สิ่งที่เข้าสู่ครรลองสายตาของหลินเจี๋ยคือธรณีเพลิงปะทุท่วม
ผืนดินย้อมเป็นสีดำไกลสุดลูกหูลูกตา ปกคลุมด้วยรอยแตกระแหงอันมีลาวาไหลผ่านเอื่อยเฉื่อย แสงวิบวับสีแดงฉานประกายจาง ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำซึ่งมีสายฟ้ากำลังเริงระบำอยู่โดยรอบ
ซากตึกพังแหล่มิพังแหล่ยังคงตั้งตระหง่านด้วยความสูงหลายร้อยเมตร ทำให้ไม่อาจเล็งเห็นรอบด้านได้เลย เศษซากของตึกนี้ยังคงแสดงถึงความรุ่งโรจน์ในกาลก่อน ราวกับอสูรยักษ์ใหญ่ผู้บาดเจ็บที่ยังมีลมหายใจ
การยืนอยู่เบื้องล่างและมองขึ้นไปทำให้ผู้มองตระหนักถึงความไร้ค่าของตัวเอง
ณ เส้นขอบฟ้าไกลออกไปคือหมอกสีเทาที่ดูจะบรรจบเข้ากับท้องนภา หมอกนี้ดูมีชีวิต บิดเบี้ยว และหมุนวนเรื่อยไป ก่อนค่อย ๆ บิดตัวเป็นรูปร่างอันพิลึกพิลั่น
หลินเจี๋ยได้ยินกระทั่งเสียงลมพัดหวีดหวิวออกมาจากสายหมอกนี้
“คราวนี้อะไรอีกล่ะเนี่ย? เกม RPG? ตีบอสรึไง?” หลินเจี๋ยว่ากลั้วหัวเราะพลางมองไปรอบด้าน
หนังสือการตีความความฝันของฟรอยด์ที่เขาเพิ่งอ่านไปเมื่อไม่นานมานี้เขียนไว้ว่า ความฝันคือสิ่งถักทอจากความปรารถนาในจิตใต้สำนึกของคน
หลินเจี๋ยคิดว่าคงเป็นเพราะเขาไม่ได้เล่นวิดีโอเกมเลยตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ จนความปรารถนาเริ่มถูกปลูกปั้นจนกลายเป็นความฝันนี้แน่ ๆ
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง หลินเจี๋ยก็ยังรู้สึกมืดแปดด้านอยู่ดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขาสามารถเล่นเกมได้หรือไม่ แต่เครื่องมือเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับเกมในนอร์ซินนั้นล้าหลังเสียจนหลินเจี๋ยอยากจะยกมือขอบคุณสวรรค์หากเขาได้แตะ NES*[1] สักครั้ง
พอมาคิดดูแล้ว มันรู้สึกราวกับจะมีเพลงซิมโฟนีเปิดคลอเป็นเพลงพื้นหลังในไม่ช้า เพื่อประกาศให้รู้ว่าบอสกำลังจะออกมาอย่างไรอย่างนั้น
เขาเดินข้ามซากเสาที่ขวางทาง แล้วยื่นมือออกไปหยิบเศษหินขึ้นมา
เศษหินนี้คือหินอ่อนซึ่งประกายเงาสีขาวพิสุทธิ์ พร้อมทั้งยังมีลวดลายอันงดงามสลักเอาไว้
พินิจดูจากชิ้นส่วนนี้และความโอ่อ่าของซากหักปรักพังรอบด้าน หากจะคาดเดาว่าที่นี่ในอดีตเป็นอย่างไรก็ถือว่าง่ายนิดเดียว
“อืม…สไตล์กับลายสลักนี่ดูคุ้น ๆ แฮะ”
หลินเจี๋ยชำเลืองมอง ปัดคราบสกปรกออกไปเพื่อให้ตัวเองเห็นชัดขึ้น
ลางสังหรณ์และประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปีทำให้เขาชี้ชัดได้ทันที
‘ดาบที่โจเซฟให้มานี่นา!’
