บทที่ 45 : คอสเพลย์
หลังจากส่งไวลด์แล้ว หลินเจี๋ยก็ดึงหนังสือการตีความความฝันออกมาจากชั้นและเริ่มเปิดอ่าน
มันเป็นหนึ่งในหนังสืออันโด่งดังของซิกมันด์ ฟรอยด์ และถือเป็นหนังสือจิตวิเคราะห์สุดแหวกแนวอีกด้วย
เพราะว่านี่เป็นงานสุดล้ำในยุคของเขา ทฤษฎีทั้งหลายจึงถูกตีโต้โดยนักวิทยาศาสตร์หลายคนและก่อให้เกิดข้อพิพาทครั้งใหญ่
ตอนนี้เขากำลังอ่านเล่มนี้เพื่อรับรู้ความคิดและที่มาของเหตุและผลอยู่
ทฤษฎีหนังสือเล่มนี้ได้บ่งชี้ว่าความฝัน คือความต้องการของจิตใต้สำนึกและการกระตุ้นจากความทรงจำในวัยเยาว์
ความฝันเองก็ถือเป็นความเที่ยงธรรมระหว่างมนุษย์และจิตใจ อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้จากตัวเองอีกด้วย
หลินเจี๋ยเคยอ่านเล่มนี้มาก่อนแล้ว แต่ตอนนี้เขาแค่อยากทบทวนเพราะความฝันที่ฝันถึงก่อนหน้านี้
เมื่ออ่านไปนิดหน่อยเขาก็เริ่มรู้สึกขี้เกียจจะอ่านต่อ จึงคิดว่าลองหยิบหนังสือที่เกี่ยวข้องกันมาอ่านด้วยน่าจะดี
ตอนนั้นเอง ประตูร้านหนังสือถูกผลักออก
‘หืม? ลมแห่งชะตาพัดมารึไงกัน ทำไมวันนี้มีลูกค้าเข้ามาเยอะจัง’
‘แต่มาคิดอีกที ความเปลี่ยนแปลงพวกนี้มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่เฒ่าไวลด์ให้รูปปั้นการ์กอยล์รึเปล่านะ’
‘หรือว่านอกจากการขับไล่ชะตาไม่ดีและปีศาจ ยังมีเรื่องเกี่ยวกับพวกฮวงจุ้ยกวักเรียกทรัพย์ด้วยรึไง’
‘โธ่ แค่ยืมหนังสืออย่างเดียวก็พอแล้วแท้ ๆ ทำไมถึงมาให้ของพิเศษแบบนี้กันด้วยนะ’
‘นี่ยิ่งทำให้ฉันยุ่งกว่าแต่ก่อนอีก จนโดนขัดการอ่านหนังสือบ่อยไปแล้วเนี่ย’
‘นี่…นี่มันช่างไม่…ไม่อาจปฏิเสธลงเลยน่ะสิ! เอาเรื่องยุ่ง ๆ มาอีก!’
หลินเจี๋ยวางหนังสือในมือลงและฉีกยิ้มการค้าพลางเหลือบมอง “ยินดีต้อนรับครับ! ไม่ทราบว่าต้องการหยิบยืม อ่าน หรือมาซื้อหนังสือเหรอครับ แล้วก็หากต้องการสอบถามอะไรสามารถถามได้เลยครับ”
“ข้าถามได้จริง ๆ ใช่หรือไม่” หญิงสาวอาคันตุกะเอ่ยเสียงอ่อนโยนแบบเป็นกันเอง
ในสายตาหลินเจี๋ย ลูกค้าใหม่คนนี้หน้าตาดูดีและดูอ่อนโยนเหมาะกับเสียงของเธอนัก
ผิวกระจ่างใส นัยน์ตาสีฟ้า และเรือนผมสีทองอร่ามตาสร้างบรรยากาศงามชวนมอง ร้านหนังสืออันมืดมนนี้ดูเปล่งประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเธอมาเยือน
สายตาของหลินเจี๋ยมองไปยังใบหูของเธอ ใบหูทั้งยาวและแหลมคู่นั้นย่อมดึงดูดความสนใจของเขาอยู่แล้ว
เมื่อเลื่อนสายตาลงไปมอง จึงพบว่าเธอกำลังสวมชุดยาวสีขาว รอยยับของผ้าทบกันหลายชั้นแบบนั้นทำให้หลินเจี๋ยนึกถึงชุดโทกาที่ชาวโรมันโบราณสวมใส่
โดยรวมแล้ว เธอดูราวกับเอลฟ์แสนงดงามที่หลงเข้ามาในโลกธรรมดาแห่งนี้ไม่มีผิด
‘ระ…หรือว่า…’
‘คอสเพลย์เป็นตัวละครที่ตัวเองคิดขึ้นมาเอง?’
