เมื่อหลินเจี๋ยปิดประตูแล้วหันกลับมาพบกับร่างของเด็กสาวที่นอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาด เขาอดยิ้มไม่ได้กับภาพที่ปรากฏตรงหน้า
ดวงตาของเด็กสาวไม่กะพริบเลยสักนิดยามมองฝ้าเพดาน และสายตาล่องลอยนั้นทำเอาหลินเจี๋ยนึกถึงนกพิราบที่น่ารักและดูเอ๋อ ๆ หน่อย
หลินเจี๋ยยังไม่มีโอกาสเอนตัวลงนอนเก้าอี้นี้เลยตั้งแต่ที่เอามันขึ้นมาจากห้องใต้ดิน แต่สองคนที่มาพักตรงนี้ดันมาในสภาพแทบจะเป็นคนป่วยกันทั้งคู่ราวกับเรื่องบังเอิญ
เมื่อมองรายรับอันน้อยนิดในฐานะธุรกิจร้านหนังสือ หลินเจี๋ยรู้สึกว่าเขาควรจะเพิ่มค่ารักษาในฐานะหมอสักหน่อย
ถ้ามีแท่นวางสายน้ำเกลือด้านข้างก็คงครบจบในกระบวนการเดียวเลยนะนี่
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีความรู้หยูกยาทั้งตะวันออกและตะวันตก ไปจนถึงมีประสบการณ์จริงพอสมควร แต่มาตรฐานของชายหนุ่มก็ยังถือว่าห่างไกลจากหมอจริง ๆ อยู่ดี
ส่วนหนึ่งของความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดมาจากการอ่านวารสารยายามว่าง และอีกส่วนมาจากประสบการณ์ระหว่างการเที่ยวเพื่องานวิจัยที่หมู่บ้านห่างไกลและหมู่บ้านชนเผ่าทั้งหลาย
การวิจัยพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ โดยเฉพาะกับหมู่บ้านโบราณที่ไม่เคยพบกับแขกมาก่อน ก็ถือว่าเป็นงานอันตรายมาก
ในสถานที่ซึ่งห่างไกลจากโลกภายนอก สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์จะถือว่าซับซ้อนขั้นสุด บางครั้งก็ไม่มีแม้กระทั่งแผนที่หรือโรงพยาบาลดี ๆ และสถานที่นั่นแน่นอนว่าจะขาดมาตรการความปลอดภัยอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนที่หลินเจี๋ยยังหนุ่มกว่านี้นิดหน่อย เขาติดตามทีมของอาจารย์ไปหลายสถานที่เพื่อทำวิจัย ถึงแม้ว่าเขาจะทำเพียงช่วยบันทึกอย่างเดียว ก็ยังได้ประสบการณ์มือหนึ่งอยู่ดีจากการแค่ติดตามไปด้วยเฉย ๆ
บางครั้งทีมก็ต้องเดินข้ามภูเขาหรือหุบเหวลึกเพื่อให้ไปถึงที่หมาย ในสถานที่เช่นนั้น ก้าวพลาดแค่ครั้งเดียวก็อาจทำให้กระดูกหัก บาดเจ็บหนัก หรือตาย นี่ยังไม่เอ่ยถึงสัตว์ป่าที่สามารถโผล่เข้ามาได้ทุกเวลาอีก
ประสบการณ์อันน่าหวาดกลัวที่สุดของหลินเจี๋ยคือตอนที่กลุ่มเขาต้องเผชิญกับหมอกหนาระหว่างปีนเขา หมอกปกคลุมหนาเสียจนบีบระยะการมองเห็นให้เหลืออยู่น้อยนิด และในพริบตาเดียว สมาชิกคนหนึ่งในทีมก็หายไป
