บทที่ 427 : ทุกอย่างโกหกทั้งเพ!
บทที่ 427 : ทุกอย่างโกหกทั้งเพ!
“คุณรู้…หรือ?!”
ใบหน้าเฒ่าชราเหมือนหน้ากากของวาลเลซเต็มไปด้วยความตกตะลึงและอับอายทันที
สิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็เพื่อกล่อมเกร็กให้คล้อยตามภารกิจที่ฟังดูแสนสวยหรูของหอพิธีกรรมต้องห้ามเท่านั้น ไม่ได้คาดไว้เลยว่าเกร็กจะรู้ความจริงอยู่แล้ว ดังนั้นการโกหกต่อหน้าเขาจึงไม่ต่างกับฆ่าตัวตาย… เหมือนตัวตลกที่กระโดดลงจากขื่อคาน
สิ่งนี้จะไม่ทำให้เขาโกรธและขุ่นเคืองใจได้อย่างไร?!
หลังกล่าวคำพูดเกรี้ยวกราดเหล่านั้นออกไป เกร็กก็นิ่งอึ้ง
เขา…เขาพูดออกไปทำม๊าย??!
แต่เดิมเขาก็เป็นคนเถรตรงซื่อสัตย์อยู่แล้ว เมื่อได้ยินว่าโจเซฟ อัศวินที่เขาชื่นชมที่สุดกลับพบจุดจบเพราะแผนการของหอพิธีกรรมต้องห้าม หัวใจของเขาก็ตะลึงงัน
ดังนั้นเขาจึงอดกล่าวทวงความยุติธรรมให้โจเซฟไม่ได้ แต่เรื่องทั้งหมดนี้อิงจากความจริงที่เจ้าของร้านหนังสือเป็นเทพปีศาจ หลังจากได้ยินเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมด เขาก็พูดจากการคาดเดาในใจเท่านั้น
แต่…จากปฏิกิริยาของวาลเลซ เจ้าของร้านหลินคือ ‘เทพปีศาจ’ ที่ทำลายยุคสมัยของเอลฟ์จริง ๆ หรือ?
“คุณหลอกผม!” วาลเลซทองเกร็กอย่างตกใจและโกรธเคือง คำรามเสียงต่ำ ฉีกผิวยาน ๆ ที่ดูเหมือนกระสอบทั่วตัวออก พยายามลุกขึ้นจากเก้าอี้
ทว่าเขากลับไม่สามารถกำจัดร่างที่เปื่อยสลายของตนได้เลย เกราะสีเงินอร่ามร่วงจากร่าง เผยให้เห็นร่างเน่าเฟะของเขา เครื่องในปรากฏอย่างเห็นได้ชัดและมีหนอนแมลงกัดกินหนาแน่น ความสยดสยองนี้ทำให้หนังหัวเกร็กชายิบ
แม้ว่าร่างของเขาจะเน่าเหม็น แต่มันก็ยังคงเติบโต
ความตายและชีวิตอันเป็นนิรันดร์เกิดขึ้นพร้อมกันในตัวเขา
แต่ที่จริงแล้ว เกร็กไม่ได้แน่ใจจริง ๆ ว่า ‘เทพปีศาจ’ จะเป็นเจ้าของร้านหลินจริงหรือไม่…
ในใจของเขา เจ้าของร้านหลินเป็นคนแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าจุดยืนของเขาจะไม่อิงกฎเกณฑ์และมีทัศนคติที่ไม่เป็นมิตรต่อมนุษย์ก็ตามที ทุกสัญญาณกลับปรากฏว่า เขาดูมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
สิ่งไร้คุณธรรม สิ่งเลวร้ายต่าง ๆ…
ที่จริงแล้ว การที่เกร็กตัดสินใจใช้คำว่า ‘เทพปีศาจ’ นั่นเป็นเพราะความเย่อหยิ่งของตนล้วน ๆ มันเป็นการแสดงออกว่าเขาไม่ได้เชื่อ ‘ความจริง’ จากปากวาลเลซ และพูดอิงการคาดเดาจากเบาะแสในขณะนี้ของเขา
อย่างน้อยที่สุด…ศึกในซอย 67 นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นกับดักที่วาลเลซเตรียมไว้บังคับเจ้าของร้านหลินให้ลงมือ เพื่อดูว่าโจเซฟสามารถได้รับความสนใจจากเจ้าของร้านหลินจริง ๆ หรือเปล่า?