หลินเจี๋ยรู้สึกยินดีระคนประหลาดใจจนรู้สึก ‘คะนึงหา’ ขึ้นมา
การคอสเพลย์ถือเป็นเรื่องปกติบนดาวเคราะห์โลก ตั้งแต่สมัยโบราณที่นักดนตรีเร่ร่อนออกมาเล่นเพลงให้ผู้คนฟัง
และในปัจจุบัน การคอสเพลย์ก็รุ่งเรืองขึ้นมาเพราะอนิเม หนังและเกมต่าง ๆ
ทว่าในอาซีร์ถือว่าด้านนี้ยังไม่พัฒนามากนัก แม้จะมีโทรทัศน์และสื่อบันเทิงแล้วก็ตาม
อีกอย่าง มันยังขาดศูนย์รวมสำคัญสำหรับซับคัลเจอร์หรือผู้นำด้วย
คอสเพลย์ที่นี่ยังติดอยู่ในช่วง ‘หน้ากากและชุดคอสตูม’ อยู่เลย
การอยากเห็นคอสเพลย์ระดับสูงถือเป็นเรื่องยาก ทว่าลูกค้าตรงหน้าหลินเจี๋ยกลับมีพื้นฐานอันดีงามสุด ๆ
การแต่งหน้าของเธอถือว่าดูดี แถมยังมีกลิ่นอายความสูงศักดิ์แบบที่เอลฟ์ควรจะมีเสียด้วย
ชั่วขณะหนึ่ง หลินเจี๋ยถึงกับคิดไปเลยว่ามีเอลฟ์มายืนอยู่ตรงหน้าเขา อีกทั้งในช่วงมรสุมหนักแบบนี้ เอลฟ์คนงามผมทองตาฟ้าเดินเข้ามาในร้านหนังสือก็ไม่ต่างกับฉากในเทพนิยายเท่าไรนัก
‘น่าประทับใจจริง ๆ แม่สาวน้อย’
แต่แน่นอน มันแค่ดูเหมือนจริง และเป็นได้แค่นั้น
คนธรรมดาอย่างหลินเจี๋ยไม่มีทางคิดหรอกว่ามีเอลฟ์เป็นตัวเป็นตนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
อย่างไรเสีย เอลฟ์จริง ๆ จะมาเดินเตร็ดเตร่รอบเมืองใหญ่อย่างนอร์ซินโดยไม่กลัวถูกจับไปตั้งโชว์ในฐานะสัตว์หายากเลยรึไร
เอาเป็นว่าหลินเจี๋ยรู้สึกว่าคำถามที่อีกฝ่ายโพล่งมาแบบนี้ดูคลับคล้ายคลับคลากับใครคนหนึ่งอย่างไรชอบกล
เมื่อคิดอีกหน่อย หลินเจี๋ยจึงถึงบางอ้อว่านี่เป็นคำถามแบบเดียวกับเมลิสซ่า…เจ้าเด็กโข่งที่เขาแนะนำหนังสือเก็งข้อสอบไปครึ่งเซตเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง
ตอนนั้นเมลิสซ่าถามเขาว่า ‘นายจะช่วยได้ทุกเรื่องจริง ๆ เหรอ’ สุดท้ายแล้วคำของเจ้าเด็กนั่นทำให้หลินเจี๋ยเข้าใจว่า มีลูกค้าบางประเภทที่ดื้อด้านและแค่อยากก่อเรื่องเฉย ๆ อยู่เหมือนกัน
นั่นเป็นเหตุผลที่หลินเจี๋ยเปลี่ยนคำถามจาก ‘ให้ผมช่วยอะไรไหมครับ’ เป็น ‘หากต้องการสอบถามอะไรสามารถถามได้เลยครับ’ ด้วย
‘อย่าบอกนะว่านี่ต้องงัดไม้เดิมมาใช้จริง ๆ น่ะ’
‘ตอนนั้นเจ้าเด็กโข่งนั่นก็ออกไปพร้อมหนังสือเก็งข้อสอบครึ่งเซตแล้วนา คราวนี้จะมาเอาอะไรไปอีกล่ะเนี่ย’
หลินเจี๋ยตั้งหน้าตั้งตารอโดยยังคงรอยยิ้มอยู่เช่นนั้น “แน่นอนครับ ตราบใดที่ยังอยู่ในขอบเขตการทำงานของร้านหนังสือน่ะนะ”
ตอนนั้นเอง โดริสเองก็กำลังวิเคราะห์หลินเจี๋ยอยู่เช่นกัน
โดริสไม่ได้แปลงกายอะไร แต่เธอซ่อนกลิ่นอายของตัวเองไว้ก่อนมาที่นี่
ในความเห็นของเธอ หากเจ้าของร้านหนังสือคนนี้เป็นผู้รู้แจ้งจริง เขาต้องรู้ดีว่าเธอจะมาหา อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าเอลฟ์กำลังมา
หากเขาเผยความตกใจแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว นั่นหมายความว่าเขาไม่ใช่ผู้รู้แจ้งของจริง แต่เป็นแค่นักต้มตุ๋นคนหนึ่ง
นอกจากนั้น โดริสเองก็คิดเอาไว้แล้วว่า เจ้าของร้านหนังสือจะต้องใจเย็นหรือไม่ก็ตื่นตระหนกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทว่าเธอกลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าสายตาของเขาจะแฝงไปด้วยความประหลาดใจอันน่ายินดี ความน่านับถือ รวมไปถึง…ความคะนึงหาและการยอมรับ?
