บทที่ 63 : นักธุรกิจ
จี้ป๋อหนงต้องยอมรับว่าครั้งนี้เขาคำนวณผิดพลาดไปมากโข
ในฐานะประธานบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ เป็นปกติที่เขาจะมีคอนเนคชั่นกับองค์กรนับไม่ถ้วน
เขามีข้อตกลงกับสมาคมแห่งสัจธรรม หอพิธีกรรมต้องห้าม นักล่า นักเวท โบสถ์ รวมไปถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งการที่แผนของเขาจะผิดพลาดนั้นถือว่าหาได้ยาก
แต่ครั้งนี้ ดูท่าเขาจะรับมือลูกสาวตัวเองพลาดไปถึงสองครั้งติด
ลูกในไส้ที่เขานึกว่าตนเข้าใจเธอดีที่สุด กลับได้สร้างความประหลาดใจให้กับเขา เธอถึงขั้นคาดเดาการกระทำและดุลยพินิจของเขาได้เสียอย่างนั้น
ส่วนหนึ่งมาจากความประมาทและความเชื่อใจลูกสาว แต่การคำนวณพลาดก็คือการคำนวณพลาดอยู่ดี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
จี้ป๋อหนงจึงรู้สึกเหมือนโดนความซับซ้อนสาดซัดเข้าใส่
มันมีความ ‘ขายหน้า’ เพราะ ‘คาดเดา’ ลูกสาวคลาดเคลื่อนไป
แต่ก็ยังพอใจที่ได้เห็นลูกสาวเติบโตขึ้นมาแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ดูการเติบโตของเธอ
อีกทั้งยังมีความรู้สึกผิดที่ตนละเลยลูกสาวมาหลายต่อหลายปี
ภาพของเด็กสาวซึ่งเรียนรู้มารยาทอย่างทุลักทุเล บัดนี้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสง่าโดยไม่รู้ตัว แถมยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมจนทำให้พ่อของเธอติดกับได้อีกต่างหาก
นัยน์ตาสีเทาเหล็กที่สืบทอดกันมาคู่นั้นมีความใจเย็นและอดทนดั่งนักล่า
“นี่เหรอสิ่งเดิมพันของลูก…”
สายตาของจี้ป๋อหนงจ้องไปยังหนังสือในมือลูกสาว
เลือดและสัตว์ร้ายคือชื่อของหนังสือ และเนื้อหาข้างในคือสาเหตุที่ทำให้จี้จือซู่แข็งแกร่งมากในเวลาอันสั้น
แต่เขาก็เข้าใจดีว่าหนังสือเล่มนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดิมพันที่จี้จือซู่พูดถึง หรือบางทีมันอาจจะไม่ใช่แค่หนังสือก็ได้
ในฐานะพ่อของจี้จือซู่ จี้ป๋อหนงเองก็รู้ดีว่าลูกสาวของเขามี ‘พรสวรรค์แรกเกิด’ ในฐานะนักล่าคนหนึ่ง
การฉีดเลือดอสูรครั้งแรกของเธอก็มาจากสินค้าของจี้ป๋อหนงนั่นแหละ
ใช่แล้ว บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์คือกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ซึ่งผูกขาดอุตสาหกรรมด้านทรัพยากรของเขตตอนล่างในสายตาคนทั่วไป ทว่าในสายตาของผู้มีอิทธิพลแล้ว ที่นี่คือแหล่งหมุนเวียนของสินค้าที่ไม่ปกตินั่นเอง
