บทที่ 43 : ปิดทองหลังพระ
“ดีแล้วละครับที่รู้แล้วว่าต้องทำอะไรต่อ ด้วยสติปัญญาของคุณ ผมเชื่อว่าเฒ่าไวลด์ต้องจัดการเรื่องนี้ได้ดีแน่นอนครับ”
หลินเจี๋ยเอ่ยต่อพลางถอนหายใจ “ผมรู้ดีว่ามันอาจจะเจ็บปวดไปสักหน่อย เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกชายคุณ แต่คุณอาจจะเสียใจมากกว่านี้ถ้าคุณไม่ทำมัน”
การเผชิญหน้ากับความจริงนั้นแสนเจ็บปวด แต่ยิ่งพวกโลภมากโหยหาแต่เงินแบบนี้ถูกเปิดโปงเร็วเท่าไร เฒ่าไวลด์และสังคมนี้ก็จะงดงามเร็วขึ้นเท่านั้น
หลินเจี๋ยมองว่าตนเป็นแค่วิญญาณซึ่งมีเมตตา จัดการปิดทองหลังพระไปแล้วเรียบร้อย
ไวลด์น่ะอาวุโสแถมยังไม่ได้รับความรัก ดังนั้นการถูกล่อลวงถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ในฐานะเพื่อนแล้ว หลินเจี๋ยรู้สึกว่าเขาควรจะตักเตือนและย้ำไวลด์ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่
เขาว่ากันว่ากัลยาณมิตรมีสามรูปแบบ เถรตรง จริงใจ และรอบรู้[1]
แม้หลินเจี๋ยจะรู้สึกว่าตนเป็นมันทั้งสามอย่างไม่ได้ เขากลับรู้สึกว่าตัวเองสามารถชี้ทางที่ถูกต้องได้เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้
“ตอนนี้ทางที่คุณเลือกไปไม่ใช่แค่ทำให้คุณตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างเดียวนะครับ มันถือว่าเป็นการไม่เคารพต่อชาร์ลส์ในความทรงจำของคุณด้วย ถ้าเลือกทางนี้ความผิดพลาดจะทับถมกันไปเรื่อย ๆ คุณอยากจะทำลายเขาจนถึงที่สุดจริงเหรอครับ แทนที่จะมานั่งเสียใจว่าสายเกินไป ทำไมไม่ปล่อยวางเป็นความทรงจำที่ดีแทนล่ะครับ?”
‘ใช่ ชาร์ลส์ที่กลับมา…เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น ชาร์ลส์ตัวจริงน่ะตายไปนานแล้ว’
ทำไมไวลด์ถึงยอมให้ตัวเองโดนหลอกลวง แล้วโอ๋ศพที่มาหาเขาว่าเป็นชาร์ลส์กัน!
นั่นถือเป็นการดูหมิ่นความทรงจำของลูกศิษย์เขาเชียวนะ!
