บทที่ 445 : ความมืดอันลึกล้ำที่สุดในดินแดนแห่งความมืด
บทที่ 445 : ความมืดอันลึกล้ำที่สุดในดินแดนแห่งความมืด
เมื่อเห็นพระคัมภีร์ในมือของเขามอดไหม้กะทันหัน ชายชุดดำยังคงไม่เต็มใจปล่อยมันทิ้ง เขายังคงถือหนังสือ ‘นิมิตโกลาหล’ ไว้แน่นจนกระทั่งเพลิงสีเงินขาวแผดเผาร่างของเขาไปพร้อมหนังสือ
พวกของเขารีบเข้าไปช่วยดับเพลิง เปลวเพลิงพริ้วไหวดูราวกับเส้นหนวดที่คืบคลานเข้ามาดั่งหนามแห่งความโลภและความผิดบาป ซึ่งลามเลียไปยังคอของคนเหล่านี้
หลินเจี๋ยห่อร่างของตนและเปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่ม ซึ่งเขาใช้ดำรงชีวิตมาหลายต่อหลายปี
เขามองลงมายังร่างของตน ทุกเส้นผมเหมือนเดิมทุกกระเบียด กระทั่งเส้นด้ายที่ทอเป็นกางเกงราคาถูกของเขาก็ยังคงมองเห็นได้ชัดเจน
อารมณ์ของหลินเจี๋ยผ่อนคลายลงมาก เขายกมือขึ้นมองฝ่ามือ เส้นลายมืออันคุ้นตาดูจะบ่งชี้ชะตาของเขามานานแล้ว
ความทรงจำผุดพรายราวกระแสน้ำหลังจากรวมร่างกับเจ้าดำ และอุปนิสัยของหลินเจี๋ยก็ยังทำให้เขารับชะตากรรมของตนได้อย่างง่ายดายด้วย!
ไม่ว่าจะเป็นการตายของบุพการี การย้ายโลก หรือเมื่อรู้ว่าตนเองคือเทพปีศาจ หลินเจี๋ยล้วนมีความสามารถยอมรับมันได้ง่ายกว่าคนทั่วไปมาก…
หลังจากคืนร่างมนุษย์ ในที่สุดหลินเจี๋ยก็มองไปที่กลุ่มบุคคลผู้ถือหนังสือ ‘เรื่องเล่าและตำนาน’ ที่เขาเขียน
แต่พูดให้ถูกก็คือ ชื่อหนังสือเล่มนี้ควรจะเป็น ‘นิมิตโกลาหล’ ต่างหาก
คนคลั่งศาสนาที่ไม่ยอมปล่อยหนังสือจนวินาทีสุดท้าย ในที่สุดก็ถูกแผดเผาสลายเป็นเถ้า
หลินเจี๋ยเดินไปยังกองขี้เถ้าอย่างเงียบ ๆ โดยที่เหล่าเอลฟ์ดำซึ่งรายล้อมอยู่ต่างแหวกทางให้เขาอย่างหวาดกลัว สำหรับพวกเขา การหนีเป็นไปไม่ได้ ไม่มีที่ใดในโลกจะให้ที่อยู่กับพวกเขานอกจากดินแดนแห่งความมืดนี้
และพวกเขาก็เห็นหลินเจี๋ยแปลงร่างจากมังกรสีเงินเป็นมนุษย์ รวมถึงสังหารศัตรูที่คิดล้างเผ่าพันธุ์พวกเขาเช่นกัน
อีเธอร์อันทะลักล้นบนตัวหลินเจี๋ยล้นเหลือเกินจินตนาการ
หากต้องระบุจำนวน ขั้นต่ำคงมากพอ ๆ กับไวลด์หนึ่งร้อยคนล่ะมั้ง?
