนังสือชื่อ ‘คัมภีร์ตะวัน’ อยู่ในมือ