ในตอนนั้นเองที่ไวลด์รู้สึกอับอาย ทว่าสายตาของเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อถึงคราวรู้แจ้ง
ผ่านไปสักพัก เขาก็พูดออกมา “เธอพูดถูก ฉันตกลงไปในโคลนตมน่ะ จะจัดการเรื่องนี้ให้ไวที่สุด”
เจ้าพวกคนที่มาล้อเล่นกับความรู้สึกของเขาโดยใช้ชาร์ลส์ คือพวกคนที่เขาต้อง ‘จัดการ’ เสีย
ไวลด์ไม่ใช่พวกหมางเมินต่อความจริง เขาแค่ยึดติดกับความทรงจำของลูกศิษย์ ปล่อยตัวปล่อยใจให้ถูกหลอกเพื่อหล่อเลี้ยงความทรงจำกับลูกศิษย์คนนั้น…
เมื่อละครฉากนี้จบลง สิ่งที่ควรสิ้นชีพก็ยังคงสิ้นชีพอยู่เช่นเดิม
ทว่าการกระทำของเขานำพาความเสี่ยงมาให้มากกว่าเดิม ชายแก่จมดิ่งลงไปในความสับสนเสียจนมิรู้จริงเท็จเสียแล้ว
หากเขาไม่ได้มาเยือนร้านหนังสือในสภาพจิตใจแบบนี้ ไวลด์อาจจะถ่ายทอดความรู้การร่ายคาถาให้กับ ‘ชาร์ลส์’ ต่อเพราะความรู้สึกผิด และเมื่อถึงเวลาที่พวกชักใยจากมุมมืดได้รีดเลือดเขาจนหมดไส้หมดพุง มันก็เป็นเรื่องแน่อยู่แล้วว่าพวกมันต้องการอะไร
มันคือการเตรียมการลอบสังหาร แถมเกือบจะสำเร็จแล้วด้วยซ้ำ
โชคดีนักที่คำพูดของคุณหลินเป็นดั่งเหล็กแหลมเสียบแทงกาย ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันควัน
หลินเจี๋ยพยักหน้าพร้อมตักเตือน “คุณต้องแน่วแน่เข้าไว้และอย่าทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ นะครับ คนแบบนี้น่ะต้องทำตัวใจหินสักหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้กลับมาหลอกหลอนคุณไม่เลิกพอดี”
สังคมยุคนี้ เด็กแบบนี้ชอบทำตัวเป็นอันธพาลเหลวแหลกกันหมด ถ้าไม่ยืนหยัดในจุดยืนของตัวเองให้ดี อันธพาลพวกนั้นก็ไม่เลิกรากันง่าย ๆ หรอก
ไวลด์ได้แต่ยิ้มอ่อนแรง “ไม่ต้องห่วงไป ฉันไม่ให้โอกาสเขาเป็นครั้งที่สองแน่”
กำจัดให้สิ้นซากยันต้นตอ นี่เป็นวิธีการที่ไวลด์ชำนาญที่สุดแล้ว
ตอนนี้พวกเบื้องหลังคงกำลังหัวร่องอหายกันอยู่ ถือเป็นเวลาดีในการจู่โจมโดยไม่ให้พวกมันได้ตั้งตัว
บังเอิญว่าไวลด์ได้รับความรู้เรื่องซากศพและความตายจากการอ่านงานของคุณหลินพอดี ระดับทักษะในการร่ายมนตร์ของเขาถือว่าพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และเขาต้องการจะทดลองมันสักครั้งเสียด้วย
หลินเจี๋ยจิบชาเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างใจกว้าง “นี่สิครับเฒ่าไวลด์ที่ผมรู้จัก! สภาพไร้ชีวิตชีวาเมื่อกี้เหมือนคุณเมื่อสองปีก่อนไม่มีผิด เอาตรง ๆ ทำผมแอบใจเสียนิดหน่อยเลยละครับ ผมยังหวังว่าคุณจะอ่านหนังสือให้ได้เยอะ ๆ แล้วก้าวออกมาจากเงาอดีตนั้นให้ได้นะ”
คนที่ถูกลูกทอดทิ้งอย่างเฒ่าไวลด์อาจมองโลกใบนี้ด้วยความไร้ชีวิตชีวาจนแอบโหยหาการเยียวยาด้านความรู้สึกอยู่ ทว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่อาจทำให้เขาพอใจได้หรอก
ดังนั้น หลินเจี๋ยจึงใส่คำพูดชวนฮึดสู้แบบอ้อมค้อมเพื่อที่เขาจะได้จัดการปัญหานี้อย่างกระตือรือร้น ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องดี
‘ใจเสีย’ เหรอ? นั่นไม่ดีแน่!’