เหล่าเอลฟ์ดำแหวกทางกว้างให้หลินเจี๋ยเดินตรงกลาง เมื่อเขาก้าวผ่าน เอลฟ์ดำต่างคุกเข่าลงกับพื้นตนแล้วตนเล่า หลินเจี๋ยเหลือบมองพวกเขาโดยไม่หยุดเดิน
หลินเจี๋ยเดินมายังกองเถ้าถ่าน มองหนังสืออันมอดไหม้แล้วทอดถอนใจครุ่นคิด…
ถึงแม้ว่า ‘เรื่องเล่าและตำนาน’ จะถูกพวกเขามองเป็น ‘นิมิตโกลาหล’ เนื้อหาก็เต็มไปด้วยความฝันอันชั่วร้ายที่เราเคยฝันในอดีต กล่าวได้กระทั่งว่าเป็นเทพนิยาย แต่พวกเขาดันเอาไปจินตนาการว่าเทพเจ้าผู้หลับไหลจะตื่นขึ้นมาทำลายทุกอย่างไปเสียอย่างนั้น
มอง ๆ ไป หนังสือก็นับเป็นมาตรฐานตัดสินเหมือนกัน มันบิดเบือนและขยายความโลภของพวกเขา
เมืองเขตล่างเองก็คงต้องทำความสะอาดและปฏิวัติเหมือนกัน… หลินเจี๋ยถอนหายใจ
จากนั้น เขาก็เมินซากศพของทั้งเอลฟ์ดำและคนชุดดำ เดินไปยังร้านเหล้าที่ระเบิดพังจากการต่อสู้
ไวลด์ค่อย ๆ คืนสติเนื่องจากชายชุดดำเลิกอ่านพระคัมภีร์ และค่อย ๆ เปลี่ยนร่างจากเทพชั่วร้ายไปเป็นชาร์ล็อตต์ ทรุดตัวลงที่กลางร้านเหล้า หอบหายใจพลางฟื้นกำลัง
จนกระทั่งร่างอันคุ้นตาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
เขาเบิกตากว้าง อ้าปากเรียกอย่างกระอักกระอ่วน “เจ้าของร้านหลิน…”
หลินเจี๋ยพยักหน้า
“ขอโทษครับเจ้าของร้านหลิน ทำให้คุณ…”
ไวลด์พยายามลุกขึ้น แต่พยายามเท่าไรก็ไม่ได้เสียที และจู่ ๆ ก็สัมผัสอำนาจอันทรงพลังไหลเข้ามาจากท้ายทอย
เขาสัมผัสได้ว่าตนมีพลังมหาศาลทะลักล้นในตัวทันที
ร่างของเขายืนขึ้น เงยหน้ามองหลินเจี๋ยในพริบตา
เจ้าของร้านหลินต้องมาในที่แบบดินแดนแห่งความมืดด้วยตนเองเลยเหรอ?…
ไวลด์เริ่มคาดเดาในใจ ดูเหมือนเจ้าของร้านหลินจะกำลังอารมณ์ไม่ดี บรรยากาศรอบตัวเขาจึงต่างจากแต่ก่อน…
หากต้องให้บรรยาย ไวลด์คงใช้ความรู้สึกประมาณว่า ‘ผมดูละครอยู่นาน เบื่อเกมสวมบทบาทนี่เต็มที ได้เวลาลงมือแล้ว’
ดวงตาของไวลด์ทอดมองไปที่เหล่าคนชุดดำจากเมืองเขตล่าง… เฮอะ เป็นแค่พวกหลงไปเจอเจ้าของร้านหลินโดยไม่ดูตาม้าตาเรือหรอกเหรอ?
