บทที่ 436: ศึกตัดสิน!
หลินเจี๋ยเปลี่ยนเป็นมังกรชราขนาดยักษ์ มันเก่าแก่และผอมแห้งดุจต้นไม้โบราณ นิ้วทั้งห้าในกรงเล็บทั้งสี่ร่วงลงสู่พื้น ทำให้ทั้งเขตแดนแห่งความว่างเปล่าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่หลายหน เขากู่คำราม ลมหายใจสีทมิฬที่พ่นออกมาจากปากแฝงกลิ่นอายแห่งหายนะ
ผิวกายโบราณดุจดั่งหินที่แมกม่าเคลื่อนผ่าน แห้งผากระแหงแตก มองเห็นเส้นโลหิตสูบฉีดเลือดแดงฉานเลือนรางดั่งท่อส่งแมกม่า
“มังกรแห่งภัยพิบัติบากั๊ก?!!” แซดคิเอลตกใจล้มก้นกระแทกพื้น ส่งเสียงร้องลั่น “ห…หลิน…ร่างจริงของเจ้าของร้านหลินที่แท้ก็…”
“เปล่า” มิคาเอลตอบปฏิเสธทันที
เขาเบิกตากว้างมอง ‘บากั๊ก’ ตรง ๆ อย่างยากลำบาก “ก่อนหน้านี้เทพปีศาจนี่เคยดูดซับโลหิตของมังกรบรรพกาลจากหัวใจมังกร ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนร่างใหม่ได้”
แต่เดิม เขาคิดว่าอีกฝ่ายยึดติดได้เพียงร่างของคนธรรมดา แต่ไม่คิดเลยว่าร่างมนุษย์นั่นจะไม่ใช่ภาชนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเทพปีศาจนี้
เขามาจากไหน เขาเป็นใคร มิคาเอลไม่รู้เลย
แซดคิเอลมองไปรอบ ๆ กลืนน้ำลายและกล่าวว่า “มิคาเอล เจ้าทำให้เจ้าของร้านหลินพิโรธแล้ว! เจ้าโง่! เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าจะต่อกรกับเขาได้?!!”
มิคาเอลมองแซดคิเอลอย่างแปลกใจ อีกฝ่ายพูดต่อ “หากมิใช่เพราะความทะนงและการวิเคราะห์มั่วซั่วของเจ้า เขาคงมิเปลี่ยนร่างเป็นมังกรบรรพกาลเยี่ยงนี้ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขตแดนแห่งความว่างเปล่าของข้าก็มิอาจประกันได้ว่าจะเปิดได้ตลอด!”
“เขตแดนแห่งความว่างเปล่าอะไรของเจ้า!” มิคาเอลคว้าคอเสื้อแซดคิเอล “เจ้ามันก็แค่คนตาขาว อยากมีชีวิตและกลัวตายเท่านั้น”
หลินเจี๋ยไม่คิดจริง ๆ ว่าเจ้าสองคนนี้จู่ ๆ ก็ทะเลาะกันเสียอย่างนั้น…เฮ้ วิถีแห่งดาบอัคคีเหลือแค่สามคนแล้วนะ
ในขณะที่พวกเขาเอาแต่เถียงกัน ร่างของหลินเจี๋ยก็เปลี่ยนเป็นมังกรยักษ์ เขาก้มลงมองภาพตรงหน้าอย่างรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์เล็กน้อย
ความทรงจำทั้งในอดีต อนาคต และทุกสิ่งบนโลกกลับสู่สมองของเขา และหลินเจี๋ยก็เข้าใจถึงตัวตนและความหมายของเขาต่อโลกใบนี้อย่างถ่องแท้
แต่ถึงกระนั้น ประสบการณ์การเป็นมนุษย์ยี่สิบกว่าปีนั้นก็มีค่าอย่างยิ่งสำหรับเขา และหลินเจี๋ยก็โกรธเล็กน้อยเมื่อเห็นกองธุลีบนพื้น…
ความรู้สึกของเขาต่อร่างนั้นซับซ้อนมาก