ถึงการที่เขาอารมณ์ดีปนประหลาดใจและการเผยความนับถือจะถือเป็นเรื่องเข้าใจได้ก็เถอะ
ในเมื่อเขาไม่ได้ตกใจเกี่ยวกับการมาเยือนของเอลฟ์นัก นั่นแปลว่าเขาเองก็คาดการณ์ไว้แล้วเหมือนกัน
ตอนนั้นแม้แต่นักล่าอย่างจี้จือซู่ยังตกใจตอนที่เธอลืมตามาพบโดริสเลย
ทว่าสิ่งแปลกประหลาดคือความคะนึงหาและการยอมรับต่างหาก
โดริสนั้นถือว่าคุ้นเคยกับความคะนึงหาแบบนี้เพราะมีเพียงสิ่งมีชีวิตอายุยืนยาวเท่านั้นจะมีความยึดติดซึ่งไม่ผูกมัดกับกาลเวลา
แต่คนตรงหน้าเธอเป็นมนุษย์อย่างชัดเจน
และสิ่งที่ชวนสับสนยิ่งกว่าคือการยอมรับ…นี่ไม่ต่างจากการยอมรับที่ผู้ใหญ่มีให้เด็กเลยนะ
เหตุใดมนุษย์จึงมองเอลฟ์ด้วยสายตาเช่นนี้กัน
โดริสมองไปทั่วแต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรนอกจากรูปปั้นการ์กอยล์ ดังนั้นเธอจึงใช้อีเธอร์ตรวจสอบทั่วร้านหนังสือ รวมไปถึงตัวเจ้าของร้านด้วย
เป็นคนปกติชัดเจนแจ่มแจ้ง…
โดริสระบายยิ้มพลางสาวเท้าไปยังเคาน์เตอร์โดยที่ยังแบกรับความสงสัยเอาไว้ นัยน์ตาของเธอกลับเบิกกว้างเมื่อเข้าประชิดและเห็นรูปร่างของเจ้าของร้านชัดเจน
แม้เขาจะดูปกติ แต่หากฉลาดพอจะพบว่าหนุ่มตรงหน้ามีฟันที่เบียดเสียดกันมากกว่าคนทั่วไปนัก
‘ไม่ผิดแน่’
โดริสมั่นใจว่าเธอไม่ได้มองผิดไป
วัดจากความหนาแน่นของฟันแล้ว เจ้าของร้านคนนี้มีฟันสี่สิบซี่พอดี
ไม่ได้เป็นโรคหรือสร้างขึ้นมาเองด้วย นี่ถือเป็นสิ่งละเมิดโครงสร้างเชิงกายภาพของมนุษย์
เขาเคยเป็นมนุษย์แน่นอน!
แต่หญิงสาวกลับไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตอนนี้เขาเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน…
“ตราบใดที่ยังอยู่ในขอบเขตการทำงานของร้านหนังสือสินะ…”
โดริสเอ่ยทวนและพลันกระจ่างรู้ขึ้นมา
หากเจ้าของร้านคนนี้มีพลังรู้แจ้งซึ่งทุกสิ่งตามที่นักล่าคนนั้นบอก แสดงว่าการถูกขังในร้านหนังสือคือค่าใช้จ่ายที่เขาต้องมอบให้เช่นนั้นหรือ
สิ่งมีชีวิตโบราณไม่ทราบที่มาโดยสวมร่างของมนุษย์ ครอบครองอายุยืนยาวและพลังอันยิ่งใหญ่ ทว่าเขากลับถูกขังเอาไว้ในมุมเล็ก ๆ และแอบซ่อนอยู่ในหมู่ปุถุชน
ถ้าเช่นนั้น คนอย่างเขาน่าจะรู้จักผู้คุ้มครองของกลุ่มไอริสอยู่ช่วงหนึ่งเป็นแน่
ระหว่างที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด โดริสพลันสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของอีเธอร์ มีออร่าบรรพกาลแผ่ออกมาจากชั้นสองของร้านหนังสือแห่งนี้!
นี่มัน…
ออร่าของแม่มดบรรพกาล เลดี้ซิลเวอร์นี่นา! นามซึ่งฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณกลุ่มไอริสกำลังสั่นไหว!
แดนนิมิตของท่านผู้นั้นอยู่ที่นี่!