ไวลด์มีการคาดเดาอีกเจ็ดหรือแปดอย่างในใจ และจากนั้นก็เลือกเอาอันที่สมเหตุสมผลที่สุด ก่อนจะยืนหลบไปด้านข้างอย่างนอบน้อม
ขณะนี้ หลินเจี๋ยรู้หมดแล้วว่าไวลด์คิดอะไรอยู่ และพยายามรั้งตัวเองไม่ให้มุมปากกระตุก
มิน่าล่ะ พวกคุณถึงทำเรื่องอะไรได้ตั้งเยอะแยะในขณะที่ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้วยังมาบอกว่าเป็นผมที่แนะนำ…พลังมโนแต่ละคนนี่สุดจัดของแท้
“คุณปกป้องเชอร์รี่ได้ดีครับ” หลินเจี๋ยกล่าวอย่างใจดี
ไวลด์ซึ่งรู้ว่าเจ้าของร้านหลินไม่เล่นละครเป็นเจ้าของร้านหนังสืออีกต่อไปกล่าวอย่างจริงจัง “ผมจะทำตามเจตนารมณ์ของคุณเสมอครับ”
“อีกอย่าง ผมปลื้มใจมากครับที่คุณเลือกผมในสงครามนั้น” ไวลด์พูดอย่างตื่นเต้น
หลินเจี๋ยโบกมือไปมา กล่าวว่า “ผมจะไม่รับผลงานนี้นะ คุณรอดมาได้เพราะเจตจำนงค์อาจารย์ของคุณ แต่ว่า…คุณคงไม่สามารถเจอเขาในตอนนี้แล้วล่ะ”
ไวลด์อึ้งไปครู่หนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ ไม่อาจจินตนาการถึงการตายของร่างอันทรงพลังนั้นได้
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเศร้าโศก มองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิดตลอดกาลของดินแดนแห่งความมืด ดวงดาวเบื้องบนหม่นแสง และดวงดาวแทนตัวอาจารย์ของเขาก็หายไปแล้ว
เขากำหมัดอย่างไม่อยากเชื่อ และสัมผัสได้ถึงของแข็งที่นิ้วโป้ง แหวนที่อาจารย์เขามอบให้บรรจุพลังทั้งหมดอันเป็นมรดกจากราชันย์ยักษ์
นี่คือมรดกชิ้นสุดท้ายที่อาจารย์มอบให้เขา
ขณะนั้น ไวลด์ดูจะตาสว่าง เขามองแผ่นหลังที่ยังคงธรรมดาของหลินเจี๋ย และเข้าใจการคงอยู่ของเขาทันที จากนั้นเขาก็ประสบเรื่องที่ทำให้ต้องตกใจมากขึ้นอีก
หลินเจี๋ยเดินผ่านเบลล่า แสงสีเขียวปรากฏขึ้นในมือเขา ซึ่งรักษาบาดแผลที่หลังของเธอ
ร่างของเธอเย็นเฉียบ ทว่านิ้วของสาวใช้ผู้ภักดีกระดิก
หลินเจี๋ยก้าวไปข้างหน้า และเห็นเชอร์รี่ขดตัวอยู่ที่มุมร้าน
เธอขดตัวเป็นลูกบอลเล็ก ๆ เหมือนเม่นตัวน้อยหรือกระรอก หลินเจี๋ยย่อตัวนั่งด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นเคาะหัวของเธอเหมือนเคาะประตู และปลด ‘คาถาดลใจ’ ซึ่งเธอใช้กับตนเองอย่างอ่อนโยน
เชอร์รี่ลืมตาอันรื้นน้ำของเธอช้า ๆ และหลังจากเห็นหน้าหลินเจี๋ยชัด ๆ เธอก็โถมตัวเองสู่อ้อมแขนหลินเจี๋ยดั่งกระรอกบิน
“เจ้าของร้านหลิน! แง! คุณมาช้าจัง!”
เธอกอดหลินเจี๋ยแน่นและเริ่มร้องไห้จ้า หลินเจี๋ยตบหลังปลอบเธอและกล่าวว่า “ถ้าคุณรู้ว่าผมจะมา คุณจะยังกลัวขนาดนี้ไหมครับเนี่ย?”