แต่เดิม มันเป็นเพียงการคาดเดา ทว่าตอนนี้ ปฏิกิริยาของวาลเลซทำให้เขาสามารถคาดเดาได้อย่างชัดเจน
เกร็กถลึงตาอย่างโกรธเคือง “หลอกคุณแล้วทำไมเหรอ? คนหลอกลวง คุณมีคุณสมบัติอะไรมาพูดแบบนี้! ถ้าเจ้าของร้านหลินเป็นเทพปีศาจ งั้นสิ่งต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ที่คุณทำมาก็มีเจตนาทั้งสิ้น เรื่องเอาชนะเทพปีศาจอะไรนั่น ทุกอย่างโกหกทั้งเพ คุณน่ะเต็มใจเป็นสุนัขของเทพปีศาจต่างหาก!”
“หลอกลวง? โกหก?”
วาลเลซลุกจากเก้าอี้ ร่างของเขาสูงและผอมบางมากจนดูเหมือนโครงกระดูก
เขาหัวเราะดังลั่น “ฮ่า ๆๆ… น่าขำแท้ คุณไม่เข้าใจเลยสักนิด นั่นพระเจ้า นั่นแหละพระเจ้า มีเพียงเขาที่มีพลังเป็นนิรันดร์ ถ้าเราใช้พลังนั่นได้แม้เพียงเสี้ยว…ไม่ว่ามนุษย์จะทำอะไร มันจะแข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทาน!”
ใช้มัน?
เกร็กจับคำพูดนี้ได้อย่างแม่นยำ จากนั้นก็รู้สึกแย่ สังหรณ์ร้ายแล่นผ่านเข้ามาในใจ และวาลเลซก็เอื้อมมือขึ้นคว้าดาบยาวเล่มหนึ่งออกมาจากอากาศธาตุ
เคร้ง…!
ในขณะที่เกร็กกำลังคิดว่าบางอย่างผิดปกติอยู่นั้นเอง เสียงโลหะถูกแทงก็กระทบโสตประสาท ในขณะเดียวกัน ดาบยาวเล่มหนึ่งก็เสียบทะลุร่างของวาลเลซจากเบื้องหลังบัลลังก์อัศวิน
เกร็กตกใจ…
วาลเลซแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ เปลือกนอกอันแก่ชราของเขาแตกร้าวราวกับเป็นแก้ว และเสียงไร้อารมณ์ของเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังมาจากหลังบัลลังก์
“ที่แท้…แกก็ฆ่าแม่ของฉันจริง ๆ!”
เสียงที่คุ้นเคยนี้ทำให้เกร็กรู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร
“เมลิสซ่า?!”
