บทที่ 66 : ผลการประเมินของหลินเจี๋ย
ในการแลกเปลี่ยนหนึ่งครั้ง การทำให้อีกฝ่ายตกเข้าไปในจังหวะของตนนั้นสำคัญมาก
ทุกบทสนทนาคือการประชันจิตวิทยารูปแบบหนึ่ง ที่การควบคุมสภาวะทางจิตใจและการใช้คำพูดเจาะลึกเข้าไปในหัวใจของอีกฝ่ายจะนำมาซึ่งชัยชนะ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการลากอีกฝั่งหนึ่งเข้ามาในจังหวะของตนทันทีเมื่อพวกเขาลังเล
และวิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้คำถาม
คนคนหนึ่งจะสามารถชักนำอีกคนมาในจังหวะของตัวเองด้วยวิธีต่าง ๆ หรือการเปรยที่ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นในการขายหรือในโอกาสอื่น การเข้าใจความต้องการและความคิดของลูกค้าอย่างถ่องแท้จะทำให้เลือกทางที่ถูกต้องได้ง่ายกว่าเดิม
และหลังจากนั้น ก็ตามสำนวนว่าไว้เลย ฝ่ายหนึ่งจะจูงจมูกอีกฝ่ายได้
การอธิบายให้เห็นภาพก็จะเป็นแบบนี้
ถ้าอาจารย์ถามว่า ‘เห็นด้วยรึเปล่า ใครไม่เห็นด้วยยกมือขึ้น’ อย่างไรก็มีความเป็นไปได้อยู่แล้วว่าจะต้องมีมือยกขึ้นมาบ้าง
แต่ถ้าคำถามคือ ‘มีใครอยากค้านรึเปล่า ใครจะค้านก็ยกมือได้เลย’ ละก็ ไม่มีใครคิดจะยกมือขึ้นหรอกนอกจากคนบ้า
ดังนั้น ว่ากันตามหลักมารยาทแล้ว คำว่า ‘สวัสดี’ ของคนนี้ต้องตามด้วยคำถามแน่นอน
และจากการอนุมานซึ่งผ่านประสบการณ์มาหลายปีของหลินเจี๋ยแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ ‘ขอถามหน่อย…’
หญิงสาวต้องการจะชักนำบทสนทนาจึงต้องเป็นฝ่ายเริ่มเพื่อจองตำแหน่งผู้ถาม
ในฐานะนักสนทนาบำบัด ไลฟ์โค้ช และผู้เยียวยาแบบคิดเองเออเอง ความชำนาญของอาจารย์หลินจึงชัดเจนว่าเขาอยู่ในระดับสูงกว่าคนทั่วไปนัก
แล้วจะให้เขายอมเธอได้อย่างไรกัน
หลินเจี๋ยเท้าคางและเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่ต้องตกใจไปหรอกครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะเจอกับอะไรบ้างเมื่อเข้ามาในร้านนี้น่ะ? แถมคุณเล่นรีบตรงดิ่งมาหาผมขนาดนี้…เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าหุนหันพลันแล่นนักสิครับ”
หากเดินเลียบริมแม่น้ำ เดินอย่างไรรองเท้าก็ย่อมมีเปียก การเจอคนอื่นใน ‘อาชีพเดียวกัน’ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
เอาเป็นว่า ‘ร้านสุดโทรม’ นี่ยังเปิดทำการอยู่ ดังนั้นการจะเจอเข้ากับคนอาชีพเดียวกันก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้
อีกทั้งหญิงสาวยังมีเจตนาเพื่อโปรโมตบางอย่างจนปรี่เข้ามาที่เจ้าของโดยตรง นี่สิที่แปลก
หลินเจี๋ยคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่จู่ ๆ ตำแหน่งก็พุ่งพรวดเลยหลงตัวเองจากความสำเร็จที่ได้รับ แล้วคิดว่าสกิลการพูดจาทำได้ทุกอย่าง