หลังจากคุ้นชินกับร่างมังกร หลินเจี๋ยก็เงยหน้าขึ้นจ้องเจ้าสองคนที่ทะเลาะกันอยู่อย่างใกล้ชิด
เมื่อถูกนักล่าซึ่งอยู่บนสุดแห่งห่วงโซ่อาหารจ้อง แซดคิเอล นักเวทมนตร์ดำที่เก่งกาจที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ในสันดาน ด้วยสัญชาตญาณเดรัจฉานและความขลาดเขลาของมนุษย์ เขาก็รีบปลดอาวุธตนเองยอมแพ้ทันที เขตแดนแห่งความว่างเปล่าสลายสิ้นในพริบตา
แซดคิเอลไม่ได้ปลดเขตแดนแห่งความว่างเปล่าเพราะความกลัว แต่จากบางมุมมองเขาทำให้หลินเจี๋ย ‘บาดเจ็บสาหัส’
รอยร้าวค่อย ๆ แผ่ลามไปทั่วเขตแดน ก่อนจะพังทลายราวกับกระจกแตก
ร่างมังกรบรรพกาลของหลินเจี๋ยทอแสงใต้แสงตะวันในโลกแห่งความเป็นจริง และร่างมหึมาของเขาก็ทำให้ทั้งซอย 23 พังยับในพริบตา
เกิดแผ่นดินถล่ม พื้นพสุธาแตกร้าวในชั่วขณะเดียว
เพราะถึงอย่างไร เขาก็เพิ่งได้เป็นมังกรครั้งแรก ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงกะขนาดร่างกายของเขาพลาดไปหน่อย…
ฝูงชนกรีดร้อง บริเวณอันสงบเงียบถลำสู่ความวุ่นวายในพริบตา
เพราะแค่ได้มองสิ่งมีชีวิตในตำนานซึ่งมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยุคแรกตรง ๆ ก็เพียงพอจะทำให้คนธรรมดาเกือบบ้าได้แล้ว
นัยน์ตามังกรสีทองซึ่งมีม่านตาเรียวแหลมของหลินเจี๋ยหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้คนหนีกระเจิดกระเจิงไปทุกทิศ เขาก็อยากจะนำร่างของตนหนีไปซ่อนไกล ๆ โดยไม่รู้ตัว แต่มังกรบรรพกาลตนนี้มายืนเฉย ๆ ก็เพียงพอจะฆ่ามนุษย์ได้แล้ว
มนุษย์อ่อนแอเกินไป!
หลินเจี๋ยเพิ่งมาตระหนักรู้เอาตอนนี้
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว การคงไว้ซึ่งสติและสามัญสำนึกของมนุษย์ยังคงสำคัญมาก เขาหันไปพูดกับโจเซฟทันที “ปกป้องผู้คนด้วย”
จากนั้น เขาก็มองไปทางเฟจซึ่งปลอมตัวเป็นอานาเอล พลางกล่าวว่า “อย่ายืนเซ่อสิครับ”
เฟจซึ่งถูกเรียกรีบพยักหน้า
หลังจากโจเซฟได้ยินคำพูดของหลินเจี๋ย เขาก็อดแสดงสีหน้าตะลึงไม่ได้ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความปีติ
“ครับ เจ้าของร้านหลิน!” เจ้าของร้านหลินมีใจคุณธรรมจริง ๆ เรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง การเลือกของเขาก็ถูกต้องด้วย เจ้าของร้านหลินจะกลายเป็นนักบุญผู้ปกปักษ์มนุษยชาติที่แท้จริง
โจเซฟกำหมัด แผดเผาตนเองอย่างจริงจัง ลำแสงสว่างไสวปกคลุมทั่วทั้งสนามรบในทันที ผู้คนธรรดาเสียการมองเห็นไปครู่หนึ่งเพราะความว่าง ไม่อาจมองไปยังเทพปีศาจตรง ๆ ได้อีกต่อไป
