บทที่ 57 : เจตนาร้าย
‘ถามจริง ให้ฉันดูอะไร! ให้ฉันมองรอบ ๆ ยังไงก่อน จะขยับตัวยังไม่ได้เลยโว้ย!’
นัยน์ตาของแอคเกอร์แมนสั่นไหว เป็นสัญญาณของการดิ้นรนจากภายใน
ชายหนุ่มเห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นแสนเป็นมิตรของเจ้าของร้านแล้วรู้สึกเหมือนมีความมุ่งร้ายและเยาะเย้ยฝังลึกลงไปข้างในอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าของร้านหนังสือมองว่าเขาเป็นตุ๊กตาหลงเข้ามาในกับดักจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยิ่งอีกฝ่ายมองมากเท่าไรก็ยิ่งชื่นชอบมากขึ้นเท่านั้น
‘ไอ้หมอนี่มองออกตั้งแต่แรกเลยนี่หว่า!’
แอคเกอร์แมนสัมผัสได้ว่า เจ้าของร้านดูจะคาดไม่ถึงที่เขาเสแสร้งเป็นลูกค้าทั่วไปแล้วบอกว่า ‘แค่มาดูอะไรเฉย ๆ’
เจ้าของร้านคนนี้เลยตอบเย้ยหยันกลับมาว่า ‘จะดูอะไรก็ตามสบายเลยครับ’
นั่นแปลว่าเขาอยากเห็นผู้บุกรุกอยู่ในสภาพหวาดกลัวและน่าอนาถแน่นอน ความหมายมันแจ่มแจ้งมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว นี่มันคำข่มขู่ชัด ๆ!
‘อ้าว ไม่ได้อยากดูรอบ ๆ เหรอครับ ตามสบายเลย ผมไม่ห้ามคุณหรอก อะไรนะ? ขยับไม่ได้?’
‘ขอโทษทีนะครับ พอดีสัตว์เลี้ยงผมมันขยับของมันเองน่ะ’
แอคเกอร์แมนไม่เคยพบกับความอัปยศเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
เขาโดนเชือดทิ้งได้ง่าย ๆ เลย ทว่าเจ้าของร้านคนนี้กลับมีแรงจูงใจอื่นแอบแฝง!
แต่โชคร้ายนักสำหรับแอคเกอร์แมน เขาไม่อาจทำอะไรได้เลยไม่ว่าจะดิ้นรนแค่ไหนเพื่อขยับกล้ามเนื้อเพียงมัดเดียวก็ตาม
เส้นเลือดขมับของชายหนุ่มปูดนูนขึ้น และเลือดก็แทบจะขึ้นตาอยู่รอมร่อ เรียกได้ว่าเขากำลังใช้แรงกายทุกอณูในร่างกายตนอยู่
เขากล้าสาบานว่าหากเป็นสถานการณ์ปกติ เรี่ยวแรงที่เขากำลังใช้อยู่ตอนนี้สามารถเป่าบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นฝุ่นผงด้วยหมัดเพียงหมัดเดียว
ทว่าหากมองจากภายนอก สภาพตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขายืนนิ่งอยู่กับที่ มองกุหลาบดอกนั้นโดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
เขาถูกพลังไร้รูปร่างตรึงเอาไว้โดยไม่มีทางทลายมันออกไปได้เลย
มันยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีกที่แอคเกอร์แมนรู้สึกว่าตนกำลัง ‘สูญเสียตัวตน’
อะไรก็ตามที่ฝังอยู่ในวิญญาณกำลังถูกลูกตาของดอกกุหลาบกระชาก ‘รุมทึ้ง’
หากต้องบรรยายให้เห็นภาพ แอคเกอร์แมนรู้สึกว่าตนไม่ต่างจากขนมเจลลี่ที่ครอบฝาพลาสติกในตอนแรก แต่ตอนนี้ฝาถูกฉีกทิ้งและกำลังถูกดูดกลืน
มันเป็นอะไรที่นามธรรม แต่ความหนาวไปถึงไขกระดูกสันหลังคือของจริง ที่แย่ยิ่งกว่าคือแอคเกอร์แมนไม่อาจหยุดหรือยื้อสิ่งที่กำลังถูกกลืนกินเอาไว้ได้เลย
ตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจว่ามันไม่ใช่อีเธอร์หรือพลังไร้รูปใดที่ป้องกันไม่ให้เขาขยับ ดังนั้นพลังของเขาจึงไม่ถดถอยลงไปและยังไม่ได้ต่อต้านอะไร
สิ่งที่ตรึงเขาไว้กับที่เป็นพลังซึ่งคล้ายกับพลังวิญญาณมากกว่า
‘ลูกตา’ ของดอกกุหลาบบอกเขาไว้ว่า ‘อย่าขยับ!’ ดังนั้นเขาจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่นั่นเอง
‘ไอ้นั่นมันเชี่ยอะไรวะน่ะ?’