หลังจากเกร็กหันมองบัลลังก์อย่างตกใจ เด็กสาวผมแดงคนหนึ่งก็ค่อย ๆ เผยร่างสีแดงของเธอออกมาจากหลังบัลลังก์สูงเช่นกัน
“ฉันเอง เกร็ก”
เมลิสซ่าพูดอย่างหนักแน่น ดาบยาวของเธออาบด้วยเปลวเพลิงร้อนระอุ เกิดเป็นแสงสีแดงบนคมดาบ
หลังจากเอ่ยตอบเกร็ก เมลิสซ่าก็ไม่ได้คุยกับเขาต่อ แต่หันไปมองวาลเลซที่ร่อแร่ใกล้ตาย เอ่ยคำพูดออกมา
“ต่อสู้กับความมืดอะไรนั่น…ทุกอย่างโกหกทั้งเพ หอพิธีกรรมต้องห้ามไม่ได้เกิดมาเพื่อปกป้องแต่แรกแล้ว”
เมลิสซ่าพูดเบา ๆ
“ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน แกกับพรรคพวกไม่ได้ไปทำลายเทพปีศาจที่เขตล่างเพื่ออนาคตแห่งมนุษยชาติอะไรนั่นหรอก”
เมลิสซ่าดึงดาบอันคมกริบของเธอออกมาจากร่างเน่าเฟะของวาลเลซ
และร่างแก่ชราของวาลเลซก็สั่นระริกราวกับปลาถูกทุบ หลังจากดาบถูกดึงออก เลือดสีดำเน่าเหม็นก็ทะลักจากอกของเขาเหมือนก๊อก
“พวกแกสร้างหอพิธีกรรมต้องห้ามขึ้นมาก็เพื่อขโมยพลังของเทพปีศาจและหาหนทางสู่ระดับเหนือนภาต่างหาก”
เมลิสซ่าเผยความจริงออกมาอย่างป่าเถื่อน
“การตั้งทัพปราบเทพปีศาจที่ว่านั่น ที่จริงก็แค่กลุ่มคนเห็นแก่ตัวที่รวมตัวกันเพื่อไขว่คว้าพลัง เมินเฉยต่อคำสั่งของแม่มดบรรพกาลและต่อสู้กับความมืดทั้งในที่ลับที่แจ้งต่างหาก”
“พิธีกรรมต้องห้ามที่ว่านี่ มันคือพิธีกรรมจับพลังระดับเหนือนภา แกทำพิธีนี้ในเมืองใต้ดินที่เขตล่างในตอนที่ทารกเทพปีศาจถือกำเนิด…แต่ด้วยพลังของแกจะทำให้เข้าใกล้ยังทำได้ยาก พิธีกรรมที่แกว่าก็เหมือนแค่กระดาษแช่น้ำ แค่จิ้มก็ขาดแล้ว”
“แกได้รับผลกระทบหนักหนาในพิธีกรรมนั่น แต่ในขณะเดียวกัน แกก็กลายมาเป็นผู้เหลือรอดคนเดียว ใช้ร่างกายตัวเองไม่ได้แล้ว แกเลยโหยหาพลังของเทพปีศาจยิ่งกว่าเก่า หอพิธีกรรมต้องห้ามปั้นแต่งเรื่องราวสรรเสริญแกจากเรื่องละเมอเพ้อพก สร้างเป็นจิตวิญญาณอัศวินที่ทุกคนไล่ตาม”
“ช่างน่าขำจริง ๆ”
เมลิสซ่าเบิกตาโตอย่างโกรธแค้น ชี้ดาบยาวของเธอไปหาวาลเลซ กัดฟันพูด “ทุกอย่างโกหกทั้งเพ! แม่ของฉันมองทะลุเรื่องทั้งหมดนี่ เธอเลยโดนแกปิดปาก และนอกจากเธอ ใช่! มีคนเป็นร้อย ๆ ที่หายตัวไปอย่างไร้เหตุผลตลอดประวัติศาสตร์ของหอพิธีกรรมต้องห้าม หรืออาจมากกว่านั้นอีก!”
“การหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดคือดาบปีศาจ แกส่งดาบคำสาปที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับอัศวินแห่งแสงที่แข็งแกร่งที่สุดแต่ละรุ่นเพื่อให้พวกเขาตายในช่วงเวลาที่เหมาะสม และด้วยเหตุผลที่เหมาะสมที่สุด!”
“เพราะแบบนี้ พวกเขาจึงไร้โอกาสได้ค้นพบความจริง เป็นหุ่นเชิดให้แกตลอดไป! พ่อของฉันก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างกัน!”
เมื่อมองสถานการณ์ตรงหน้าเขา เกร็กอึ้งเสียจนทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง แต่น้ำเสียงของเมลิสซ่าดูไม่เหมือนว่าเธอกำลังโกหกอยู่เลย เขางุนงงและตกใจอย่างสุดขีดกับความจริงนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!”