‘การควบคุมและชี้นำบทสนทนาเป็นอะไรที่ติดงอมแงมได้ง่ายมากซะด้วย ถ้าคุมบทสนทนากับพ่อค้าแม่ค้าแทนที่จะเป็นลูกค้าได้คงรู้สึกสำเร็จไปอีกขั้นล่ะสิ’
‘เฮ้อ เด็กสมัยนี้นี่น้า ไม่มีความอดทนเอาซะเลยสิเนี่ย’
แคโรไลน์นิ่งอึ้ง เข้าใจได้ทันทีว่าเธอถูกมองออกตั้งแต่แรก
ในฐานะนักประเมินมืออาชีพและเป็นตัวแทนพิเศษไปเผชิญหน้ากับระดับ S แล้ว แคโรไลน์ได้ใช้เวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาในการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงในสถานการณ์ที่ถูกเปิดโปงด้วย ทว่าเมื่อมันเกิดขึ้นฉับพลันขนาดนี้ จะไม่ให้เธอตะลึงงันและหวาดกลัวได้อย่างไรกัน
เมื่อทั้งคู่เอ่ยคำเดียวกันขึ้นมาพร้อมกัน ความรู้สึกขนหัวลุกก็เข้าเกาะกุมเธอ
ราวกับว่าหญิงสาวนั้นช่างดูออกง่ายในสายตาเจ้าของร้านหนังสือ และทุกความคิดอาจถูกเขาอ่านได้อย่างสบาย ๆ
แล้วประโยคสุดท้ายนั่นถือเป็นคำเตือนเพราะเขาไม่ชอบใจที่ถูกรบกวนเวลาพวกเธอพุ่งเป้าไปที่เขาหรือเปล่านะ
“…ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ หากทำอะไรให้คุณไม่พอใจ และต้องขออภัยอย่างยิ่งที่รบกวนค่ะ”
แคโรไลน์สูดลมหายใจเข้าเงียบ ๆ เพื่อตั้งตัว ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ว่ามันจำเป็นจริง ๆ ที่ฉันต้องถามคำถามคุณ มันสำคัญกับฉันและคุณมาก พวกเราจะถือเป็นบุญคุณหากคุณยอมให้ความร่วมมือค่ะ เพราะอย่างไรเสีย นี่ก็ส่งผลต่อนอร์ซินอย่างใหญ่หลวงค่ะ”
‘ไม่เป็นไรหรอกน่า เจ้าของร้านหนังสืออยู่ฝ่ายสงบเสงี่ยมมาตลอดเลยนี่นา’
‘เขาอาจแค่มองเห็นแรงจูงใจฉัน ก็เลยอยากขู่ขวัญและให้ฉันเจียมตัวเฉย ๆ ก็ได้ ยังไม่แสดงท่าทีอันตรายอะไรสักอย่าง เพราะงั้นคงความเคารพไว้ก็พอ’
‘แค่ตอนนี้ไม่ต้องทำตัวเป็นลูกค้าแล้ว’
นี่คือเสียงในความคิดของแคโรไลน์
เป็นอย่างที่โจเซฟเขียนลงไปในรายงานจริง ๆ เจ้าของร้านหนังสือมีรูปร่างเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะแสดงความไม่พอใจในความพยายามลากตัวเขาออกมา แต่เจ้าของร้านหนังสือยังคงทำเพียงเขย่าขวัญผ่านการปรามโดยไร้การกระทำอื่น นั่นหมายความว่ามีสภาพจิตใจอันเรียบนิ่งและไม่ ‘ก้าวร้าว’
หลินเจี๋ยสังเกตเธอ หญิงสาวแสนสวยมีเจตจำนงแน่วแน่ ถึงจะมีบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงการยินยอมอันชัดเจนก็เถอะ
เริ่มจากคำขอขมา แล้วตามด้วยคำถามที่ความสำคัญเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น
หลินเจี๋ยเดาว่าผู้หญิงคนนี้อาจมาเพื่อทำแบบสอบถาม จะเพื่อค้นหาสินค้าที่เหมาะสมมาขายก็ดี เพื่อการค้นคว้าโปรเจ็กต์บางอย่างก็ดี
แต่…การเอานอร์ซินเข้ามาในบทสนทนานี่ถือว่าบ้าบิ่นดีจริง ๆ
หลินเจี๋ยโน้มตัวไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไหนลองบอกผมมาสิครับว่าเกี่ยวกับอะไร”
เมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านหนังสือไม่ได้ปฏิเสธ แคโรไลน์จึงกระแอมไอแล้วถามต่ออย่างระมัดระวัง “ขอทราบหน่อยค่ะว่าทำไมถึงมาเปิดร้านหนังสือที่นี่”
‘นั่นเป็นคำถามจริงเรอะ’
‘ไม่ได้มาเพื่อขายสินค้าแฮะ แต่มาทำการค้นคว้าเพื่ออะไรบางอย่างแน่ ๆ’
“ความสนใจที่จะชี้นำโชคชะตาน่ะครับ” หลินเจี๋ยตอบง่าย ๆ
เขาบอกไม่ได้หรอกว่าตนหลงมิติมาเพราะสิ่งมีชีวิตบางอย่าง เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขายหนังสือเพื่อเอาชีวิตรอดต่อไป…นั่นก็ดูจะขายหน้าเกินไปหน่อย
แคโรไลน์นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าของร้านหนังสือมีความสนใจในการเล่นกับโชคชะตาของมนุษย์และเรื่องราว
หญิงสาวจึงชี้ไปข้างนอกและถามอีก “ถ้าอย่างนั้น คิดยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้หรือคะ”
‘เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้? แก๊สระเบิดอะนะ?’
‘หรือว่ากำลังคิดจะพัฒนาเขตซากหักปรักพังนั่น?’
‘แต่ก็มีเหตุผลอยู่ ถนนตรงข้ามเขาหลายสายมันเละเทะไม่เป็นท่า สู้พัฒนาไปเลยแล้วโกยเงินกลับภายหลังดีกว่า’
หลินเจี๋ยพยักหน้าน้อย ๆ พร้อมพึมพำโดยไม่รู้ตัว “ก็ดีอยู่นะ…”
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตัวและสำลักน้ำลายตัวเอง “แค่ก แค่ก ไม่ใช่แล้วครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างโชคร้ายมาก ต้องมีคนชดใช้เรื่องนี้ ชีวิตน่ะมีค่านะ ไม่ใช่อะไรที่ควรเหยียบย่ำหรือถูกพรากไปได้ง่าย ๆ เลย”
หลินเจี๋ยได้ยินจากข่าวว่าโศกนาฏกรรมนี้เป็นผลมาจากความเลินเล่อของโรงงานที่ไม่ยอมซ่อมแซมมาหลายปี แน่นอนว่าต้องมีคนรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ไคโรไลน์พยักหน้าและจดไว้ในใจว่าเจ้าของร้านหนังสือไม่ชอบนักเวทมนตร์ดำของลัทธิสีชาดจริง ๆ และยืนอยู่ฝ่ายหอพิธีกรรมต้องห้ามอย่างเห็นได้ชัด
“มีอีกคำถามค่ะรบกวนขอความเห็นส่วนตัวในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้หน่อยได้ไหมคะ” แคโรไลน์ถาม
หลินเจี๋ยนิ่งคิดความเชื่อมโยงของคำถามนี้ต่อคำถามก่อนหน้า
‘เธอถามว่าทำไมฉันถึงมาเปิดร้าน ความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์แก๊สระเบิด แล้วก็สถานการณ์ปัจจุบันของฉันสินะ อาจจะกำลังประเมินคุณค่าของร้านบริเวณนี้อยู่ละมั้ง…’
“ผมแตกต่างจากคนอื่นอยู่นะ เกรงว่าคุณจะใช้ผมอ้างอิงไม่ได้หรอกครับ” หลินเจี๋ยฉีกยิ้มสดใส “ความจริงแล้วผมไม่ได้อยากได้ผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนในการทำเรื่องพวกนี้เท่าไร แค่โอบอุ้มความเห็นอกเห็นใจไว้ และหวังว่าลูกค้าทุกคนจะเดินออกมาจากความทุกข์ที่พวกเขาจมอยู่กับมันได้ก็เท่านั้นเองครับ”