บทที่ 5 : ผู้อพยพ หลินเจี๋ย
ใช่แล้ว หลินเจี๋ยเป็นผู้อพยพมายังต่างโลก หลงเข้ามาในประเทศอันกว้างใหญ่ที่มีชื่อว่าอาซีร์
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ คงมีผู้อพยพอื่นอีกมากมายนับไม่ถ้วน ทว่ากรณีของชายหนุ่มนั้นค่อนข้างจะพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เพราะการอพยพของเขามาจากความสมัครใจด้วยส่วนหนึ่ง
ทั้งหมดเริ่มต้นจากงานอดิเรกของหลินเจี๋ย
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเด็ก ๆ ในปัจจุบันต่างก็มีโรคเฉพาะทางที่แตกต่างกันออกไปตั้งแต่ OCD โรคกลัวที่แคบ ไปจนถึงโรคแปลก ๆ ที่จะต้องอ่านข้อความทุกบรรทัดบนขวดแชมพู
หลินเจี๋ยเองก็มีเช่นกัน เขาเป็นโรคเสพติดการสะสมหนังสือ ความปรารถนาสูงสุดของเขาก็คือการรวบรวมหนังสือที่ถูกตีพิมพ์ทั้งหมดในโลกเอาไว้ในคลังของตัวเอง โดยไม่สนว่าจะอ่านหนังสือทั้งหมดนั้นจบหรือไม่ แค่คิดว่าจะได้จัดหนังสือปกแข็งทั้งหมดไว้ในชั้นวางก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาสั่นซ่านไปด้วยความปีติ…
แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่หลินเจี๋ยจะทำภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ได้ด้วยตัวเขาเอง แค่ประเทศจีนเพียงประเทศเดียวก็ตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่กว่าเก้าหมื่นเล่มในทุก ๆ หกเดือนแล้ว สมมติว่าหนังสือพวกนั้นแต่ละเล่มมีราคาสี่สิบห้าหยวน หลินเจี๋ยจะต้องทุ่มเงินกว่าสี่ล้านหยวน เพื่อซื้อพวกมันทั้งหมด! แค่เรื่องเงินก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่เขาจะรวบรวมหนังสือทั้งหมดในประเทศจีน นับประสาอะไรกับหนังสือทั้งหมดบนโลก!
และนี่เป็นเพียงแค่ประเด็นปัญหาทางด้านการเงินเท่านั้น
ยังมีอุปสรรคอื่น ๆ อีกมากมายเช่น หนังสือที่เลิกพิมพ์ไปแล้ว หรือหนังสือที่ถูกสั่งห้ามเผยแพร่ การค้นหาและรวบรวมหนังสือเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างสุดความสามารถ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันไม่ต่างอะไรไปจากเรื่องเพ้อฝันในใจของหลินเจี๋ย
ทว่าวันหนึ่งทุก ๆ อย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อหลินเจี๋ยได้ค้นพบทางลัดสู่ความฝันอันห่างไกลนี้โดยไม่รู้ตัว พิธีกรรมที่สามารถบรรลุความปรารถนาใด ๆ ก็ได้ ตราบเท่าที่เขาพร้อมจะจ่ายค่าตอบแทน
แน่นอนว่าหลินเจี๋ยสงสัยเกี่ยวกับพิธีกรรมดังกล่าว แต่เขายังคงทำมันต่อไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความปรารถนาที่จะได้ครอบครองหนังสือทุกเล่มบนโลก
ทันทีที่ชายหนุ่มอธิษฐาน เขาก็ได้ยินเสียงพึมพำเบา ๆ ที่ยากจะเข้าใจ จากนั้นเพียงชั่วพริบตา หลินเจี๋ยก็พบว่าตัวเองได้มาปรากฏตัวอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ยืนอยู่ข้างหน้าร้านหนังสือที่ถูกทิ้งร้าง
ความคิดที่อธิบายไม่ได้ในใจบอกหลินเจี๋ยว่าความฝันของเขาที่จะได้ครอบครองหนังสือทุกเล่มในโลกนี้นั้นจะสำเร็จผล ถ้าเดินเข้าไปในร้านหนังสือแห่งนี้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็คือเขาจะไม่สามารถกลับไปยังโลกเดิมได้อีก
นี่เป็นตัวเลือกที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ หลินเจี๋ยผู้โดดเดี่ยวผลักประตูร้านหนังสือ เดินเข้าไปข้างในโดยไม่ลังเล