ในตอนนั้นทั้งทีมต่างงุนงงกันหมดทำได้แค่ระแวดระวังตัว และเพิ่งมาค้นพบภายหลังว่าที่ราบสูงที่พวกเขาอยู่ในตอนนั้นมีทางชันลงไป ซึ่งก้นของมันไม่สามารถมองเห็นได้เลย
ดังนั้น เพียงก้าวผิดแค่นิดเดียว คนคนนั้นก็ได้ร่วงลงสู่ขุมนรกอย่างเงียบงันเสียแล้ว
แน่นอน สถานการณ์แบบนั้นถือว่าหายาก
ปัญหาที่หลินเจี๋ยพบเป็นปกติมักจะเป็นท่ามกลางความทุรกันดารซึ่งอาการบาดเจ็บเป็นอะไรที่แน่นอน ทีมงานวิจัยรู้ความเสี่ยงดีอยู่แล้วเมื่อพวกเขาลงสมัคร
เมื่อเวลาผ่านไป หลินเจี๋ยก็คุ้นเคยกับการจัดการกับบาดแผลภายนอกและโรคภัยไข้เจ็บที่เห็นเป็นปกติไปโดยปริยาย
ทว่าสำหรับหลินเจี๋ย อย่างอื่นนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ต่างกับคว้าเส้นฟาง
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องมามากมาย แต่เภสัชกรรมก็ถือว่าเป็นวิชาที่เกิดจากการลงมือทำจริง การถกเถียงอภิปรายธรรมดาไม่ได้มีค่าอะไรขนาดนั้น
“เรียบร้อยละ เดี๋ยวผมมาจัดการรักษาแผลเธอนะครับ อย่าขยับตัวมากนักล่ะ รอผมหน่อยนะ”
หลินเจี๋ยส่งยิ้มอบอุ่นให้เด็กสาว และหลังจากเห็นเธอพยักหน้าว่าง่าย เขาก็เดินลงไปห้องใต้ดิน
เด็กสาวมองหลินเจี๋ยเดินลงบันไดไป เธอไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวสักคืบหนึ่งด้วยซ้ำ
ตอนแรกร่างกายและการตอบสนองของเธออาจจะเฉื่อยไปบ้างเพราะบาดแผล แต่หลังจากปะทะเข้ากับแรงพยาบาทอันมากล้นจากรูปปั้นการ์กอยล์ มันก็เป็นดั่งการสับสวิตช์เปิดขึ้นมา ทำให้เธอตัวแข็งทื่อทันที
เด็กสาวสัมผัสได้ว่าสิ่งของต่าง ๆ ภายในร้านหนังสือกำลังกระตุก หายใจ และจ้องมองมา
ชั้นวางหนังสือซึ่งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบนั้นไม่ต่างกับปีศาจมโหฬารซึ่งแอบซ่อนอยู่ในเงามืด
ในทุกวินาที เด็กสาวเหมือนถูกจ้องมองไปทุกอณูราวกับหลายคนกำลังยืนจ่ออยู่ตรงหน้า เพ่งเล็ง และรดลมหายใจอุ่น ๆ ใส่หน้า
ตอนนี้หลังของเด็กสาวกำลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น และขนบนตัวทุกเส้นกำลังลุกชัน
ไม่อาจจินตนาการ ยากจะบรรยาย
เจ้าพวกนี้มันอะไรกันแน่…
ทว่าหนุ่มคนนี้กลับดูเฉยเมยนักแม้จะอยู่ท่ามกลางของน่ากลัวพวกนี้
รอยยิ้มอันอบอุ่นอ่อนโยนกลายเป็นคำเตือนอันโหดเหี้ยมและหลอกลวงในสายตาเธอทันที
น่ากลัวจัง!
แต่ทำไมสิ่งมีชีวิตน่ากลัวแบบนี้ถึงช่วยฉันกันล่ะ?