วาลเลซขยับร่างบนบัลลังก์ คำรามราวกับปลาตายตัวซูบผอม ร่างของเขาตายไปนานแล้ว แต่วิญญาณถูกผูกไว้กับร่างเน่าเปื่อยนี้ เป็นความอมตะอันแสนน่าเศร้า
“ไม่ใช่แบบนี้…”
“ฉันไม่ได้ล้มเหลว พิธีกรรมของฉันสำเร็จ!” วาลเลซกล่าวอย่างสติแตก “ฉันคืออัจฉริยะในรอบพันปี ผู้ผูกมัดพระเจ้ากับแดนดิน แต่คาดไม่ถึงเลย…”
“ไม่คาดเลย…” วาลเลซกล่าวเสียงแข็งว่า “พระเจ้าจะกลับชาติมาเกิด และออกจากพิธีกรรมของฉันโดยอาศัยภาชนะบางอย่าง…”
“ฉันน่าจะได้เป็นพระเจ้า…ฉันคือพระเจ้า!” วาลเลซกล่าวอย่างสับสน
เมลิสซ่าขมวดคิ้ว เธอคิดว่าวาลเลซจะปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าบ้านี่จะเถียงกลับมาว่าพิธีกรรมของตนถูกแล้ว
บ้า…บ้าจริง ๆ! พอคิดว่าคน ๆ นี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของหอพิธีกรรมต้องห้ามมาช้านาน ในขณะเดียวกันก็ฆ่าพ่อแม่ของเธอ…เมลิสซ่าก็แทบเป็นลมอย่างช่วยไม่ได้
ในขณะเดียวกัน แม้ว่าเมลิสซ่าจะยังไม่ถึงขั้นเหนือนภา แต่เธอควบคุมความรู้ของผู้เป็นแม่และพลังระดับเหนือนภาของผู้เป็นพ่อ เปลวเพลิงบนคมดาบทำให้ร่างเน่าเปื่อยไม่ยอมตายของวาลเลซเริ่มถูกแผดเผา
“เมลิสซ่า!” เกร็กรีบร้อนตะโกน “คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ! พอวาลเลซตาย คุณจะกลายเป็นศัตรูของทั้งหอพิธีกรรมต้องห้าม มันไม่คุ้มเลย! ผม…ผมจะเข้าไปนะ คุณให้ผมไปหาแล้วฆ่าผมสิ ถ้าทำแบบนี้ คุณจะมีโอกาสได้ไต่เต้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น และล้างแค้นให้อาจารย์โจเซฟได้นะ…”
“คุณรู้ไหม? นั่นเหมือนที่พ่อฉันบอกเลย”
เมลิสซ่าถอนหายใจ
“คุณโจเซฟเหรอครับ?!” เกร็กอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ “เขายังมีชีวิตอยู่เหรอครับ?”
เมลิสซ่ามองวาลเลซที่ถูกแผดเผา กำหมัดแน่น กล่าวว่า “เปล่า พ่อของฉันตายแล้วจริง ๆ แต่เปลวเพลิงไม่มีวันตาย เขาเปลี่ยนพลังของเขาเป็นเจตจำนงและอยู่ข้าง ๆ ฉัน”
“แต่ตัวฉันไม่สามารถเข้าใจมันได้เอง โชคดีที่ฉันไปหาเจ้าของร้านหลินมา และเขาก็ให้หนังสือนี่กับฉัน”
“‘เจตจำนงแห่งไฟ’”
เปลวเพลิงโอบล้อมเมลิสซ่า เธอกล่าวอย่างหนักแน่น “หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันได้เข้าใจพลังระดับเหนือนภาที่พ่อฉันทิ้งไว้ให้อย่างทะลุปรุโปร่ง รวมไปถึงเข้าใจในความจริงทั้งหมดของหอพิธีกรรมต้องห้ามด้วย”
“อย่างนั้นเหรอครับ?”