แอคเกอร์แมนหวาดกลัวนัก เมื่อเขามองไปยังกุหลาบดอกนั้น อารมณ์ของชายหนุ่มก็เปลี่ยนจากโทสะเป็นหวั่นเกรง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นหมดสิ้นหนทาง ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งนาที… แอคเกอร์แมนก็บรรลุถึงความหมายของความสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนจะมาอยู่ในสภาพนี้ก่อนตาย…
สภาพร่างกายของนักล่าระดับภัยพิบัติจะทำให้เขาเอาตัวรอดได้ถึงสามเดือนโดยไม่ต้องกินข้าวหรือดื่มน้ำ เมื่อถึงเวลาตายจริง ๆ แอคเกอร์แมนคงรู้สึกว่าตนคงโล่งใจนักที่ในที่สุดก็หลุดพ้น
‘เจ้าของร้านหนังสือนี่เป็นปีศาจที่ชอบเล่นกับจิตใจคนอื่นเห็น ๆ!’
แอคเกอร์แมนร้องโหยหวนในใจ
ส่วนหลินเจี๋ยนั้นกำลังอารมณ์ดีสุด ๆ
เมล็ดที่เขาปลูกได้งอกเงยขึ้นมาเป็นดอกกุหลาบแดงแสนสวยงามหลังจากผ่านไปเจ็ดวัน
แต่การที่มันเบ่งบานขึ้นมาหลังผ่านไปแค่สองสามวันดูไม่ปกติเท่าไร แถมเจ้ากุหลาบนี่กลับโตเป็นพุ่มไม้ทั้งที่มีลำต้นอันเดียวก็น่าแปลกด้วย แต่สาวเอลฟ์บอกเอาไว้ว่ามันเป็นของอันล้ำค่า จึงไม่แปลกที่มันจะมีอัตลักษณ์อันโดดเด่น
สมัยนี้หลายคนต่างเลือกการปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรก แต่การดูแลว่ามันให้เติบโตอย่างดีเป็นเรื่องยาก ดอกไม้ประเภทที่โตไวและเก็บเกี่ยวง่ายแบบนี้ถือว่าเป็นจุดขายของมัน
อีกอย่าง ไม่มีใครบอกเลยสักนิดว่าจะเป็นกุหลาบ บางทีอาจจะเป็นสปีชีส์อื่นที่หน้าตาคล้ายกันก็ได้
อีกสาเหตุที่หลินเจี๋ยอารมณ์ดีขึ้นไปอีกคือลูกค้าใหม่
เขาไม่ได้ต้อนรับลูกค้าประจำคนใดมาสักพักแล้ว ลูกค้าใหม่ก็ไม่มีมาสักคน
ราวกับว่าร้านหนังสือนี้ได้กลับสู่ยุคเปล่าเปลี่ยวแบบเมื่อก่อนเสียแล้ว
แม้ว่าวันเวลาเรื่อย ๆ แบบนี้จะไม่ได้แย่นัก แต่ใครจะไม่อยากได้ลูกค้าเพื่อให้เขาได้เยียวยาจิตใจให้พร้อมกับทำเงินไปด้วยกันเล่า
ทว่าต่อให้มีฝูงชนข้างนอกต่างมุงดูบริเวณนี้เพราะเหตุการณ์แก๊สระเบิด ร้านหนังสือของหลินเจี๋ยก็ยังคงอยู่ในสภาพไร้ชีวิตชีวาเช่นเคย
ขนาดร้านขายเครื่องเสียงข้างบ้านยังขายดิบขายดีเลย แต่ที่นี่ดันไม่มีลูกค้าเข้ามาเลยสักคนเดียว
เรื่องนี้ทำเอาหลินเจี๋ยเริ่มขบคิดอย่างจริงจังว่าเขาควรจะเดินหน้าปรับปรุงร้านเลยดีไหม
อันที่จริงความคิดนี้มันตบตีกันมาตลอด
แต่ว่า…
การไม่ปรับปรุงร้านทำให้ร้านไม่ดึงดูดลูกค้า และการทำมาค้าขายไม่ได้ ก็แปลว่าเขาไม่มีเงินจะจ่ายค่าต่อเติมร้านได้
เป็นวัฏจักรอันโหดร้ายชัด ๆ!