เด็กสาวมองหลินเจี๋ยเดินกลับมา ครั้งนี้เขามาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลในมือ
หลินเจี๋ยเดินไปข้างกายเด็กสาวและเตรียมยาฆ่าเชื้อจากกล่องปฐมพยาบาลที่ไม่ได้ใช้มาแสนนาน เขาเอ่ยถามอย่างสบาย ๆ “จริงด้วย ผมยังไม่รู้ชื่อเธอเลยนี่ครับ ผมชื่อหลินเจี๋ยนะ และร้านหนังสือนี่ผมก็เปิดเองครับ แต่ธุรกิจไปไม่ค่อยสวยเท่าไหร่อย่างที่เห็นนี่แหละครับ”
“ไม่มีค่ะ” เด็กสาวเหลือบมองไปด้านข้าง “หนูไม่มีชื่อหรอก”
หลินเจี๋ยนิ่งไป พยายามจะบอกลาความเจ็บปวดทรมานในอดีตอยู่สินะ? ยังไงซะเธอก็อายุประมาณสิบห้าสิบหกแล้วนี่ ไม่มีทางที่จะไม่มีชื่อหรอก
บางทีอาจแปลว่าเธอไม่อยากจะเผยตัวตนออกมาเหมือนกันแฮะ นี่บอบช้ำมานานแค่ไหนแล้วล่ะนี่
หลินเจี๋ยรู้สึกสงสารเด็กสาวไร้อารมณ์ตรงหน้าเขาขึ้นมาบ้างแล้ว
เป็นเด็กน่าสงสารที่แข็งแกร่งและดื้อรั้นจริงน้า
“อดีตก็คืออดีตครับ คิดซะว่าทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกันเนอะ ตราบใดที่คุณคิดจะปล่อยมือจากมันไป วันเวลาในอดีตก็จะเป็นแค่ตัวเลขที่ไม่สลักสำคัญอะไร ปัจจุบันและอนาคตต่างหากที่สำคัญที่สุดเสมอ”
หลินเจี๋ยปลอบโยนเธอพลางเริ่มรักษาบาดแผลภายนอก
“จะแสบหน่อยนะครับ ทนเอาหน่อยนะ”
เด็กสาวพยักหน้า สายตาเธอจับจ้องไปยังชายหนุ่มผู้จริงใจ
อดีตของเธอเป็นแค่ตัวเลขจริง ๆ
277 แสดงถึงชีวิตของเธอในแคปซูลแก้ว หาใช่ตัวเธอเองไม่
หลินเจี๋ยทายาฆ่าเชื้อ ทายา และพันแผลทั่วร่างของเธอจนเป็นแบบแผน
เขาขอให้เด็กสาวนอนตะแคงแล้วดึงผ้าเช็ดตัวที่วางไว้ด้านหลังเธอมาใช้ต่างหมอนออก เมื่อเห็นปริมาณเลือดที่ผ้าเก็บไว้ก็ทำเอาหัวใจของเขาไหววูบ
มีแผลสดจำนวนมากอยู่ด้านหลังคอเด็กสาว
ซ้ำแล้วบนแผ่นหลังก็ยังมีรอยเลือดจำนวนมาก อาจจะเป็นรอยขูดหลังล้มจากแรงระเบิดก็ได้
หลินเจี๋ยถอนสายตาออกและทำงานต่อ หลังจากจัดการกับบาดแผลที่เห็นได้จนเสร็จ เขาก็ลูบหัวเธอเพื่อปลอบใจ
“คิดไว้แล้วหรือยังครับว่าอยากใช้ชีวิตแบบไหน แผนในอนาคตของเธอคืออะไรเหรอครับ”
เด็กสาวมองเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะส่ายหน้า
หลินเจี๋ยเห็นแววตาอันเขินอายปะปนมากับความสูญเสีย เห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่เด็กสาวเพิ่งประสบมานั้นเปลี่ยนแปลงเธอเป็นคนละคนจนหลงทาง
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธออาจจะต้องการตัวตนใหม่นะครับ บังเอิญจริง ๆ ที่ผมขาดผู้ช่วยอยู่พอดี ถ้าเธอยินดีละก็ อย่างน้อยผมก็การันตีว่าเธอจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่
“และเมื่อไรก็ตามที่เธอตัดสินได้แล้วว่าจะทำอะไร ผมก็ไม่ห้ามเธอหรอกครับ”
ตอนหลินเจี๋ยเปิดร้านแบบไม่ลงทะเบียน เขาก็พอมีประสบการณ์มาก่อน การช่วยลูกค้าคนก่อนสร้างตัวตนปลอมขึ้นมาเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อยู่แล้ว
“ผู้ช่วยเหรอคะ”
เด็กสาวมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าตายด้าน
“ผู้ช่วยร้านหนังสือน่ะครับ งานง่ายนะ แค่ต้องจัดชั้นวางหนังสือ ช่วยทำความสะอาด และบันทึกอะไรนิดหน่อยเอง”
ความจริงแล้ว… หลินเจี๋ยก็มีแต่งานง่าย ๆ แบบนี้อยู่เกือบตลอดเวลา
ถ้าเขาส่งงานนี้ให้เด็กคนนี้ได้ละก็ เขาก็จะได้อ่านหนังสือในร้านที่ไม่มีวันอ่านหมดอย่างสบายใจสักที