สามปีผ่านไป ในที่สุดเขาก็คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในเมืองหลวงนอร์ซิน
หลินเจี๋ยไม่จำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมมากนัก เนื่องจากระดับเทคโนโลยีในโลกนี้คล้ายคลึงกับโลกในยุค 80 และ 90 และภาษาเองก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคเท่าไหร่ เนื่องจากทั้งตัวอักษรภาษาอังกฤษและภาษาจีนถูกใช้อย่างแพร่หลายที่นี่ ด้วยเหตุผลบางอย่างในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีความแตกต่างอยู่บ้างเช่น ชื่อแปลก ๆ และสีผมประหลาด ๆ เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปที่นี่
นอกจากนี้หลินเจี๋ยยังเคยได้ยินถึงข่าวลือเกี่ยวกับ ‘โลกมิติใน’ และ ‘ตัวตนเหนือธรรมชาติ’ ของโลกนี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่เคยเห็นทั้งคู่มาก่อนก็ตาม
จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกถึงราคาจริง ๆ ที่ต้องจ่ายสำหรับความปรารถนาของเขา
อันที่จริง ทั้งหมดนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยสำหรับหลินเจี๋ย เขาพอใจกับชีวิตปัจจุบันนี้ ชั้นหนังสือทั้งหมดจะถูกสับเปลี่ยนในทุก ๆ วัน โดยที่เขาสามารถค้นหาและสั่งสับเปลี่ยนหนังสือทั้งหมดได้ด้วยตนเองได้อย่างง่ายดาย ด้วยจำนวนหนังสือที่อ่านได้ไม่รู้จบ และลูกค้าที่เขาสามารถพูดคุยแนะนำให้คำปรึกษาได้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อีกแล้ว
“ฉันเพิ่งถึงจุดคอขวดในงานวิจัยของฉัน”
ไวลด์ตั้งข้อสังเกตด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“แต่ตอนนี้ฉันพบเส้นทางใหม่แล้ว ต้องขอบคุณคุณจริง ๆ ที่ให้ยืมหนังสือภาษาปีศาจนั่นเมื่อสองปีก่อน อย่างไรก็ตามตอนนี้ฉันต้องการเบาะแส และเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาที่คล้ายคลึงกับมัน”
มันเป็นเรื่องตลกในแวดวงนักวิชาการรึเปล่าที่เรียกหนังสือดี ๆ ว่าหนังสือภาษาปีศาจ หลินเจี๋ยได้แต่นึกสงสัย ขณะเดินไปที่เคาน์เตอร์และเขียนคำว่า ‘ส่งคืน’ ลงในสมุดทะเบียน
“คุณต้องการยืมหนังสือประเภทเดียวกันสินะครับ?”
หลินเจี๋ยถาม ขณะแตะปากกาลงบนสมุด
“เล่มที่แล้วมันลึกซึ้งเกินไปสำหรับฉัน ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของภาพรวมทั้งหมด คุณมีหนังสือเล่มที่มีรายละเอียดมากกว่านี้ไหม… มันคงจะดีกว่านี้ ถ้ามันมีคำอธิบายอยู่ด้านในด้วย หนังสือเล่มก่อนมีอิทธิพลจากคนอื่นมากเกินไป ทำให้ภาษาและสำนวนต่าง ๆ ซับซ้อน ฉันต้องเข้าใจความหมายภายในให้ดีกว่านี้เสียก่อนถึงจะอ่านมันได้” ไวลด์พึมพำ
หลังจากสองปี ในที่สุดชายชราก็พบเบาะแสเกี่ยวกับคำสาปต้องห้ามในหนังสือเล่มนั้น นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด!
จอมเวทเชี่ยวชาญในการสร้างคาถาด้วยพลังของภาษาและอักขระ ผู้ใช้มนตร์ดำใช้ภาษาเหล่านั้นในการสาปแช่ง ในขณะที่ผู้ใช้เวทศักดิ์สิทธิ์ใช้ตัวอักขระเพื่อจารึกมนตรา
ในฐานะผู้ใช้มนตร์ดำระดับแนวหน้า ไวลด์เชี่ยวชาญคาถาพื้นฐานส่วนใหญ่แล้ว สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้คือการดึงศักยภาพของพลังวิญญาณภายในออกมาเพื่อพัฒนายกระดับตัวตนไปอีกขั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาจำเป็นต้องค้นหาเสียงภายในจิตวิญญาณของตนเอง
ความต้องการสุดท้ายของผู้ใช้มนตร์ดำคือการสร้างภาษาของตัวเองเท่านั้นขึ้นมา!