ดังนั้นจึงพูดได้ว่าที่จี้จือซู่มาเป็นนักล่าจนสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของจี้ป๋อหนงทั้งสิ้น เพิ่งจะมาค่อย ๆ ผ่อนการป้องกันลงหลังจากจี้จือซู่อยู่ท่ามกลางพวกเขาจนสร้างอำนาจเป็นของตัวเองได้ก็เท่านั้น
ทว่าการป้องกันระดับพื้นฐานก็ไม่ได้ถูกละเลยไป ยกตัวอย่างเช่น ตุ้มหูสีแดงรูปร่างคล้ายลูกแพรที่จี้จือซู่ใส่อยู่ ความจริงเป็นศิลานักปราชญ์ความบริสุทธิ์สูง สลักด้วยตราฟื้นคืนชีพโดยนักเวทมนตร์ขาวระดับเหนือนภาคนหนึ่ง
อาร์ติแฟกต์นี้มีชื่อว่า ‘หยาดน้ำตาเพลิง’ เป็นของที่ขนาดโรลล์ยังมีเพียงชิ้นเดียว ซึ่งจี้ป๋อหนงก็มอบให้จี้จือซู่เรียบร้อย
ดังนั้นจี้ป๋อหนงจึงมองการกระทำของลูกสาวในฐานะสิ่งบันเทิงคลายเครียดมาโดยตลอด
จนกระทั่งจี้จือซู่เข้าไปพัวพันกับเรื่องกระจกมนตราถึงขั้นเขียนแผนสุดมุทะลุออกมาได้
จี้ป๋อหนงเข้าใจว่าลูกสาวเขาไม่มีทางแข็งแกร่งขึ้นมากในเวลาอันสั้นได้ อีกอย่าง จี้จือซู่ยังไม่ได้ฉีดเลือดอสูรเพิ่มเลยด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น แผนการที่เขียนลงไปนั้นไม่อาจปักใจเชื่อได้ลง การวางแผนไม่เคยเป็นจุดแข็งของจี้จือซู่มาก่อน ทว่าแผนที่เขียนไปกลับผ่านการขบคิดอย่างรอบคอบ และเนื้อหาข้างในก็เป็นดั่งพายุเตรียมโหมกระหน่ำไม่มีผิด
จี้ป๋อหนงมองว่าต้องมีใครบางคนชี้นำจี้จือซู่อยู่เบื้องหลัง
หนังสือนั่นไม่ได้สลักสำคัญเลย แหล่งที่มาของมันต่างหาก
จี้จือซู่วางหนังสือลงบนโต๊ะ แล้วลูบคางของตนอีกครั้ง “ให้ลูกน้องคุณพ่อออกมาก่อนสิคะ”
จี้ป๋อหนงจึงสั่งให้ลูกน้องของเขากลับมาอย่างช่วยไม่ได้ สิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ในที่ลับเป็นแค่ของปลอม
“ดูท่าทางเขาคนนั้นจะเปลี่ยนลูกไปมากเลยนะ”
จี้ป๋อหนงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ของแค่นี้ยังโน้มน้าวพ่อไม่ได้หรอก การตัดสินใจแบบนั้นเกี่ยวข้องกับโรลล์มาก”
จี้จือซู่ไม่แปลกใจเลยที่พ่อของเธอจะรู้เรื่องการติดต่อระหว่างตนกับเจ้าของร้านหนังสือ เธอตอบกลับ “นักธุรกิจจะยอมทำทุกอย่างตราบใดที่มีผลประโยชน์เพียงพอนี่คะ หนูเชื่อว่าคุณพ่อเองก็ไม่ได้ต่างกันหรอก”
“นักธุรกิจปกติก็แบบนั้นแหละ แต่พวกเราไม่เหมือน…” จี้ป๋อหนงเอ่ย
จี้จือซู่แทรกขึ้น “หนังสือแบบนี้ปกติก็ขายกันง่าย ๆ ผ่านเคาน์เตอร์อยู่แล้วค่ะ ถ้าเกิดเขายินยอมมอบสิทธิในการแจกจ่ายให้ขึ้นมา คุณพ่อว่าจะส่งผลดีหรือร้ายต่อบริษัทล่ะคะ?”