เชอร์รี่เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าท่าทางเฉยเมยของหลินเจี๋ย รู้ทันทีว่าตนเองก้าวล้ำเส้น เธอถอยจากอ้อมแขนของเขาอย่างลนลานและกล่าวปนสะอื้น “เบล…เบลล่า เธอ…”
หลินเจี๋ยเชิดคางขึ้นบุ้ยใบ้ไปข้างนอก ร่างของเบลล่าลุกขึ้นจากพื้นอย่างงุนงง
“เบลล่า!” เชอร์รี่พุ่งไปหาเบลล่าอีกครั้งราวลูกข่างหมุนติ้วชิ้นจ้อย
หลินเจี๋ยลุกขึ้นและเห็นแววตาที่ดูตื่นกลัวของเฒ่าไวลด์ และรู้ทันทีว่าเขาได้รับสืบทอดความทรงจำจากราชันย์ยักษ์
ราชายักษ์ก็เหมือนซิลเวอร์ เขารู้ถึงตัวตนของหลินเจี๋ย และมอบมรดกทั้งหมดให้ศิษย์รวมถึงความทรงจำ หลักการและจุดยืนของตนเอง
บางทีนี่อาจเป็นบทเรียนสุดท้ายที่เขาสอนศิษย์
โลกนี้ ไม่มีอาจารย์คนใดแสนประเสริฐไปกว่าเขาแล้ว
หลินเจี๋ยแย้มยิ้มอ่อนโยนให้ไวลด์ซึ่งก้มหัวลงอย่างนอบน้อมทันที เขาละอายต่อความกลัวที่มีให้หลินเจี๋ยเมื่อครู่
“เจ้าของร้านหลิน…” เชอร์รี่ปาดน้ำตา ฝืนยิ้มและเอ่ยถาม “ทำไมจู่ ๆ คุณถึงมาดินแดนแห่งความมืดล่ะคะ?…มาช่วยฉันจริง ๆ เหรอ?”
ครึ่งต่อครึ่ง ที่จริงแล้วเรามาเพื่อช่วยเหลือตัวเองต่างหาก… แต่คำตอบนี้คงทำให้เชอร์รี่เศร้า และคำตอบที่เธอต้องการก็อาจจะเป็น ‘ใช่’
“คุณจะไปเมืองเขตล่างเหรอครับ?” ไวลด์ก้าวเข้ามาถาม
“มาเตรียมตัวไปเขตล่างน่ะ” หลินเจี๋ยถอนหายใจโล่งอก…เฒ่าไวลด์ยังคงฉลาดล้ำเหมือนเดิม
เหล่าเอลฟ์ดำด้านนอกกระซิบกระซาบ ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่หลินเจี๋ยหันไปพูดกับไวลด์และเชอร์รี่
“ผมกล่าวลาทุกคนไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกคุณ และดินแดนแห่งความมืดก็คือสถานที่สุดท้ายก่อนผมจะไป”
เชอร์รี่เบิกตากว้าง จนปัญญาไม่รู้จะทำอะไร และถามอย่างระมัดระวัง “คุณจะไม่กลับมาเหรอคะ?”
หลินเจี๋ยไม่ตอบ นี่คือหนึ่งในคำถามอันน้อยนิดที่เขาไม่สามารถตอบได้หลังกลายเป็นเทพ
“คุณไม่ไปได้ไหมคะ?” เชอร์รี่ดึงเสื้อหลินเจี๋ยและถาม “คุณจะเป็นใครไม่สำคัญ ฉันรู้แค่ว่าคุณคือแสงสว่างแรกในชีวิตฉันค่ะ”
หลินเจี๋ยลูบหัวน้อย ๆ ของเธอและกล่าวว่า “ผมมีเรื่องที่ต้องทำ หากสำเร็จ สักวันเราจะได้พบกันใหม่ หากคุณเชื่อแบบนั้น ก็ไปเปลี่ยนนอร์ซินซะครับ ให้หอการค้าแอชแทนที่บริษัทโรลล์ ไม่ให้การผูกขาดมีอยู่อีก”
เชอร์รี่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น…
หลินเจี๋ยปล่อยมือจากเธอและเดินออกไปนอกร้านเหล้า เหล่าเอลฟ์ดำได้ประจักษ์พลังของหลินเจี๋ยด้วยตาตนเอง ในทีแรกพวกเขากลัว แต่เขาก็เป็นบุคคลผู้กอบกู้ดินแดนแห่งความมืด
“พวกคุณไม่ต้องคุกเข่าอีกต่อไปแล้วครับ จากนี้ไป พวกคุณไม่ต้องคุกเข่าให้ใครอีกแล้วทั่วนอร์ซิน” หลินเจี๋ยกล่าวเบา ๆ แต่ประโยคนี้ลอยกระทบโสตประสาททุกผู้คนดั่งสายลมโชยเอื่อยผ่านดินแดนแห่งความมืด
ไม่รู้ว่าหลินเจี๋ยดึงเสื้อคลุมออกมาสวมตั้งแต่เมื่อไร และหายไปในความมืดอันลึกล้ำที่สุดในดินแดนแห่งความมืด