สุดท้าย ที่เป็นอยู่นี่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ ยังมีลูกค้าแวะเข้ามานี่?
ตราบใดที่เขาสร้างสายสัมพันธ์ได้ เงินก็จะมาหาเองถึงที่
หลินเจี๋ยยินดีต้อนรับลูกค้าคนใหม่อย่างเบิกบานและคงความกระตือรือร้นเอาไว้ดั่งฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น
ต่อให้ลูกค้าจะบอกว่าเขาแค่มาดูเฉย ๆ หรือไม่มีความคิดอยากซื้ออะไร หลินเจี๋ยก็ต้องคิดหาทางกระตุ้นเขาให้ได้
ขณะที่สมองของหลินเจี๋ยหมุนเร็วจี๋ ทันใดนั้นเองที่เขาพบว่าลูกค้าที่มาดูอะไรเฉย ๆ กลับยืนนิ่งอยู่ข้างเคาน์เตอร์มาสักพักแล้ว
ด้วยความอยากรู้ เขาจึงเอียงตัวมองพร้อมถาม “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ แค่มาดูนู่นนี่ไม่ใช่เหรอ”
ลูกค้าไม่ตอบอะไรเลย สายตาของเขายังคงจดจ้องอยู่บนโต๊ะ
หลินเจี๋ยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วจึงพบว่าเขากำลังมองไปยังกุหลาบในกระถาง
หลินเจี๋ยถึงบางอ้อแล้วจึงเอื้อมมือไปโอบกระถางดอกไม้เลื่อนเข้าหาตัว ซึ่งเป็นจุดที่แสงดีที่สุดในร้านนี้ เขาถามกลั้วหัวเราะ “คุณเองก็คิดสินะครับ ว่าผมมีต้นไม้ที่สวยมาก”
ชายหนุ่มจงใจเอียงต้นไม้ให้หันหน้าออกไปเพื่อที่ลูกค้าจะได้เห็นชัดกว่านี้
ร้านหนังสือเขาดูโทรมเกินไปหน่อย แต่หากลองคิดอีกแง่ ถ้าสถานที่นี้มีดอกไม้สวยขนาดนี้ มันก็ยิ่งส่งผลให้สถานที่นี้ดูหรูหราและเปล่งประกายขึ้น
‘แสดงว่าที่ลงแรงไปไม่เสียเปล่าจริง ๆ!’
แกรก…
เมื่อกระถางถูกเลื่อนไป การจ้องมองระหว่างแอคเกอร์แมนและลูกตาก็ถูกตัดขาด
ยามได้รับการปลดปล่อย แอคเกอร์แมนก็ถอนหายใจยาวพลางตัวสั่นระริก ตอนนั้นเองที่ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าดอกไม้นั้นอยู่ตรงหน้าเจ้าของร้านหนังสือเรียบร้อย
ลูกตาบนดอกไม้หมุนติ้วหลายต่อหลายครั้งก่อนจะผลุบกลับไปในกลีบดอกไม้
เพราะแสงที่เพียงพอ แอคเกอร์แมนจึงเห็นกระทั่งข้างในดอกไม้ตูมในช่วงที่ลูกตาถูกเก็บลงไป ในช่วงเวลานั้น เขาเห็นลูกตาหลายดวงเกลือกกลิ้งอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน…
แอคเกอร์แมนคิดด้วยซ้ำว่าเขาหลอนไปเองเพราะฉีดเลือดอสูรเข้าตัวมากไปหรือเปล่า ทว่าเมื่อมองขึ้นไปเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของเจ้าของร้านหนังสือ เขาจึงรู้ว่ามันไม่ใช่ภาพหลอนแต่เป็นนรกของจริงต่างหาก
แอคเกอร์แมนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตอบ “สวยครับ สวยจริง ๆ…”
ทันใดนั้นเขาก็ไม่อยากได้รับผลประเมินระดับภัยพิบัติอีกต่อไป ไม่มีอารมณ์ไปตามหาไวลด์แล้วด้วย ความปรารถนาและความทะเยอทะยานทั้งมวลถูกสูบหายไปจนหมดสิ้น สิ่งที่อยากทำตอนนี้มีแค่การทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา และขบคิดถึงความหมายของชีวิตก็เท่านั้น