จี้ป๋อหนงคิดไปเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น “แต่จากข้อมูลที่ได้รับมาจากหอพิธีกรรมต้องห้าม จุดยืนของเจ้าระดับ S นั่นยังถือว่าไม่ทราบแน่ชัดนะ”
“จากที่หนูคุยมา หนูมองว่าคุณหลินเขายึดหลักการกระทำแบบที่ ‘เจ้าของร้านหนังสือ’ คนหนึ่งควรจะมีนะคะ ตราบใดที่คุณพ่อยอมทำตามที่เขาต้องการ เขาก็เป็นคนนิสัยดีเป็นกันเองคนหนึ่งเลยค่ะ”
จี้จือซู่รีบพูดต่อ “แต่หนูไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องนี้เท่าไร แล้วก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอจะคุยกับคุณหลินในฐานะตัวแทนบริษัทโรลล์ด้วย ถ้าคุณพ่อมองว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ละก็ แวะไปคุยด้วยตัวเองสักครั้งก็คงจะดีนะคะ แล้วถึงตอนนั้นค่อยมาตัดสินว่าจะทิ้งแผนหนูไป หรือ…จะให้ดำเนินการต่อดี”
—
ในห้องมืด เหล่าสมาชิกอาวุโสของหมาป่าขาวต่างนั่งรอบโต๊ะและกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
หัวหน้าหมาป่าขาว เฮริส กำลังนั่งอยู่หัวโต๊ะ
“สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก พวกเราเสียหายหนัก จำนวนสมาชิกก็ร่อยหรอลงทุกที ไม่มีทางสู้กับพวกหอพิธีกรรมต้องห้ามต่อได้หรอก!”
“พวกเขายังไม่ถอนกำลังอัศวินระดับสูงเลย จะให้ชนะน่ะไม่มีทาง…”
“ช่วยหยุดพ่นเรื่องไร้ประโยชน์สักทีเหอะ นี่พวกเราอยู่ในจุดที่หยุดไม่ได้แล้วนะ มีแต่ต้องไปต่อเท่านั้น!”
“แล้วจะให้ต่อยังไงกันวะ!? ลัทธิสีชาดก็ปลิวไปแล้ว ถ้าพลังไม่มากพอก็ฟักตัวกระจกมนตรานี่ไม่ได้หรอก จะไปต่อยังไงยังไม่รู้เลยเนี่ย!”
“ท่านเฮริสครับ แบบว่า…”
“เงียบซะ!”
เฮริสขึ้นเสียงและทุบโต๊ะเสียงดัง “พวกแกหุบปากกันไปให้หมด พวกเรายังมีทางรอดอยู่!”
ทุกคนเงียบเสียงลงพร้อมมองไปยังเฮริส
เฮริสกวาดตามองรอบห้องด้วยสายตามุ่งร้ายพลางประกาศแต่ละคำเสียงดังฟังชัด “จำไว้ เป้าหมายของเราคือการฟักตัวกระจกมนตราและไม่ยอมจำนนต่อหอพิธีกรรมต้องห้าม พวกเราจะชนะถ้าทำให้กระจกนี่ฟักตัวได้”
“แต่…”
“ฉันไม่อยากฟังคำโลเลแล้ว ในสามวันหลังจากนี้ พวกสมาคมแห่งสัจธรรมจะขนย้ายหินนภาสีเงินที่ซอย 78 พวกเราต้องไปเอามันมาให้ได้ เข้าใจไหม”
“ครับ”
ทุกคนลุกขึ้นและโค้งให้ สำหรับตอนนี้ คำที่เขาพูดไปคือมติเอกฉันท์
หลังทุกคนจากไป เฮริสก็เอนหลังพิงเก้าอี้ ไม่มีอีกแล้วความมั่นใจในกาลก่อน สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงความเหน็ดเหนื่อยและความสูญเสียเท่านั้น
หินนภาสีเงินล็อตเดียวไม่เพียงพอสำหรับการฟักตัวกระจกมนตราหรอก เฮริสแค่เอ่ยออกมาเพื่อที่ทุกคนจะได้หยุดเถียงกันสักที
ในความเป็นจริง หมาป่าขาวได้ถึงทางตันเสียแล้ว
“ฉันช่วยแก้ปัญหานายได้นะ”
“นั่นใครน่ะ!” เฮริสลุกพรวดพร้อมหันไปมองที่มาของเสียงนี้
ดวงตาอันเย็นชาดั่งอสรพิษจ้องมองเขาผ่านความมืด ตามมาด้วยเสียงอู้อี้ทว่าชวนหลงใหล “กระจกมนตราคือคบเพลิง และเชื้อเพลิงที่ล้ำค่าที่สุดคือชีวิต…”