บทที่ 62 : คำสอนแห่งโลหิตและเนื้อหนัง
จี้จือซู่กำลังอ่านหนังสือ
โคมไฟตั้งโต๊ะคลุมด้วยผ้าลายลูกไม้กำลังเปล่งแสงสว่างโดยไม่ได้ทำให้แสบตา ส่องให้เห็นหนังสือและคัมภีร์ม้วนหลายเล่มบนโต๊ะ แจกันดอกไม้ใส่ดอกเดซี่ทั้งหลาย ขวดหมึกและปากกาขนนก กล่องกำยานประดับประดาด้วยไข่มุก และแว่นตาคู่หนึ่ง
รอบด้านนั้นเงียบงัน มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษเท่านั้น
แน่นอนว่าด้วยความสามารถในการฟังของหญิงสาวในปัจจุบัน ทำให้เธอได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้นของเมดสองคนซึ่งกำลังทำความสะอาดอยู่ข้างล่าง แต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องจดจ่อฟังเสียงมากขนาดนั้น อีกอย่างการทำแบบนั้นก็ถือว่าทรมานพอตัว
เพราะพลังที่เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการควบคุมร่างกายของเธอเกือบจะเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว
หากจี้จือซู่ต้องการ เธอสามารถควบคุมได้อย่างแม่นยำว่าจะขยับขนเส้นไหนบนร่างกายนี้
ที่สำคัญที่สุด หญิงสาวใกล้จะปราบพยศสัตว์อสูรในเลือดของเธอได้เต็มทีแล้ว
หากทำเช่นนั้นได้ การไขว่คว้าระดับภัยพิบัติก็อยู่ไม่ไกล
“ฟู่…”
จี้จือซู่ถอนหายใจยาว ปิดหนังสือลง แล้วจึงผ่อนคลายให้ตัวเองใจเย็นลง
กลิ่นของเปปเปอร์มินต์ โรสแมรี่ และตะไคร้ลอยออกจากกล่องกำยานมาแตะที่ปลายจมูก ช่วยฉุดดวงจิตของเธอให้กระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น
การควบคุมเลือดและสัตว์อสูรไม่ได้ง่ายดายเหมือนการคุมเลือดเสียในร่างกาย
ยิ่งจี้จือซู่เรียนรู้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งเข้าใจถึงความสยดสยองอันลึกล้ำและลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น
เลือดและสัตว์ร้าย…ความจริงหมายถึง ‘วิญญาณ’ และ ‘เนื้อหนัง’ ต่างหาก
โลหิตและวิญญาณคือสกุลเงินแห่งชีวิต เมื่อมันไหลเวียนวนอยู่ในร่าง อีเธอร์ก็ถือกำเนิดขึ้นมา
การควบคุมโลหิตในร่างกายเป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น
วิธีการใช้เลือดนั้นและการเปลี่ยนสัตว์อสูรให้เป็นพลังของเธอเองคือเส้นทางเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแท้จริง
ตอนนี้จี้จือซู่กำลังควบคุมปริมาณเลือดที่ตนฉีดเข้าร่างอยู่
หากหญิงสาวดูดซึมมันได้มากกว่านี้ และถึงขั้นได้รับเลือดอสูรจากสัตว์มายาชนิดอื่นละก็ ระดับพลังที่ได้จะน่ากลัวขนาดไหนกัน…
พลังที่เหล่านักล่าจะสามารถเอื้อมไปถึงได้จะไม่หยุดเพียงแค่นี้แน่นอน!