โจเซฟผลักฟรังก้าเข้าไปในคาเฟ่หนังสือที่ปรับปรุงขึ้นใหม่
จากบางมุมมอง วิถีแห่งดาบอัคคีไม่ใช่ผู้ทำลายร้านหนังสือนี้ แต่เจ้าของร้านหลินคาดไว้แต่แรกแล้วว่าวิถีแห่งดาบอัคคีจะมาโจมตี เขาจึงฉวยโอกาสนี้เก็บร้านหนังสือไป
เจ้าของร้านหลินบอกว่าเขาจะไปยังที่ ๆ เขาสมควรไป โจเซฟมีความเข้าใจแจ่มแจ้งว่า แม้ตนจะไม่รู้ว่าที่นั่นคือที่ไหน แต่ร้านหนังสือนี่ในอนาคตอาจจะไม่หลงเหลือแล้ว
หลังจากหาที่ปลอดภัยให้ฟรังก้า โจเซฟก็พุ่งเข้าไปในฝูงชน และเห็นร่างบุคคลที่คุ้นตาในทันที
—
หลังจากหลินเจี๋ยเห็นว่าคนธรรมดาจะไม่ถูกลูกหลงจากหายนะชั่วคราว คู่เนตรมังกรก็จับจ้องคนทั้งสองอีกครั้ง
อันที่จริงคือ เหลือคนเดียวแล้ว…!
ในฐานะนักเวทมนตร์ดำ แซดคิเอลเองก็มีสายเลือดมนุษย์ เขารับรู้สถานการณ์ปัจจุบันดีกว่าใคร เขาอยากจะทำความฝันการเป็นเทพให้สำเร็จกับมิคาเอลจากใจจริง แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องมีชีวิตรอดไปให้ทำเช่นนั้นด้วย เหมือนที่เขาอยู่มานับพัน ๆ ปีเพื่อจุดหมายนี้
มิคาเอลไม่ทันสังเกตเลยว่าแซดคิเอลหนีไปแล้ว
แต่สำหรับหลินเจี๋ย ไม่ว่าแซดคิเอลจะหนีไปไกลแค่ไหน เขาก็อยู่แสนใกล้
หลินเจี๋ยยกกรงเล็บมังกรของเขาขึ้น ดวงเพลิงสีน้ำเงินแผดเผาในกำมือ ใจกลางดวงเพลิงปรากฏภาพของแซดคิเอลซึ่งกำลังหนี
หลินเจี๋ยกำกรงเล็บมังกรของเขา ดวงเพลิงสีน้ำเงินสลายไปในพริบตา ร่างที่กำลังเผ่นหนีของแซดคิเอลชะงักค้าง หัวใจเต้นอย่างรุนแรง ราวกับกาลเวลาของเขากำลังเร่งตัวอยู่
ตู้ม!
จู่ ๆ แซดคิเอลในชุดรุ่งริ่งก็ตายลง ร่วงลงสู่พื้น ร่างแข็งทื่อประหนึ่งผีดิบ
มิคาเอลมองหลินเจี๋ยซึ่งเพิ่งกำจัดแซดคิเอลไปอย่างอึ้ง ๆ…ดูเหมือนว่าครั้งนี้การหลบให้พ้นเงื้อมมือหลินเจี๋ยจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน
มิคาเอลหลับตาลง เนตรหยั่งรู้และเนตรมรณะพริบตาหลับลง เขาจะควบคุมทุกสิ่งผ่านแสงสว่าง ในฐานะกลุ่มแสง ถึงเวลาที่จะมอบพลังให้กับเขา และเขาจะปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่สะสมไว้ออกมาในหนนี้
“กระทั่งอาซีร์ก็ไม่อาจแยกจากแสงตะวัน เจ้าอยากมาที่อาซีร์มิใช่หรือ? งั้นข้าจะทำลายอาซีร์ซะ ผู้ใดก็จะมิอาจรับมันไปได้” มิคาเอลกล่าวอย่างเกือบบ้าคลั่ง
—
โจเซฟและเฟจทะยานสู่กลุ่มคน เปิดโล่ป้องกันและอพยพพวกเขา ร่างอันคุ้นตาผู้หนึ่งลอยผ่านสายตาของโจเซฟ และเขาก็อยากหลบโดยไม่ตั้งใจ
…แคลร์?