ลายสลักสองอันนี้ไม่ได้เหมือนกันเท่าไรนัก ลวดลายที่ฝังอยู่ในชิ้นส่วนนี้ไม่ได้มาครบ และถึงคนส่วนใหญ่อาจจะพอรู้สึกได้ว่าทั้งสองมีความหรูหราไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าต่างกันตรงไหน
ทว่าหลินเจี๋ยคือผู้เชี่ยวชาญ
คติชนศิลป์และโครงสร้างคือส่วนหนึ่งของงานวิจัยของเขา ทั้งสองอย่างถือว่าสำคัญต่อคติชนวิทยามาก
ขณะค้นคว้าแบบลงพื้นที่ เขาพบว่าศิลปวัตถุพื้นบ้านอันแปลกประหลาดอาจได้รับการอนุรักษ์ไม่เต็มที่เท่าไรนัก ดังนั้นการซ่อมแซมและทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องจำเป็น
จะว่าไป เนื่องจากการวิจัยวัฒนธรรมพื้นเมืองมีแง่มุมที่ทั้งทับซ้อนและแตกต่างกัน หลินเจี๋ยเลยมักจะโดนเพื่อนบ้านที่เรียนอยู่คณะโบราณคดีลากไปตามไซต์ด้วยทุกที
เขาคนนั้นเป็นคนอ่อนไหวต่อสไตล์การแกะสลัก แถมยังสามารถหาความคล้ายคลึงของสไตล์กับงานศิลป์ของงานสองชิ้นนี้ได้ทันที ดังนั้นเขาจึงสามารถบ่งชี้ได้ว่าลวดลายบนดาบและหินก้อนนี้มาจากที่เดียวกันหรือไม่
อีกอย่าง ก่อนหลินเจี๋ยจะหลับไป เขายังสอดส่องเจ้าดาบเล่มนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงขั้นจ้องมองลวดลายแกะสลักไว้ ความประทับใจที่มีจึงถือว่าลึกซึ้งพอสมควร
“ท่าทางจิตใต้สำนึกกำลังทำงานอยู่จริง ๆ นะเนี่ย เอาเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมาอยู่ในฝันได้น่ะ”
หลินเจี๋ยขมวดคิ้วพลางวางเศษหินลง แล้วเดินเข้าไปยังใจกลางของซากหักปรักพัง
ดูเหมือนว่าวิถีซากหักปรักพังเหล่านี้จะล้มลงไปอย่างมีแบบแผน ราวกับโดมิโน่อย่างไรชอบกล อาคารเหล่านี้ล้มลงไปด้านนอกในสภาพคล้ายวงกลม ซึ่งนั่นแปลว่ามีจุดกำเนิดชัดเจน
หลินเจี๋ยพยายามตรวจสอบ แต่ความเสียหายของซากเหล่านี้มันหนักเกินจินตนาการ จนยากที่จะเดินผ่านไปได้
ซากปรักหักพังพวกนี้จะแหลกเป็นจุณเมื่อได้สัมผัส
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลินเจี๋ยเผลอใช้แรงมากไปหน่อย จนทำให้อาคารทั้งส่วนนั้นทรุดตัวลงจนกลายเป็นเศษผง
ความรู้สึกทำลายล้างอันสมจริงเล่นเอาหลินเจี๋ยแอบรู้สึกเร้าใจจนอยากจะลองทดสอบดูอีกสักรอบ
“ความฝันนี่ดูต่างจากอันที่แล้วลิบเลยแฮะ แผนที่ก็ขยายใหญ่ขึ้นเหมือนกัน แต่ยังคงความน่าสนใจอยู่…แถมยังสมจริงสุด ๆ อีกต่างหาก”
ยามมองขี้เถ้าลอยขึ้น หลินเจี๋ยก็ยกมือลูบคางพลางหัวเราะ “เฮ้อ…สัมผัสประสบการณ์ฉาก VR RPG ได้แค่ในฝันเองเหรอเนี่ย แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยละมั้ง”
ทว่าการสำรวจของหลินเจี๋ยไม่ได้สูญเปล่าแต่อย่างใด ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็พบศพจำนวนหนึ่งท่ามกลางซากหักปรักพังนี้
แม้ว่าซากศพจะหลอมรวมเข้ากับซากหักปรักพังเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่เป็นเช่นนั้น