พลังคือแหล่งของอำนาจ
ตอนนี้หากเทียบกับสมาคมแห่งสัจธรรม หอพิธีกรรมต้องห้ามและโบสถ์ทั้งหลายแล้ว นักล่าก็พอจะทัดเทียมได้อยู่
แต่จี้จือซู่คนเดียวไม่พอแน่ เธอยังต้องการพรรคพวกเพิ่มอีก
ในช่วงที่ผ่านมา หญิงสาวได้แอบฝึกซ้อมโดยไม่สอนกระบวนท่านี้กับใครอื่น เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกสำหรับเธอ อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่ามันจะมีปัญหาอะไรหรือไม่
หากพลังเลือดอสูรหลุดการควบคุมไปแล้วจะเกิดความพินาศตามมา ดังนั้นเธอต้องระมัดระวังเข้าไว้
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เธอสามารถควบคุมเลือดและยืนยันได้ว่ามันปลอดภัย พึ่งพาได้ และได้ผลจริง
หญิงสาวสามารถเริ่มเผยแพร่วิธีใช้มันได้แล้ว
จี้จือซู่ลูบปกหนังสืออย่างเบามือพร้อมกับเจตจำนงอันหนักแน่นฝังลึกในหัวใจ
นี่จะกลายเป็นคำสอนของเหล่านักล่า และคุณหลินซึ่งนำคำสอนนี้มาจะกลายเป็นผู้ชี้ทาง นำพาเหล่านักล่าไปสู่อนาคตใหม่
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูอันนุ่มนวลดังขึ้นจากหลังประตู
“คุณหนูคะ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
จี้จือซู่เดาไว้แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ เธอลุกขึ้นยืนนิ่ง ๆ ผลักเก้าอี้เข้าไป และซ่อนหนังสือลงไปในช่องลับในโต๊ะหนังสือของเธอ
ตอนนี้ผมของหญิงสาวยาวประไหล่ เธอสวมเสื้อคอกลมพร้อมกางเกงยีนส์พอดีตัว
แต่แน่นอนว่าแม้จะอยู่ในบ้าน เธอก็ยังพกมีดสั้นไว้บนหลังภายใต้การแต่งตัวเรียบง่ายนั้น และคมมีดกำลังบาดเธอไม่หยุด
แม้ว่าสภาพร่างกายในปัจจุบันของเธอแข็งแกร่งถึงขั้นเหล็กไหลแทงไม่เข้าก็ตาม แต่การระวังตัวตลอดเวลาก็ถือว่าเป็นความเคยชินอันดี
จี้จือซู่เปิดประตูแล้วตามเมดลงไปยังห้องรับประทานอาหาร
ระหว่างทาง เธอชะงักฝีเท้าพลางมองไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังยืนอยู่หน้าประตู
“คุณพ่อ” จี้จือซู่นิ่งไปเล็กน้อยก่อนถามอย่างใจเย็น “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
ชายผู้ยืนอยู่หน้าประตูคือจี้ป๋อหนง หัวหน้าบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์นั่นเอง
เขาอยู่ในชุดสูทอันหรูหราพร้อมเสื้อกั๊กและเสื้อเชิ้ตขาวข้างใน ด้านหลังกรอบแว่นสีทองคือนัยน์ตาสีเงินเหล็กเช่นเดียวกับที่จี้จือซู่มี โดยรวมแล้วตัวตนของเขามีความเย็นยะเยือกดั่งมีสิ่งไร้ชีวิตแฝงอยู่
เมดคนนั้นเดินออกไปอย่างรู้งาน
“นาน ๆ ที พ่อคนนี้จะมาคุยเปิดใจกับลูกไม่ได้เลยรึไง” จี้ป๋อหนงตอบเรียบง่ายพลางหมุนตัวเดินไปยังห้องอาหาร
จี้จือซู่ยิ้มออกมา “ก็คุณพ่อไม่เคยกลับมากินข้าวเลยนี่คะ ไม่เคยส่งคนมาเรียกหนูกินข้าวเย็นด้วย นอกจากว่ามีเรื่องจะคุยแล้วก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะมีเหตุผลอื่นอีก”
จี้ป๋อหนงชะงักไปเล็กน้อยแต่ตั้งก็สติได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะนั่งลงบนที่ของเขาเอง “มันชัดขนาดนั้นเลยรึ”
“ใช่ค่ะ” จี้จือซู่ตอบกลับชัดเจนพลางเดินตรงไปยังที่นั่งของเธอ
เธอได้ยินคำแนะนำของคุณพ่อแล้ว แต่ต่อให้ไม่ได้ยิน เธอก็คาดเดาเจตนาของเขาได้อย่างง่ายดายอยู่ดี
อย่างไรเสีย พ่อของเธอก็เป็นคนที่ทำงานตลอดทั้งปี ไม่เคยกลับมาบ้านเลยใน 364 วันจากทั้งหมด 365 วัน ตอนนี้เขาเลือกที่จะดั้นด้นกลับมาบ้านและถึงขั้นสั่งเมดให้มาเรียกเธอกินข้าวเย็นโดยเฉพาะ ทั้งที่จี้จือซู่มักจะสั่งเมดตลอดว่าอย่ามารบกวนเธอ