ไวลด์หน้าตึงไป คุณหลินมอบหนังสือนิกายกลืนศพ พิธีกรรมและขนมธรรมเนียมมาโดยหวังว่าเขาจะเผยแผ่มัน หลังจากนั้นก็…มอบความรุ่งโรจน์ต่อแรงศรัทธานี้กลับมาหรือบางทีอาจเป็นนิกายใหม่เลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม การได้รับหนังสือเล่มนี้มาค้นคว้านั้น เท่ากับว่าได้รับการไว้วางใจมากพอจะมอบภารกิจลับให้
ทว่าไม่ใช่แค่ไวลด์ล้มเหลวในการคืบหน้าเท่านั้น เขากลับเอาตัวเองไปพัวพันกับปัญหาเสียอีก นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด
และตอนนี้ คำพูดเหล่านั้นเป็นดั่งค้อนทุบหัวที่คอยย้ำเตือน ‘ไปเตรียมหลักคำสอนไป๊! หยุดอู้สักที! ตอนนี้แกควรทำงานให้ฉันต่างหาก!’
“ฉันเห็นความคาดหวังและความช่วยเหลือที่เธอมอบให้ผ่านหนังสือของเธอแล้วละ ยกโทษให้ฉันด้วย ถ้าปัญหานี้คลี่คลายลงเมื่อไร ฉันจะไม่ทำให้เธอผิดหวังอีก”
หลินเจี๋ยโบกมือปัด ๆ พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ไม่เห็นต้องจริงจังไปเลยครับ แค่มาหากันอีกแล้วบอกต่อสถานที่นี้ให้ก็พอ นี่เป็นเรื่องเดียวที่ผมหวัง”
แน่นอนว่าเจ้าของร้านหนังสือผู้เห็นแก่ส่วนรวมและโอบอ้อมอารีหวังว่าตนจะได้เผยแพร่คำสอนเหล่านี้
“เข้าใจแล้ว อีกสักพักจะมีการรวมตัว เมื่อถึงเวลานั้น ฉันจะส่งเสียงของเธอไปถึงพวกเขาแน่นอน”
“โอ๊ะ? ถ้างั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอเลยละครับ”
ไวลด์นั่งคุยกับหลินเจี๋ยอีกสักพักจนชาหมด ก่อนจะร่ำลาด้วยจิตใจที่มีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิม
ชาร์ลส์เปิดประตูและส่งยิ้มอบอุ่นให้ชายแก่ด้านนอก “อ๊ะ อาจารย์! กลับมาแล้วสินะครับ”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มหล่อเหลาเปี่ยมไปด้วยความเคารพยามมองไปยังอาจารย์ของตน
ปกติแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมายังรอยแยกระหว่างแดนนิมิตโดยไม่เป็นอะไร การเสียขาไปเป็นดั่งร่องรอยความทรมานที่ชาร์ลส์ได้ผ่านมันมา
ไวลด์มองศิษย์ของเขาเดินด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้ว เขาก็ใจเย็นลงจนได้ “ชาร์ลส์ ไปหยิบมีดพิธีกรรมมาให้ฉันที เธอรู้อยู่ว่ามันเก็บไว้ที่ไหน”
คนที่สามารถทำพิธีฟื้นคืนชีพแสนไร้ที่ติแบบนี้ได้อาจเป็นคนระดับเดียวกับเขา
นั่นหมายความว่ามีนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติอยู่เบื้องหลังการฟื้นคืนชีพของชาร์ลส์
ชาร์ลส์รับคำเป็นเชิงรับทราบและจัดการเก็บร่มให้ “จะลองทดสอบการร่ายมนตร์เหรอครับ”
ไวลด์ตอบกลับอย่างใจเย็น “อืม มีเวทร่ายสำคัญที่อยากจะทดสอบดูหน่อยน่ะ แถมยังมีการเตรียมตัวที่ต้องทำด้วย รีบไปหยิบมาหน่อย เดี๋ยวฉันต้องยืมแรงเธออีก”
“ผมจะทำให้ดีที่สุดเลยครับ” ชาร์ลส์ผงกหัวรับก่อนเดินออกไปหยิบมีดพิธีกรรมของอาจารย์
เขารู้ดีว่าสื่อมนตราที่อาจารย์ใช้บ่อยที่สุดคือมีดพิธีกรรมหินออบซิเดียน ดังนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก
เมื่อกลับมาจากห้องเก็บสื่อมนตรา ชาร์ลส์ก็ลอบคิดว่าตนต้องใช้เวลาอีกเท่าไรกว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจะสำเร็จลุล่วงสักที…
เขายื่นมีดเล่มนั้นให้ไวลด์และมองอีกฝ่ายยิ้มตอบกลับอย่างอ่อนโยน ก่อนเจ้าตัวจะยื่นมือมา
ฉัวะ!