มองปราดแรก โจเซฟก็หาสหายเก่าคนนี้เจอได้ทันที แต่ครั้งนี้เขาอยู่ในชุดคนธรรมดา และหนวดเคราก็ไม่ได้ตัดมาหลายเดือน ดังนั้นอีกฝ่ายไม่น่าจำเขาได้
โจเซฟพุ่งเข้าไปในตรอกในซอย 23 ซึ่งตนรู้จักดีพร้อมกับเด็กชายกำพร้าน่าสงสารคนหนึ่งในอ้อมแขน
“รู้ด รีบไปซะ พาย่านายไปด้วย” โจเซฟบอกเด็กชายที่ตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัดด้วยน้ำเสียงเมตตา เขาพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หลั่งน้ำตา
“โจเซฟ?”
เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นจากเบื้องหลังเขา
โจเซฟขมวดคิ้วและหันกลับไป… ปรากฏว่าแคลร์ยังจำเขาได้
หนึ่งในอัศวินแห่งแสงประจำหอพิธีกรรมต้องห้าม บุคคลที่ให้ความรู้สึกถึงตัวตนเบาบางที่สุดในหอ ทรงพลังและเที่ยงธรรม
“คนจากหอพิธีกรรมต้องห้ามมาอยู่นี่จริง ๆ ด้วย”
โจเซฟแค่นยิ้ม ถึงอย่างไร หอพิธีกรรมต้องห้ามก็คือองค์กรที่ปกป้องผู้ยากไร้ส่วนใหญ่ อัศวินที่ว่านั่น ไม่ว่าบุคคลระดับสูงจะเน่าเฟะเพียงไร แต่อัศวินอย่างแคลร์ เกร็กและวินสตันก็ยังต่อสู้เพื่อปกป้อง
ช่างน่าขันหากจะบอกว่าเราก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น
“เป็นคุณจริง ๆ ด้วย!! คุณยังไม่ตาย!” แคลร์เดินเข้ามาคว้าบ่าโจเซฟอย่างตื่นเต้น กระทั่งดวงตาของเธอยังแดงเล็กน้อย
เมื่อมาเจอสหายเก่าที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา โจเซฟก็ไม่แสดงสีหน้าเย็นชาออกมาอีก เขาถอนหายใจ “แคลร์ ผมมีเหตุผลที่ทำให้ต้องแกล้งตาย เห็นแก่มิตรภาพหลายปีของเรา คุณอย่ารายงานเรื่องของผมต่อหอพิธีกรรม หรือ…กระทั่งเมลิสซ่าเลยนะ”
หลังจากแคลร์ได้ยินชื่อเมลิสซ่า สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เมลิสซ่า…เธอ…”
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?!” โจเซฟกระวนกระวาย คว้าชุดเกราะของแคลร์อย่างลืมตัว
“เธอถูกส่งไปศาลอาญากลางหลังจากเข้าโจมตีผู้อาวุโสคนหนึ่งของหอพิธีกรรมต้องห้าม ราชาอัศวินวาลเลซ” แคลร์ขมวดคิ้วพูด “เธอบอกว่า นี่คือการแก้แค้นให้คุณ!”
“อะไรนะ?!” โจเซฟตะลึงงันราวถูกพายุสายฟ้าซัดสาดใส่หัว
แม้เขาจะส่งคำใบ้บอกเมลิสซ่าว่ามีคนชั่วแฝงอยู่ในหอพิธีกรรมต้องห้ามด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่เขาก็ไม่คาดว่าเธอจะสุดโต่งและลงมือตรง ๆ แบบนี้!
โจเซฟพบว่าช่างยากที่จะหายใจ