เกร็กอึ้ง ปรากฏว่าทุกอย่าง…ยังคงอยู่ในแผนของเจ้าของร้านหลิน
เมลิสซ่าไม่โต้เถียง เธอมองไปยังวาลเลซที่มอดไหม้ การล้างแค้นของเธอสำเร็จไปอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง และที่เหลือก็คือออกไปตามหาไวลด์ที่ยังคงวนเวียนอยู่
“เมลิสซ่าครับ” เกร็กคืนสติ กล่าวกับเมลิสซ่า “ตอนนี้เราต้องออกจากหอพิธีกรรมต้องห้ามเดี๋ยวนี้เลย ถึงสิ่งที่คุณกับผมพูดจะเป็นความจริง แต่ไม่มีหลักฐานมัดตัวใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งวาลเลซ หอพิธีกรรมต้องห้าม และพวกอัศวินอาวุโสจะไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่ ๆ ครับ!”
หลังจากเมลิสซ่าได้ฟัง เธอก็เม้มปาก พยักหน้าอย่างหนักแน่น และในที่สุดก็เหลือบมองร่างเน่าเฟะของวาลเลซซึ่งเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านหายไปอย่างสมบูรณ์
ทว่า…เมื่อหันกลับไปและเกร็กวิ่งไปถึงประตูลิฟต์ เสียงเตือนก็ดังขึ้น!
เสียงไซเรนหวีดแหลมดังไปทั่วหอพิธีกรรมต้องห้าม เมลิสซ่ากำดาบยาวในมือ ผมสีแดงกระเพื่อมราวเปลวไฟ กล่าวว่า “มีทางเดียวที่จะไปได้ ฉันไม่สนใจใครแล้ว หอพิธีกรรมต้องห้ามนี่ไม่ควรจะยืนอยู่นานขนาดนี้”
“ไม่นะครับ…” เกร็กกำลังจะเถียงเมลิสซ่า ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะแปลก ๆ แหลมสูงอันคุ้นเคยจากเบื้องหลังเขา
เกร็กเบิกตากว้างและหันกลับไป และพบว่าชายชราอีกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะประชุมค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ฉีกยิ้มแบบที่เกร็กคุ้นตาอย่างยิ่ง
“วาลเลซ…?” เกร็กเอ่ยอย่างอึ้ง ๆ
“เมลิสซ่า เธอนี่โง่พอ ๆ กับพ่อแม่ของเธอเลยนะ!” วาลเลซลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
“ทำได้ไง…” ม่านตาของเมลิสซ่าหดตัว
“ฉันยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรน่ะเหรอ?” วาลเลซเติมคำพูดของเมลิสซ่าและยิ้มเยาะ “เธอประเมินฉันต่ำเกินไปเหมือนที่เธอประเมินพิธีกรรมจับเทพปีศาจของฉันไง…แต่ฉันควรขอบคุณเธอจริง ๆ”
วาลเลซค่อย ๆ บิดตัวมาทางเมลิสซ่าราวกับกำลังฝึกขยับร่างกายครั้งแรก
“ฉันถูกพลังของเทพปีศาจปนเปื้อน ได้รับชีวิตที่เป็นนิรันดร์ แต่ก็ถูกขังอยู่ในร่างเน่า ๆ นั่นตลอดกาล ฉันพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำลายร่างนั่น สร้างหุ่นเชิดนับไม่ถ้วนให้ตนเอง เสาะแสวงการเกิดใหม่ แต่ศพนั่นก็เน่าและอมตะเสียจนไร้หนทางทำลายมัน”
“ต้องขอบใจเธอ เพลิงระดับเหนือนภานั่นทำลายร่างฉันได้อย่างสมบูรณ์”
ดวงตาของเมลิสซ่าเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
วาลเลซมองร่างกายของตัวเอง สีหน้าบ้าคลั่งจนแทบเสียสติ…
“หลังจากถูกคุมขังเกือบพันปี ในที่สุดวันนี้…”
เมลิสซ่าไม่รอให้เขาทอดถอนใจให้จบ เธอเปลี่ยนร่างกายเป็นเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่เขาทันที แต่วาลเลซผู้แข็งแกร่งที่สร้างหอพิธีกรรมต้องห้ามและใกล้ชิดระดับเหนือนภาที่สุดเมื่อพันปีก่อนไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย
เขายิ้มอย่างโหดร้าย