มีดออบซิเดียนสีดำสนิทแทงทะลุตัวชาร์ลส์อย่างง่ายดาย
ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างด้วยความตกใจ และภาพสุดท้ายที่เขาเห็นยามล้มลงไป คืออีเธอร์สีดำสนิทแผ่ขยายบนพื้นราวกับพรมแห่งหนามซึ่งบดบังทัศนียภาพของเขา
“หลับให้สบายนะเจ้าเด็กน้อยของฉัน ความตายนั้นมีความเงียบสงบของมันอยู่”
ไวลด์มองผ้าห่มหนามคลุมไปทั่วศพ และด้ายสีแดงเลือดราวกับสายหุ่นเชิดถูกกรีดกรายออกมาจากศพนั้น “โลงศพบรรทมนิรันดร์กาล…เป็นแกนี่เอง ไอ้เจ้ามอร์เฟย์!”
ด้วยมีดพิธีกรรมในมือ ไวลด์จัดการเฉือนสายเชิดอีเธอร์ทุกสายที่เชื่อมอยู่ระหว่างผู้ใช้และเป้าหมาย
วิหารหลัก ‘ลัทธิสีชาด’ ห้องสวดมนต์ลับ
‘สาธุคุณ’ มอร์เฟย์นั่งอยู่หน้าแท่นบูชาอันมืดมน ใบหน้าของเธอถูกส่องด้วยแสงเทียน
เทียนถูกจุดเป็นวงกลมล้อมรอบแท่นบูชานี้ และตรงกลางคือรอยหลุมซึ่งถูกเติมเต็มด้วยหยาดเลือด
โลหิตแทรกซึมออกมาจากหลุมหลายด้าน ก่อตัวเป็นเสาใหญ่ที่หยดลงมาและแห้งเหือดลงยามถึงพื้น และรวมกันเป็นวงเวทคำสาปอันซับซ้อน
ทันใดนั้นเอง เทียนทุกเล่มพลันดับพรึบ และเสาโลหิตกลับเหือดแห้ง
มอร์เฟย์เบิกตากว้าง เธอผงะตามสัญชาตญาณด้วยความช็อก “ไวลด์ เขาทำได้ยังไงกัน!?”
ผลสะท้อนกลับของคำสาปบังเกิดขึ้นก่อนเธอจะอุทานจบ
แกรก…
แท่นบูชาแตกออกเป็นสองซีก ก่อนจะกลายเป็นเศษซากและผงธุลีเมื่อมันทรุดตัวลง พลังอีเธอร์มากมายมหาศาลไม่เสถียรก่อนจะแผ่พุ่งออกมาราวกับเกลียวคลื่น
มอร์เฟย์กระเด็นออกไปราวกับถูกคนนับพันโจมตี และกระแทกเข้ากับกำแพงเสียงดังก้อง
ห้องสวดมนต์ลับทั้งห้องถล่มครืน
นักเวทมนตร์ดำของลัทธิสีชาดเร่งรุดเข้าไป ก่อนพบกับซากอารามและหลุมบ่อขนาดยักษ์พร้อมรอยแตกคล้ายใยแมงมุมรอบด้าน ซึ่งเป็นผลมาจากคลื่นทะลักของพลังอีเธอร์นั่นเอง
เช่นเดียวกับมอร์เฟย์ที่ไอค่อกแค่กพลางกระเสือกกระสนออกมาจากใต้ซากอารามนั้น
[1] ตามความเชื่อของลัทธิขงจื๊อ กัลยาณมิตรประกอบด้วย ความเถรตรง จริงใจ และรอบรู้