นั่นคือเส้นทางที่เขาต้องไปให้ถึง เพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด
“อย่างงั้นเหรอครับ… โปรดรอสักครู่ ผมจะหาสิ่งที่เหมาะกับความต้องการนั้นมาให้คุณเอง” หลินเจี๋ยตอบ
ไวลด์พยักหน้าและเดินไปดูชั้นวางหนังสือที่อยู่ข้างหลัง
คำขอของเฒ่าไวลด์นั้นสมเหตุสมผล แม้ว่าภาษาในโลกนี้จะคล้ายกับภาษาในโลกมนุษย์ที่หลินเจี๋ยจากมา แต่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและประเพณีก็ทำให้เกิดข้อแตกต่างขึ้นมา เนื่องจากทั้งสองที่เป็นสองโลกที่แตกต่างกัน มันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะเข้าใจวัฒนธรรมจีนได้อย่างถี่ถ้วน เราควรหาหนังสือที่เข้าใจง่ายกว่านี้ให้กับเขา
นิ้วชี้ของหลินเจี๋ยค่อย ๆ เลื่อนผ่านชั้นหนังสือก่อนที่จะหยุดลง
ขณะที่ชายหนุ่มเลือกหนังสือ ไวลด์ที่กำลังมองออกไปด้านนอกร้านก็หวนนึกถึงอดีตขึ้นมา
สองปีที่แล้ว ระหว่างที่ชายชรากำลังหลบหนีหลังจากพ่ายแพ้ต่อศัตรูที่ชื่อว่าโจเซฟ เขาก็ได้พบกับร้านหนังสือแห่งนี้โดยบังเอิญ และได้พบกับหลินเจี๋ย ผู้ให้คำแนะนำและชี้นำเส้นทางใหม่ให้กับเขา
จนถึงตอนนี้ ไวลด์ก็ยังไม่สามารถหยุดหัวใจและร่างกายของเขาไม่ให้สั่นสะท้านได้ เมื่อนึกถึงหนังสือที่มีภาษาของปีศาจ และเวทมนตร์อันน่าอัศจรรย์กับพลังที่แฝงอยู่ในนั้น!
ราวกับได้รู้สึกถึงรักแรกอีกครั้ง!
มันทำให้ชายชรานึกถึงตอนที่ตนได้เห็นพลังของจอมเวทเป็นครั้งแรก ในสมัยที่เขายังเป็นนักเรียน
“ตาย”
เพียงคำพูดคำเดียวจากอาจารย์เฒ่าของไวลด์ก็เพียงพอที่จะดับชีวิตของนกแสนสวยที่โบยบินตรงหน้าพวกเขา
น่าทึ่งจริง ๆ!
นี่เป็นความคิดแรกของไวลด์ เมื่อเป้าหมายและความเชื่อหลอมรวมกลายเป็นความเชื่อมั่น!
ปัจจุบันไวลด์ห่างไกลจากชายชราหัวสูงในอดีตมาก การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นโดยฝีมือเจ้าของร้านหนังสือผู้รอบรู้และเมตตา
ไวลด์ไม่เคยถามถึงอดีตหรือตัวตนของหลินเจี๋ย แต่ชายชราก็พอจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
อีกฝ่ายจะต้องเป็นนักวิชาการรักสันโดษจากสมาคมแห่งสัจธรรมแน่นอน!
แม้จะยังสงสัยว่าหลินเจี๋ยอาจจะเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน ผู้มีกุญแจสู่วิหารแห่งสัจธรรมรึเปล่า… อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น และเขาก็ยังไม่เคยสัมผัสได้ถึงการผันผวนทางพลังเวทใด ๆ จากหลินเจี๋ยเลย
ไวลด์ละทิ้งความคิดดังกล่าวไปเมื่อเห็นชายหนุ่มดึงหนังสือออกจากชั้นวาง
“คุณเจอมันแล้วงั้นเหรอ?”
หลินเจี๋ยกระแอมและยื่นหนังสือให้ด้วยรอยยิ้ม
“มันอาจจะดูพูดเกินจริงไปนิดนะครับ แต่ความรู้สึกของผมบอกว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคุณ พูดตามตรง ผมค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้เลย…”
“?”
ท่าทางอับอายเล็กน้อยจากหลินเจี๋ย ทำให้ไวลด์งุนงง เขารับหนังสือมาจากเจ้าของร้านหนุ่ม ก่อนจะเหลือบมองไปที่หน้าปก ขณะเดียวกันสายตาของหลินเจี๋ยก็มองตามไปที่ชื่อหนังสือและผู้แต่ง
‘นิกายกลืนศพ: พิธีกรรมและขนบธรรมเนียม’ โดย หลินเจี๋ย