เอาเป็นว่าเขาไม่มีทางมาที่นี่เพื่อระลึกถึงอดีตแน่นอน
ดวงตาของจี้ป๋อหนงมองไปยังใบหน้าของลูกสาวก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา เนื่องจากหลายปีมานี้เขาไม่ค่อยได้พบปะกับเธอเลย จี้ป๋อหนงจึงยังติดอิมเมจลูกสาวในวัยสิบเจ็ดอยู่ ทำให้เขาไม่ค่อยคุ้นชินกับจี้จือซู่ในตอนนี้สักเท่าไรนัก
“โตขึ้นมากเลยนะ” เขาตัดพ้อ
จี้จือซู่ถามกลับ “หนูหวังว่าคุณพ่อคงไม่ได้มาเพราะอยากคุยเปิดอกจริง ๆ หรอกนะคะ”
จี้ป๋อหนงหัวเราะพรืดก่อนเอ่ยต่อ “อย่างลูกน่ะสามารถตัดสินใจเรื่องพวกนี้เองได้แล้ว แต่ในฐานะพ่อคงต้องให้คำแนะนำลูกบ้างเหมือนกัน”
“…” จี้จือซู่เงียบไปสักพัก “พูดต่อได้เลยค่ะ”
“ที่ผ่านมาพ่อไม่เคยถามเลยว่าลูกทำอะไรอยู่ เพราะไม่ว่าจะเป็นหมาป่าขาวหรือนักล่ากลุ่มอื่น พวกเขาต่างก็เป็นหมากที่ถูกคนอื่นใช้เฉย ๆ พ่อส่งเคย์กับมาร์คัสให้ลูกไปแล้ว นั่นควรจะมากพอแล้วนะ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วละ”
จี้ป๋อหนงใช้นิ้วชี้เคาะโต๊ะอาหารพลางจ้องจี้จือซู่เขม็ง
“ถ้าลูกเข้าไปพัวพันจริง ลูกจะต้องเป็นตัวแทนของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์เมื่อถึงคราวที่ต้องอธิบายต่อหน้าทุกคน ลูกเข้าใจเรื่องนี้ใช่ไหม”
“เข้าใจสิคะ”
จี้ป๋อหนงไม่คิดว่าตนจะได้รับคำตอบกลับห้วน ๆ แบบนี้ ทำเขาเหวอไปพักใหญ่ก่อนพูดต่อ “แน่นะ? ถ้าเข้าใจจริงก็ไม่ควรหยาบคายแบบนี้สิ!”
“หนูเข้าใจจริงๆ นะคะ” จี้จือซู่เงยหน้าขึ้น “เหตุผลที่คุณพ่อกับหนูกำลังคุยกันอยู่นี่ เพราะคุณพ่อเห็นแผนที่หนูเขียนลงไดอารี่ใช่ไหมล่ะคะ เพราะงั้นคุณพ่อก็เลยมาให้คำปรึกษาหนูไง”
มุมปากของจี้จือซู่ยกยิ้มขึ้น “หนูจงใจเขียนมันลงไปเองแหละค่ะ”
ดวงตาของจี้ป๋อหนงเบิกกว้าง เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้
เขาจ้องจี้จือซู่ ก่อนจะชี้ไปที่ตัวเอง “ลูกจงใจเขียนแผนพวกนั้นลงไป และตั้งใจให้ลูกน้องเจอมันเพื่อให้พ่อกลับมาบ้านเนี่ยนะ?”
“อื้ม” จี้จือซู่เอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมนั่งกอดอก “ปกติแล้วแผนต้องอยู่ในหัวนี่คะ ใครมันจะโง่ไปเขียนให้คนอื่นเห็นกันล่ะ”
จี้ป๋อหนงเฝ้าสังเกตลูกสาวเขาเงียบ ๆ สักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาในที่สุด “ลูกโตขึ้นมากจริง ๆ ด้วย พ่อไม่ควรทำตัวเหมือนลูกยังเด็กเลยสิน่า”
“แล้วหนูจะเล่นละครตบตาคุณพ่อได้ยังไงคะเนี่ย ถ้าคุณพ่อไม่มองหนูเป็นเด็กอยู่น่ะ” จี้จือซู่ยิ้มร่า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ลูกดูจะมั่นใจเรื่องการโน้มน้าวพ่อมากเลยนะ” สายตาของจี้ป๋อหนงจ้องลึกลงไปอีก “บอกพ่อมาซิ ว่าลูกเดิมพันกับอะไรอยู่”
จี้จือซู่สบตาเข้ากับสายตาของพ่อและตอบกลับอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าคุณพ่อส่งคนไปเอามาจากห้องหนูแล้วหรอกเหรอคะ?”
“นะ…นี่ลูกรู้ได้ไง?”
หญิงสาวเลียนแบบพฤติกรรมของเจ้าของร้านหนังสือโดยการใช้สองมือเท้าคาง แล้วฉีกยิ้มสดใสยามมองใบหน้าตื่นตกใจของผู้เป็นพ่อ
เหนือท้องฟ้าไร้ซึ่งคนเห็น หนวดรูปร่างคล้ายหนวดปลาหมึกต่างยืดออกไปทั่ว ทำให้จี้จือซู่เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างในบ้านหลังนี้
จี้จือซู่ดึงเลือดและสัตว์ร้ายของจริงออกมาจากก้อนเนื้อส่วนหลังที่ ‘ฉีกขาด’ แล้วโบกมันไปมา “สิ่งนี้แหละค่ะ ของเดิมพันของหนู”