หลินเจี๋ยลงไปนั่งยอง ๆ เพื่อตรวจสอบร่างบิดเบี้ยวที่นอนอยู่ตรงมุม สายตาของเขาจับจ้องไปยังใบหูของศพ
‘อืม…ฉันว่าฉันมองไม่ผิดนะ แต่หูของศพนี่ดูยาวผิดปกติแฮะ’
หลินเจี๋ยพลิกร่างนั้นอย่างใจเย็น
“อื้ม…ชัดเลยว่าหูยาวผิดปกติ”
หลินเจี๋ยเอื้อมมือไปแตะใบหูของศพก่อนแอบประหลาดใจที่พบว่ามันนุ่มนิด ๆ มีกระดูกอ่อนตรงกลางใบหูตามปกติ ซึ่งติดเข้ากับหัวและไม่ใช่ใบหูประดับ
นั่นแปลว่าสภาพร่างกายแรกเกิดของพวกเขาเป็นแบบนี้แต่แรกแล้ว
‘เอลฟ์เหรอ’
หลินเจี๋ยนึกไปถึงลูกค้าเมื่อไม่นานมานี้ สาวคอสเพลย์เอลฟ์ผู้สง่างามคนนั้น
เขาลุกขึ้นแล้วใช้มือปัดไล่ดินออกพลางพึมพำ “ท่าทางความฝันนี่จะผสมจิตใต้สำนึกฉันเข้าไปจริง ๆ นะเนี่ย”
ราวกับความสนใจในช่วงนี้ได้ปะปนเข้ามาในความฝันเป็นที่เรียบร้อยอย่างไรอย่างนั้น
อีกอย่าง หลินเจี๋ยก็ได้พบอาวุธมากมายท่ามกลางซากตึกเหล่านี้ ซึ่งทำให้เขานึกไปถึงศิลปกรรมของดาบที่ได้มาจากโจเซฟไม่มีผิด
เขาสัมผัสได้ว่ามันมีความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างวัตถุเหล่านี้ และมันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่มุ่งลงไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ เพื่อทำการวิจัย ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงตัดสินใจพยายามจดจำรูปร่างหน้าตาของวัตถุเหล่านี้ เพื่อจะจดเอาไว้ตอนตื่น บางทีเขาอาจจะได้รับแรงบันดาลใจในการช่วยกลุ่มไอริสในการกู้คืนความสำคัญของประวัติศาสตร์ตระกูลก็ได้
หลังเดินผ่านเศษหินหลายต่อหลายชิ้นกระทั่งมายืนอยู่บนบันไดหินอ่อนซึ่งทรุดตัวลงไปแล้ว หลินเจี๋ยจึงพบใจกลางมหันตภัยของซากหักปรักพังนี้เสียที
มันเป็นดาดฟ้าไล่ขอบทองอันงดงามขนาดมหึมา ทว่าได้รับความเสียหายอย่างหนัก หินย้อมสีดำหรือซากศพนอนกันเกลื่อน โดมสีทองขนาดใหญ่ถูกผ่าเป็นสองซีก โดยซีกล่างนั้นติดอยู่กับพื้น
ตรงกลางนั้น คนตัวสูงในชุดเกราะกำลังนั่งคุกเข่าลง
ดาบยาวถูกแทงเข้าไปในอกราวกับลิ่ม ตรึงเขาไว้ให้ติดอยู่กับพื้น
เรือนผมสีทองปลิวไสวยาวลงมาถึงพื้นนั้นเปล่งประกายยามต้องแสง ชุดเกราะอันงดงามทว่าคล่องตัวเผยให้เห็นรูปร่างสูงโปร่ง และมงกุฎลอเรลบนศีรษะได้ดึงความสนใจทั้งหมดไปยังใบหูแหลมยาว
บนดาดฟ้านี้ สองมือของผู้คุกเข่ากระชับอยู่บริเวณด้ามดาบซึ่งแทงทะลุไปยังหัวใจ ราวกับเขาพยายามชดใช้บาปของตนก็มิปาน
เมื่อฝีเท้าของหลินเจี๋ยสะท้อนไปทั่วลานอันเงียบงันนี้ คนคนนั้นกลับเงยหน้าขึ้นมามองและอ้าปากค้าง
“ท่านผู้กอบกู้ วิญญาณซึ่งถูกทอดทิ้งของเราได้เฝ้าคอยท่านมาหลายกัลป์เหลือเกิน”
[1] Nintendo Entertainment System – เครื่องเล่นเกม 8bit ออกวางขายครั้งแรกในปี 1983